วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 06:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2015, 06:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


JIT TREE เขียน:
อนุโมทนา สาธุค่ะคุณลุง หนู๋ยังเป็นผู้ที่มีกิเลสชุ่มอย่างหนาแน่นมากถึงมากที่สุด
มืดบอดมากมาย ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากโต้ตอบ
เพราะแค่นี้กิเลสก็เกาะกินใจหนู๋มากมายแล้วค่ะ เอาเป็นว่าขอฟังและถามลุงนะค่ะ
ถ้าสงสัยอะไร ขอบคุณที่ชี้ทางและสอนแบบมีเหตุและผล และหนทางการแก้ไข
แบบมีสติและไม่งมงาย :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:


คำถามค่ะ จำเป็นไหมค่ะที่เราต้องศึกษาทุกๆพระสูตรในการเรียนพระอภิธรรม :b16:


ปุถุชนแปลว่าเป็นผู้ที่มีกิเลสหนา แต่ก็ยังจัดเป็นปุถุชนได้ ๒ ประเภท
คือ อันธปุถุชน ๑ กัลยาณปุถุชน ๑ ดังนี้ . ในปุถุชน ๒ พวกนั้น
บุคคลผู้ไม่มีการศึกษาการเรียน การสอบสวน การฟัง การทรงจำ และการพิจารณา
ในขันธ์ ธาตุ และอายตนะเป็นต้น นี้ชื่อว่า อันธปุถุชน
ส่วนบุคคลผู้มีกิจเหล่านั้น คือ คอยสอบสวน ฟังธรรม ท่องจำ หมั่นพิจารณา ใน ขันธ์ ๕
ธาตุ อายตนะเป็นต้น ชื่อว่า กัลยาณปุถุชน.

มาถึงคำถามที่ว่ามีความจำเป็นต้องเรียนต้องศึกษาหมดทุกสูตรไหม?

คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรารู้กันทุกวันนี้ก็อยู่ที่ในพระไตรปิฎก ถ้าหากเราอยากรู้
เราก็ต้องศึกษาจากพระไตรปิฎกจริงไม๊ ก็หลังจากพระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพาน สาวกรุ่นหลัง
จึงได้ทำสังคยนา มีพระมหากัสสปะ เป็นต้น และในพระปิฎกนั้นมี ๘๔.๐๐๐ ธรรมขันธ์
ได้แยกออกเป็นหมวดๆ มี พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ที่นี้บางคนชอบเรียนเขาก็เรียนทุกสูตร
บางคนไม่ชอบเรียน เขาก็จะมุ่งแต่ในทางปฏิบัติ เขาก็เรียนที่พอจำเป็นพอรู้นำเอาไปปฏิบัติได้จริงเท่านั้น

ถามว่าจำเป็นต้องเรียนไหมทุกสูตรไหม? ขอตอบเป็นกลางๆ เราก็ต้องย้อนไปดูในสูตรต่างๆ
ที่มีพุทธสาวกในพุทธกาล ได้ฟังธรรมนิดหน่อยก็บรรลุเป็นพระอริยะบุคคลได้ ก็มีกล่าวไว้มากมาย
เช่น พระยสะกุลบุตร เป็นต้น ทั้งนี้เราจะมองได้ว่าบุคคลเหล่านั้น ท่านก็ยังไม่เคยศึกษาธรรมของ
พระพุทธเจ้ามาก่อนเลย และก็ไม่เคยพบพระพุทธเจ้ามาก่อนหน้านี้เลย ฟังธรรมนิดหน่อยก็บรรลุได้

ฉะนั้นจึงพูดได้ว่าท่านเหล่านั้นได้สั่งสมบารมีจากการฟังธรรมมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาแล้วทั้งสิ้น
แม้มาในชาตินี้ก็ต้องฟังธรรมอีก แต่ก็เพียงนิดหน่อยจึงบรรลุได้ ฉะนั้นผู้หวังบรรลุธรรมจะเป็นคนที่ว่างเว้น
ในธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2015, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สรุปว่า....อายุศาสนา 5000 ปี...เป็นความคิดวิเคราะห์...ดอกหรือนี้

:b7: :b6: :b6: :b6:

ถูกแล้วครับ คุณกบ
พุทธวจนะ ไม่มีครับ
ยกรอยๆ กันขึ้นมาแล้ว ตู่ว่าพระพุทธองค์กล่าวครับ


มิน่าละ....ที่ผู้เฒ่าผู้แก่...บอกว่า.."กึ่งพุทธกาลแล้ว...ไม่มีพระอรหันต์หรอก"

มาจากคำพูดนี้เอง

ลุงหมาน เขียน:
ก็ด้วยบทว่า มหโต ตฬากสฺส ปฏิกจฺเจว ปาลี นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความนี้ไว้ว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อเขาไม่พูนคันกั้นสระใหญ่ น้ำสักหน่อยหนึ่งก็ไม่ขังอยู่เลย แต่เมื่อเขาปิดไว้ครั้งแรกนั่นแหละ น้ำใดที่ไม่ขังอยู่ เพราะไม่ปิดกั้นเป็นปัจจัย น้ำแม้นั้นก็พึงขังอยู่ได้ฉันใด. ครุธรรมเหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราบัญญัติเสียก่อนเพื่อประโยชน์จะไม่ให้นางภิกษุณีจงใจล่วงละเมิดในเมื่อเรื่องยังไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราไม่บัญญัติครุธรรมเหล่านั้น เพราะมาตุคามบวช พระสัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๕๐๐ ปี แต่ครุธรรมที่เราบัญญัติไว้เสียก่อน พระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้อีก ๕๐๐ ปี รวมความว่าพระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งได้ตรัสไว้ก่อนดังกล่าวมาฉะนี้.

ก็คำว่า วสฺสสหสฺสํ นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบัน ปฏิเวธสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีโดยอาการดังกล่าวมานี้ แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2015, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโกเมศวร์ เขียน

:
อ้างคำพูด:
b8: คุณกบ

ถ้าศาสนาในความหมายของคุณกบคือ พระธรรม
ผมเห็นว่า ถ้าเขาไม่รู้จักทุกข์ เขาก็จะไม่สนใจครับ


แต่ถ้าคนที่ไม่มีสัญญาเก่าติดมา ไม่ว่าเค้าจะทุกข์แค่ไหนเค้าก้อคิดไม่ได้
ทำยังไงจะให้ทุกข์นี้ดับไป เค้าก้อโทษดิน-ฟ้า-อากาศไปเรื่อยๆค่ะ :b1: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2015, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณโกเมศวร์ เขียน

แต่ถ้าคนที่ไม่มีสัญญาเก่าติดมา ไม่ว่าเค้าจะทุกข์แค่ไหนเค้าก้อคิดไม่ได้
ทำยังไงจะให้ทุกข์นี้ดับไป เค้าก้อโทษดิน-ฟ้า-อากาศไปเรื่อยๆค่ะ :b1: :b41: :b55: :b49:


มีนะ..บางคนที่ไม่คิดอะไรนี้..เพราะคู่ปรับเขายังไม่ได้มรรคผลอะไร...เขาจะไปฟังธรรมกับพระองค์อื่นก็ไม่คลิกซะที..ไม่ชอบอยู่นั้นแหละ..ทำให้การฟังไม่เกิดสมาธิ..

ไอ้เจ้าอาการไม่ชอบ...จนไม่เกิดสมาธินี้แหละ...กั้นปัญญา...ฟังไปก็ไม่เข้าหัว...ไม่เห็นทุกข์ตามที่พระท่านเทศน์สอน

เมื่อไม่เห็ทุกข์...ย่อมไม่คิดที่จะอยากออกจากทุกข์
เมื่อไม่คิดออกจากทุกข์...ก็ทำบุญทำทานอยากไปสวรรค์กันตามประเพณี

ดังนั้น..จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้...ครั้นจะโทษคู่ปรับเขาแต่ฝ่ายเดียว..ก็ไม่ถูกอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2015, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกบฯเขียน

อ้างคำพูด:
มีนะ..บางคนที่ไม่คิดอะไรนี้..เพราะคู่ปรับเขายังไม่ได้มรรคผลอะไร...เขาจะไปฟังธรรมกับพระองค์อื่นก็ไม่คลิกซะที..ไม่ชอบอยู่นั้นแหละ..ทำให้การฟังไม่เกิดสมาธิ..

ไอ้เจ้าอาการไม่ชอบ...จนไม่เกิดสมาธินี้แหละ...กั้นปัญญา...ฟังไปก็ไม่เข้าหัว...ไม่เห็นทุกข์ตามที่พระท่านเทศน์สอน


:b8:

ใช่ค่ะ


แต่ตรงนี้

อ้างคำพูด:
ดังนั้น..จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้...ครั้นจะโทษคู่ปรับเขาแต่ฝ่ายเดียว..ก็ไม่ถูกอีก



จะไปโทษใครละคะ ไม่ต้องหันไปมองใครหลอกค่ะ
เอาจิตมาพิจารณาตัวเองนี่หล่ะคะ สัญญาเก่าอาจจะเกิด
ไปโทษคนอื่น ให้เป็นการสร้างเหตุทำไมคะ :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2018, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุเกิดที่ไหน ดับที่นั่น!!

ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปเมืองโกสัมพี...
ซึ่งมีพระเจ้าแผ่นดินชื่อ'อุเทน'ครองเมือง แล้วก็มีพระมเหสี
ของพระเจ้าอุเทนองค์หนึ่งชื่อ'มาคันทิยา'ไม่ชอบพระพุทธเจ้า
เรื่องไม่ชอบพระพุทธเจ้านี่ก็เพราะว่า...แม่คนนี้รูปงาม
แกสวย แล้วก็มีความหยิ่งในตัวเองว่าเราเป็นคนสวยมาก
ไม่อยากจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น ใครมาขอแต่งงาน
พ่อแม่ก็ไม่ให้แต่ง เจ้าสาวก็ไม่ชอบใจ...
รอหาเจ้าบ่าวที่มีรูปร่างสวยงามเหมาะสมกัน...

วันหนึ่งพ่อได้ออกไปพบพระพุทธเจ้า พอพบแล้วก็ชอบใจ
เลื่อมใสในรูปร่างของพระองค์....ชอบใจ
ก็เลยบอกพระพุทธเจ้าว่า...อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวจะเอาลูกสาว
มาให้ดูหน่อย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้รับปากรับคำอะไร...
แต่ว่าเมื่อพราหมณ์คนนั้นไปแล้ว พระองค์ก็หลีกไปเสียจาก
ที่ตรงนั้นไปแอบเสียหน่อย แต่ว่าเหยียบรอยเท้าไว้ที่ตรงนั้น

พราหมณ์คนนั้นพอกลับไปถึงบ้าน...ก็บอกกับเมีย
บอกลูกสาวว่าให้แต่งตัวสวยๆ...
เวลานี้ไปพบคนที่เหมาะจะเป็นสามีของเจ้าแล้ว
เราบอกให้หยุดรออยู่ที่ตรงโน้น...เมื่อไปถึงไม่เห็นองค์พุทธเจ้า
เห็นแต่รอยเท้าของพระองค์ เมื่อเห็นรอยเท้า ภรรยาก็บอก
กับสามีว่า...รอยเท้าคนอย่างนี้หรือจะเอามาเป็นลูกเขยเรา
คนอย่างนี้เขาไม่มีกิเลส จะมาเป็นลูกเขยเราได้อย่างไร...?
สามีก็บอกว่า...เจ้าน่ะมันฉลาดหนักหนาละ เก่งทายทัก
เหมือนเห็นจรเข้ในอ่างน้ำงั้นแหละ...แล้วก็ตามหา

หาไปก็พบพระพุทธเจ้าเข้า ก็นิมนต์ให้ออกมาที่แจ้งๆ...
จะได้พบกับลูกสาว พระองค์มาถึงแล้วก็เทศน์ให้ตายายฟัง
แต่ว่ากับลูกสาวนั้นพระองค์บอกว่า....'ลูกสาวของท่าน
อย่าพูดถึงว่าเราจะจับด้วยมือเลยแม้จะจับด้วยเท้าก็ไม่สมควร'

นางสาวมาคันทิยาได้ยินได้ฟังแล้วก็เจ็บใจนัก...
เจ็บใจว่าบุรุษคนนี้ว่าเราอย่างนี้ เอาล่ะ เราจะพยาบาทไว้...
เมื่อใดเรามีบุญวาสนาได้เป็นใหญ่เป็นโตจะต้องเล่นงานสักที
พยาบาทไว้อย่างนั้น...

ครั้นต่อมาก็จับพลัดจับผลูได้ไปเป็นพระสนมของพระเจ้าอุเทน
เลยมีบุญขึ้นแล้ว ก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาที่เมืองนั้น...
ก็สั่งให้คนไปเที่ยวด่า...ด่าที่นั่น...ด่าที่นี่
พระพุทธเจ้าบิณฑบาตรที่ไหนก็จ้างคนไปเที่ยวด่า...ด่าเรื่่อยๆไป
(เหมือนจ้างคนให้ด่าในสมัยหาเสียงอย่างนั้นแหละ)
ด่าเสียจนรำคาญ....พระพุทธเจ้าท่านไม่รำคาญอะไร...
พระอานนท์สิรำคาญ พระอานนท์เลยบอกว่า...
'เมืองนี้ไม่ไหวเวลานี้ มีคนขี้ด่าเต็มบ้านเต็มเมือง เราถอยไปอยู่
เมืองอื่นเถอะ'....พระพุทธเจ้าว่า.....

'จะไปไหนล่ะ...อานนท์ จะไปเมืองที่คนไม่ขี้ด่าอย่างเมืองนี้
แล้วไปเมืองนั้นเจอคนขี้ด่าอีก จะทำอย่างไร...?
มิต้องหนีคนขี้ด่ามันตลอดเวลารึ...ตถาคตนี้ไม่ยอมหนีอย่างนั้น
ตถาคตเป็นเหมือนกับช้างที่ออกสู่สงคราม เขายิงด้วยลูกศร
อาบยาพิษ ช้างก็ไม่ถอยหนี จะยืนสู้กับลูกศรจนกระทั่งว่า....
หมดลมหายใจ.....เหตุมันเกิดขึ้นที่ไหนต้องให้ดับที่นั่น...

เหตุที่เกิดขึ้นที่เมืองนี้ ก็ต้องให้มันดับที่เมืองนี้...
คนจะด่าพระตถาคตได้อย่างมากก็ 7 วัน มันก็หยุดด่าเอง..
เพราะว่าเราไม่ได้ด่าตอบ เขาเหนื่อยหน่ายในการด่าเขาก็หยุด
ไปเอง เราจะต้องอดทน...ต้องหนักแน่นกับเหตุการณ์อย่างนี้'
แล้วผลที่สุดเขาก็หยุดด่า พระองค์ก็ชนะสิ่งเหล่านั้นได้...

อันนี้เป็นบทเรียน...เป็นเครื่องเตือนใจ....
ว่าในชีวิตของเราก็เหมือนกัน อะไรๆที่เกิดขึ้น เราต้องต่อสู้
กับมัน เราอย่าได้คิดหนี...บางคนก็หนีออกจากบ้านไปโน่นไปนี่
ไปแล้วก็กลับมาอีก กลับมาเจอของเก่าเข้าอีก....
อย่างนี้นมันหนีไม่ถูก...ไม่ได้..เราจะต้องต่อสู้กับสิ่งนั้น
ต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาไตร่ตรอง....
เราก็ชนะสิ่งเหล่านั้นได้...ฯ

~พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ)~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

http://guru.google.co.th/guru/thread?ti ... 2fe430a00e

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 151 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron