ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=49704 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 12 |
เจ้าของ: | แสงแห่งพระธรรม [ 17 มี.ค. 2015, 23:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
หลังจากออกพรรษารับกฐินเสร็จก็เก็บข้าวของกลับสู่บ้านเกิดขุนเขาแดนสงบ ท่องเที่ยวไปตามถิ่นล้านนา เผลอแปปเดี่ยวก็ผ่านไปสี่เดือนตลอดเวลาสี่เดือนของการเดินทางได้พบได้เห็นอะไรก็มากมาย บางอย่างไม่คิดว่าจะต้องพบเจอก็เจอ ช่างเป็นประสบการณ์ที่สอนใจและน่าจดจำอย่างยิ่ง ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 18 มี.ค. 2015, 08:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | nongkong [ 18 มี.ค. 2015, 08:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
ไปพบประสบการณ์ดีๆ..นำมาเล่าเป็นธรรมทานให้ชาวลานธรรมจักรฟังบ้างสิเจ้าค่ะ ![]() ![]() ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปเจ้าค่ะ.. ![]() |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 18 มี.ค. 2015, 09:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
แสงแห่งพระธรรม เขียน: หลังจากออกพรรษารับกฐินเสร็จก็เก็บข้าวของกลับสู่บ้านเกิดขุนเขาแดนสงบ ท่องเที่ยวไปตามถิ่นล้านนา เผลอแปปเดี่ยวก็ผ่านไปสี่เดือนตลอดเวลาสี่เดือนของการเดินทางได้พบได้เห็นอะไรก็มากมาย บางอย่างไม่คิดว่าจะต้องพบเจอก็เจอ ช่างเป็นประสบการณ์ที่สอนใจและน่าจดจำอย่างยิ่ง ![]() ![]() พบเห็นภายนอก หรือ ภายในครับ ![]() |
เจ้าของ: | นายฏีกาน้อย [ 18 มี.ค. 2015, 12:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | แสงแห่งพระธรรม [ 18 มี.ค. 2015, 21:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: พบเห็นภายนอก หรือ ภายในครับ ![]() สิ่งที่เห็นก็ยังซ้อนสิ่งที่ยังไม่เห็น คนตาบอดมองเห็นแต่ภายนอก ส่วนคนตาดีย่อมมองเห็นทั้งภายนอกและภายใน บางคนตาบอดมองไม่เห็น คนอื่นช่วยชี้แนะให้ก็ยังไม่รู้จักเอานี้เรียกว่าบอดทั้งนอกบอดทั้งใน แล้วความบอดนั้น ก็พาให้เดินตกเหวตกนรก ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 20 มี.ค. 2015, 10:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
![]() "ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส" การท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆถ้ามีกุศโลบายและความแยบคาย ก็จักได้ฝึกฝนและพัฒนาตนเองไปด้วยตลอดเวลา ตัวอย่างเช่นพระธุดงค์ที่จาริกโคจรไปในสถานที่แปลกใหม่ทุกวัน ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้จะนอนที่ไหน ได้อาหารมาฉันอย่างไร น้ำดื่มน้ำใช้ ส้วมขับถ่ายจะเป็นฉันใด ไม่มีอะไรเตรียมไว้บริการ แล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร จะผ่านพรุ่งนี้ไปได้อย่างไร ทั้งหมดล้วนเป็นความท้าทายน่าผจญภัย น่าลิ้มลองพิสูจน์ หลังจากได้ประสพการณ์ผ่านวันอันไม่มีคำตอบเช่นนี้มากๆ ความแข็งแกร่งและทักษะประสพการณ์ในการเอาชีวิตรอดอยู่ด้วยธรรมอยู่ตามธรรมก็จะเพิ่มทวีมากขึ้นๆจนเป็นปกติชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน ไม่มีเมื่อวานและพรุ่งนี้ มีแต่ "เดี๋ยวนี้"ๆๆๆและก็เดี๋วนี้ ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 มี.ค. 2015, 14:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
แสงแห่งพระธรรม เขียน: หลังจากออกพรรษารับกฐินเสร็จก็เก็บข้าวของกลับสู่บ้านเกิดขุนเขาแดนสงบ ท่องเที่ยวไปตามถิ่นล้านนา เผลอแปปเดี่ยวก็ผ่านไปสี่เดือนตลอดเวลาสี่เดือนของการเดินทางได้พบได้เห็นอะไรก็มากมาย บางอย่างไม่คิดว่าจะต้องพบเจอก็เจอ ช่างเป็นประสบการณ์ที่สอนใจและน่าจดจำอย่างยิ่ง ![]() ![]() แล้วไงต่อรอฟังอยู่นะครับท่าน มันมีอะไรที่วิเศษมากนักหนาถึงได้ทำเป็นอ่ำอึ้งๆ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 มี.ค. 2015, 14:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
แสงแห่งพระธรรม เขียน: เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: พบเห็นภายนอก หรือ ภายในครับ ![]() สิ่งที่เห็นก็ยังซ้อนสิ่งที่ยังไม่เห็น คนตาบอดมองเห็นแต่ภายนอก ส่วนคนตาดีย่อมมองเห็นทั้งภายนอกและภายใน บางคนตาบอดมองไม่เห็น คนอื่นช่วยชี้แนะให้ก็ยังไม่รู้จักเอานี้เรียกว่าบอดทั้งนอกบอดทั้งใน แล้วความบอดนั้น ก็พาให้เดินตกเหวตกนรก ![]() ![]() ลึกซึ้งเอามากๆ ลึกเกินกว่าจะเข้าใจ อยู่ข้อไหนหมวดไหนครับท่าน..จะได้ติดตามไปอ่าน |
เจ้าของ: | แสงแห่งพระธรรม [ 20 มี.ค. 2015, 15:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
ลุงหมาน เขียน: ลึกซึ้งเอามากๆ ลึกเกินกว่าจะเข้าใจ อยู่ข้อไหนหมวดไหนครับท่าน..จะได้ติดตามไปอ่าน ทำไมสายปริยัติกับสายปฏิบัติถึงเทศนามีความแตกต่างกันไป แล้วแบบใหนถูกแบบใหนผิดละ ถ้าบอกว่าสายปริยัติถูกสายปฏิบัติก็ผิด แต่ถ้าว่าสายปฏิบัติถูกสายปริยัติก็ผิด เพราะนั้นไม่ได้เอา ความรู้จริงเป็นสิ่งตัดสินแต่เอาความชอบใจว่านั่นถูกนั่นผิดเป็นสิ่งตัดสิน แล้วก็หาความจริงไม่เจอ ความจริงไม่ใช่มีเพียงแต่สิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ในตำราหมวดนั้นหมวดนี้ ธรรมะไม่เพียงมีแต่ 84000 พระธรรมขันธ์ ประสบการณ์แห่งการเดินทาง ทำให้เราได้พบได้รู้ได้สัมผัสกับความจริงที่อาจไม่ได้เขียนไว้ในตำรา วิถีชีวิตที่ต่างกัน เส้นทางเดินที่ต่างกันย่อมเห็นอะไรๆต่างกัน ถ้าอยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจ ก็ลองออกเดินทางดูสิ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 มี.ค. 2015, 18:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
ตกลงว่าอดรู้เพราะผลของการปฏิบัติมันพูดไม่ได้ถ้าพูดแล้วมันจีะกลายเป็นปริยัติไป เราอาจกล่าวได้ว่าปริยัติก็เป็นผลมาจากปฏิเวธ และยังทำให้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติอีกด้วย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุผลของการปฏิบัติ ของพระองค์แล้ว จึงทรงแนะนำประสบการณ์ที่เป็นผลของการปฏิบัติของพระองค์นั้น มาเรียบเรียงร้อยกรอง นำมาสั่งสอนพวกเรา คือสั่งสอนพระธรรมวินัยไว้ คำสั่งสอนของพระองค์นั้นก็มาเป็นปริยัติของพวกเรา คือสิ่งที่พวกเราจะต้องเรียนรู้ แต่ปริยัติที่เป็นผลมาจากปฏิเวธนั้นก็หมายถึงปฏิเวธของพระพุทธองค์โดยเฉพาะ คือการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทรงยอมรับเท่านั้น ไม่เอาผลการปฏิบัติของโยคี ฤาษี ดาบส นักพรต ชีไพร อาจารย์ เจ้าลัทธิ หรือ ศาสดาใดๆ ถ้าไม่เล่าเรียนปริยัติ ก็ไม่รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติของเราก็ไขว่เขว ก็ผิด ก็เฉไฉออกนอกศาสนา ถ้าปฏิบัติผิดผลที่ได้รับก็ผิด หลอกตัวเองด้วยสิ่งที่พบซึ่งตัวเองเข้าใจผิด ปฏิเวธก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีปริยัติเป็นฐาน ปฏิบัติและปฏิเวธก็พลาดหมด เป็นอันว่าล้มเหลวไปด้วยกันพูดง่ายๆ ว่าจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้าก็มาเป็นปริยัติของเรา แล้วเราก็ปฏิบัติตามปริยัตินั้น เมื่อปฏิบัติถูกต้องการบรรลุปฏิเวธก็เป็นดังพระพุทธองค์ ถ้าวงจรนี้ดำเนินไป พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็คงอยู่ ปริยัติที่มาจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้าและเป็นฐานแห่งการปฏิบัติของพวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี้แหละ ฉะนั้นมองในแง่นี้ก็ได้ความว่า ถ้าเราจะรักษาปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธไว้ ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกนั้นเอง ถ้าใครปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ที่แสดงไว้ตามพระไตรปิฎก ชีวิตของผู้นั้นจะกลายเป็นเหมือนตัวพระพุทธศาสนาเอง เหมือนเรารักษาพระพุทธศาสนาด้วยชีวิตของ เราตราบเท่าชีวิตของเรายังอยู่ที่นั้น ก้าวไปถึงนั้น อย่างนี้เรียกว่าพระพุทธศาสนาอยู่ด้วยวิธีการรักษาอย่างสูงสุด พูดได้ว่าพระไตรปิฎกมาอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่อยู่แค่ตัวหนังสือ สรุปว่าเราชาวพุทธอิงอาศัยพระไตรปิฎกโดยตรงด้วยการนำเอาคำสอนมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตจริง |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 มี.ค. 2015, 08:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
ความหมายของคำว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ความหมายของคำทั้ง 3 ไม่มีอะไรมาก หากนำมารวมกันก็จะได้ความหมายที่สั้นกระชับได้ใจความที่สุดว่า นำทฤษฎีมาปฏิบัติให้เกิดผล แต่ถ้าขยายความก็หมายความว่า ปริยัติหมายถึงทฤษฎี วิธีการที่จะนำไปปฏิบัติ แล้วนำวิธีที่รู้มาไปปฏิบัติ คงไม่ต้องแปลคำว่าปฏิบัติว่าหมายความว่าอย่างไร ก็มาถึงปฏิเวธ คือผลที่เราพึงได้รับจากการปฏิบัตินั้น ๆ ว่าได้ผลออกมาเป็นอย่างไร แนวทางของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทั้งก่อนและหลังตรัสรู้ คือเริ่มต้นจากการปฏิบัติก่อน ลองผิดลองถูกอยู่นานหลายวิธี เพื่อให้เข้าถึงปฏิเวธในทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เริ่มต้นด้วยปฏิบัติ เมื่อถึงปฏิเวธทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกแล้ว จากนั้นก็นำการปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติแล้วทำให้ตนพ้นทุกข์โดยมีนัยสำคัญคือแจ้งประจักษ์ในตนเอง แล้วนำปฏิเวธที่ได้ไปสร้างเป็นปริยัติในที่สุด ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงเป็นผู้ที่เสียสละยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสอนว่าหากใครไปทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงมีบาปมหันต์ หรือแม้แต่การนำคำสอนของตนไปแนะนำคนอื่นโดยที่ตนรู้อยู่แล้วว่านั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์ แล้วไปแอบอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเป็นคำสอนที่ปรากฏจะเรียกว่า "กล่าวตู่ตถาคต" จึงเท่ากับเป็นการทำบาปอันหนักยิ่ง เพราะแนวทางเหล่านั้นเป็นการสะกัดกั้นมิให้มหาชนไปถึงเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาหรือถึงพระนิพพานนั่นเอง ฉะนั้นผู้เขียนเองก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องแยกคำสอนของตนเองออกจากคำสอนของพระพุทธองค์ หากสังเกตในบทความผู้เขียนจะแยกเอาไว้ โดยเฉพาะในส่วนเรื่องเกี่ยวกับเทพ จะไม่ปรากฏว่ามี "นี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์" ปรากฏ หรือแม้แต่การใช้คำว่าพระพุทธเจ้า ในหลาย ๆ บทความจะเป็นคำกลาง ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด แต่ถ้าใช้คำว่าพระพุทธองค์ จะหมายถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ทำหน้าที่อยู่ นั่นหมายความว่าคุณลักษณะของความเป็นเทพจะไม่มีปรากฏอยู่ในคำสอน แล้วถ้าพิจารณาให้ดีผู้เขียนได้อธิบายไปอย่างชัดเจนแล้วว่า พระพุทธองค์ไม่ให้เราขอให้เทพช่วยพร้อมทั้งอธิบายเหตุผลไว้ด้วย ฉะนั้นอะไรก็ตามถ้าเขียนไว้ลอย ๆ ไม่ปรากฏแหล่งที่มา หรือถ้าเขียนจะมีคำว่า "จากประสบการณ์" นั่นหมายความว่าเป็นสิ่งที่ผู้เขียนรู้เอง เมื่อเป็นสิ่งที่รู้เองเห็นเองด้วยประสบการณ์ แล้วถึงแม้เป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ มิเช่นนั้นผู้เขียนจะเป็นคนกล่าวตู่ตถาคตเสียเอง ถึงแม้ผู้เขียนจะทำไปด้วยเจตนาดีเพียงใดก็ตาม เช่นผู้เขียนรู้อยู่แล้วว่าพวกเราศรัทธาพระพุทธองค์มากกว่าผู้เขียน ก็เขียนโดยกล่าวตู่ทึกทักเสียเลยว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์เช่นนี้ก็ไม่ได้ แล้วคำสอนใด ๆ ก็ตามที่ผู้เขียนรู้เห็นมาแล้วพิสูจน์ผลได้ด้วยตนเอง แล้วคำสอนนั้นตรงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนไว้แล้ว ผู้เขียนก็พูดได้เต็มปากด้วยความกตัญญูว่านี่คือคำสอนของพระพุทธองค์ การปฏิบัติบูชาด้วยการนำปริยัติไปปฏิบัติเพื่อให้ถึงปฏิเวธ เป็นการแสดงความกตัญญูสุงสุดต่อพระพุทธองค์โดยไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้ว ไม่ถึงกับต้องนำมาเขียนออกมาว่าเป็นเพราะอะไรถึงการปฏิบัติตามคำสอนนั้นจึงส่งผลนั้นแก่ตน ดังนั้นการจะเป็นพุทธบุตรที่ดีของพระพุทธองค์ คือต้องนำวิธีการที่ทรงสอนมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตรงไปตรงมา สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือการเรียนแต่ปริยัติ แล้วนำทฤษฎีนั้นมาถกเถียงกันเพื่อหาความถูกผิดโดยไม่ลงมือปฏิบัติ แล้วถึงแม้จะปฏิบัติแล้วแต่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการปฏิบัติ ถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพทั้งต่อพระพุทธองค์เองหรือแม้แต่พระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มา ด้วยเหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็เพราะพระพุทธองค์สอนให้นำวิธีปฏิบัติไปปฏิบัติแล้วเราปฏิบัติกันหรือไม่ ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 มี.ค. 2015, 08:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคง เขียนๆ ลบๆ หลอกใครๆนั้นพอหลอกได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้ แต่อย่าให้ถึงกับไปหลอกตัวเองให้เชื่อก็แล้วกัน |
เจ้าของ: | แสงแห่งพระธรรม [ 21 มี.ค. 2015, 20:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
ตอนกลับไปเยื่อมบ้านเกิดพอดีมีพระมาอยู่รูปหนึ่งเป็นพระที่ครูบาบุญชุ่มให้อยู่ดูแลสถานที่ ท่านบ่นให้ผมฟังว่าอยู่กับชาวเขาลำบากเพราะชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญ ไม่รู้จักทอดผ้าป่า ผมก็นั่งฟังไปพิจารณาไป ก็เข้าใจที่ท่านพูดดี เพราะผมเองก็เป็นคนที่นี้ หรือแม้แต่คนที่อื่นคนในเมืองที่เข้ามาในหมู่บ้านก็พูดทำนองเดียวกัน คือในช่างที่ครูบาบุญชุ่มมาอยู่จะมีคนในเมืองมาหาท่านเยอะคนเมืองก็มักจะพูดว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญแรกๆก็รู้สึกเฉยๆเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ถูก แต่เมื่อเจอมากเข้าก็อดที่จะแสดงความเห็นเพราะแม้แต่ตัวผู้พูดเองก็ยังขาดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด อย่างคนในเมืองบอกว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนานับถือผี งมงายหาเหตุผลไม่ได้ พูดง่ายๆคือล้าหลัง ที่นี้ผมก็มานั่งพิจารณาดู คนที่บอกว่าตัวเองนับถือพุทธศาสนาแต่กลับประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆยิ่งทางเหนือนี้ยิ่งเยอะละอย่างตอนกลับไปบ้านนี้เห็นคนในเมืองมาทำอะไรต่อมิไร นับถือพุทธก็จริงแต่ไม่เข้าใจไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าอันใหนเปลือกอันใหนแก่น สิ่งใหนควรประพฤติ สิ่งใหนควรนำมาปฏิบัติ นับถือพุทธเพียงแต่สืบๆกันมา ประเพณี พิธีรีตองต่างๆที่ทำๆกันมา แล้วก็หลงเข้าใจว่าการกระทำเช่นนั่นแหละคือ ศาสนา เมื่อมีความเห็น ความเข้าใจดังเช่นนั้นแล้ว พอเห็นชาวเขาที่นับถือผี ประกอบพิธีกรรมต่างจากตน ก็ว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนา ชาวเขางมงาย ทั้งๆที่คนที่พูดนั้นแหละงมงายกว่าชาวเขาที่นับถือผีเสียอีก งมงายอย่างไรละ ตนเองนับถือพุทธแท้ๆ แต่กลับไปประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆเชื่อโน้นเชื่อนี้ นับถือแม่ตระเคียนบ้าง เข้าทรงบ้าง นับถือเจ้าที่เจ้าทาง ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา ตัดกรงตัดกรรม เสียเงินมากมาย ก็ไม่พ้นจากทุกข์สักที มิหนำซ้ำมีแต่เพิ่มความทุกข์เข้ามา แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไปทิ้งที่ใหนละทำไมไม่พากันเอามาประพฤติประฏิบัติ พากันอยู่ไกล้วัดไกล้ศาสนาเสียเปล่าไม่ได้เข้าใจในหลักคำสอนเลยแล้วจะเอาอะไรกับชาวเขาที่อยู่ไกลวัดไกลศาสนาละ ไม่ต้องไปว่าใครที่ใหนหรอกให้ดูที่ตัวเอง พิจารณาตัว ว่าศึกษาเข้าใจในหลักคำสอนแล้วพากันประพฤติประฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะหรือเปล่า ไม่ใช่หลงเข้าใจแต่สิ่งที่ทำๆกันมาสืบๆกันมาว่านั่นแหละคือศาสนา แล้วก็ไปว่าคนอื่นที่ทำต่างจากตนว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก จะชาวเขาที่นับถือผี หรือชาวพุทธที่ประกอบพิธีรีตอง เชื่อโน้นเชื่อนี้ ทั้งหมดนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลยเพียงแต่ขั้นตอนพิธีที่แตกต่างกัน ผลที่ออกก็เหมือนๆกัน คือ ความงมงาย หาเหตุผลไม่ได้ ![]() ![]() ถ้าเราพากันศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูก ประพฤติอย่างเหมาะสมแล้ว พระธรรมคำสอนนั้นแหละ คือแสงสว่างทางใจ ที่นี้ไม่ว่าจะเป็นพระอลัชชี คนพาล หรือโจรที่สิงอยู่ในใจที่ค่อยสั่งการให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ ก็จะไม่สามารถมาหลอกเราได้ เพราะเรามีธรรมเป็นเกาะ ธรรมก็จะคุ้มคลองเราไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ไม่จำเป็นต้องไปหาพระเกจิองค์นั้นองค์นี้ให้ทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งเจ้าแม่ตะเคียนที่ใหนมาบอกโบ้หวย ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อหมอดงหมอเดาหรือแม้แต่ร่างทรงที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันใหน สิ่งเหล่านี้มีแต่เรื่องไร้สาระ ![]() ![]() ธรรมะก็คือรู้ว่าอันใหนดี อันใหนชั่ว ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นเหตุและผลอยู่แล้ว ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 21 มี.ค. 2015, 20:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ |
คนที่พึ่งแม่ตะเคียนทอง..กะ..คนที่ปฏิบัติธรรมแต่ไม่อยากอัตคัตขาดแคลน..ก็ไม่ต่างกันหรอก.. อย่าคิดว่า..จะวิเศษกว่าคนอื่นไป.. ตอนนี้ผมกำลังซึ่งกะคำนี้เลย...ปฏิบัติแต่ก็ไม่อยากขัดสน... ผมว่า..มันก็ครือเดียวกะพึ่งแม่ตะเคียนทอง..นั้นแหละ.. |
หน้า 1 จากทั้งหมด 12 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |