ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

การดับนิวรณ ๕
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=49305
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  muisun [ 27 ม.ค. 2015, 10:56 ]
หัวข้อกระทู้:  การดับนิวรณ ๕

พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า สังเกตด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ปัญญาเกิดจากการสังเกตุ สังเกตุก็ต้องสังเกตตัวจะ จะชอบ จะชัง จะเฉย ต้องสังเกตตัวนั้น เพราะการสังเกตเราสังเกตเพื่อละกิเลส ห่างไกลจากกิเลส กิเลสคือ โลภ = ชอบ, โกรธ = ชัง, หลง=เฉย กิเลสก็คือความคิดนั่นแหละ
ถ้าเรายังลังเล สงสัย ก็ยังมีนิวรณ์อยู่ นิวรณ์ก็คือความคิดของเรา ฉะนั้น ถ้าเราต้องการกำจัดนิวรณ์ เมื่อความคิดเริ่มเกิด เรากำหนดเลยว่าจะคิดดับๆๆ จะลังเลดับๆๆ จะสงสัยดับๆๆ นึกอย่างไรก็กำหนดไปอย่างนั้น ง่ายดี แล้วก็ดับให้เห็นตามระยะเวลาที่เราเคยสะสมไว้ สะสมไว้มากก็ดับช้าหน่อย สะสมไว้น้อยก็ดับเร็วหน่อย ถ้าไม่สะสมไว้ กำหนดทีเดียวก็ดับเลย ถ้าสงสัยบ่อยๆ เรากำหนดจะสงสัยดับบ่อยๆ ตลอดเวลาต่อเนื่อง นิวรณ์ย่อมดับไป เพราะเราสังเกตุและกำหนดอยู่ เพราะตัวจะคือตัวต้นเหตุ เราสังเกตุต้นเหตุของความคิด เวลาจะคิด กำหนดจะคิดดับๆๆๆ แค่นี้ความคิดก็ดับลงแล้ว เพราะจิตจะคิดอะไรขึ้นมา หรือไม่คิดอะไร เรื่องดีหรือไม่ดีก็ไม่คิดแล้ว เพราะตัวความคิดทุกอย่างทั้งเรื่องดีและไม่ดีเป็นตัวปรุงสังขารทั้งหมด ดังนั้น เราก็ต้องรู้ทันทุกอย่าง ถ้าเฉย สังเกตการเกิดของเค้า กำหนด จะเฉยหนอ แค่นี้ความเฉยก็ดับแล้ว แต่ที่ให้เน้นจะคิดดับตัวเดียว เพื่อให้การทำง่ายขึ้น ถ้าดับได้ตัวหนึ่ง ตัวอื่นก็เห็นเหมือนกันหมด ก็เลยเน้นแค่หลักใหญ่

เจ้าของ:  โกเมศวร์ [ 28 ม.ค. 2015, 15:08 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การดับนิวรณ ๕

:b8: คุณ muisun

การกำหนดว่าดับๆๆนั้น เป็นอุบายให้จิตไปจดจ่อกับคำบริกรรม ก็จะเลิกสนใจอารมณ์ที่เกิดก่อนหน้านั้นชั่วคราวครับ

มีอีกวิธีนึงที่สามารถกำจัดนิวรณ์ได้และยังทำให้โพชฌงค์7 บริบูรณ์
ไม่แน่ใจว่าคุณ muisun เคยทราบมั้ยครับ?

:b8:

เจ้าของ:  ยังไม่พ้น [ 04 ก.พ. 2015, 20:51 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การดับนิวรณ ๕

นิวรณ์นั้นหากเปรียบไปก็แค่แม่ทัพนายกองที่ก่อกวน หาใช่จอมทัพผู้คอยบงการไม่

เจ้าของ:  muisun [ 05 ก.พ. 2015, 10:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การดับนิวรณ ๕

ตัวรู้ไม่ทันไงแม่ทัพ เป็นพญามารตัวใหญ่

เจ้าของ:  ยังไม่พ้น [ 05 ก.พ. 2015, 12:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การดับนิวรณ ๕

จอมทัพของกิเลส คือ ผู้ที่พาเกิดตายไม่รู้จักจบสิ้น

เจ้าของ:  bbby [ 05 ก.พ. 2015, 12:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การดับนิวรณ ๕

คุณ โกเมศวร์ เขียน

อ้างคำพูด:
มีอีกวิธีนึงที่สามารถกำจัดนิวรณ์ได้และยังทำให้โพชฌงค์7 บริบูรณ์
ไม่แน่ใจว่าคุณ muisun เคยทราบมั้ยครับ?


รออ่านค่ะ

ของคุณ muisun คุณยังไม่พ้น ด้วยค่ะ
:b8: :b41: :b55: :b49:

เจ้าของ:  โกเมศวร์ [ 05 ก.พ. 2015, 16:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การดับนิวรณ ๕

:b8: คุณ bbby

เมื่อใดที่คุณตั้งใจ รวมใจไว้ทั้งหมดเพื่อฟังธรรม เมื่อนั้นนิวรณ์5 ไม่มีและโพชฌงค์7 ก็บริบูรณ์
ส่วนคุณจะมีดวงตาเห็นธรรมหรือไม่ ขึ้นกับความสามารถของผู้ถ่ายทอดธรรมครับ

ลองศึกษาด้วยตนเองที่นี่ครับ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

:b8:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 05 ก.พ. 2015, 19:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การดับนิวรณ ๕

โกเมศวร์ เขียน:
:b8: คุณ bbby

เมื่อใดที่คุณตั้งใจ รวมใจไว้ทั้งหมดเพื่อฟังธรรม เมื่อนั้นนิวรณ์5 ไม่มีและโพชฌงค์7 ก็บริบูรณ์
ส่วนคุณจะมีดวงตาเห็นธรรมหรือไม่ ขึ้นกับความสามารถของผู้ถ่ายทอดธรรมครับ

ลองศึกษาด้วยตนเองที่นี่ครับ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

:b8:

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  ยังไม่พ้น [ 06 ก.พ. 2015, 17:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การดับนิวรณ ๕

นิวรย์5ประการเกิดกับจิตผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเกิดตามเหตุปัจจัย เมื่อสติระลึกรู้ มันก็ดับหาย แล้วเกิดขึ้นใหม่ได้ถ้าอารมย์นั้นรุนแรง เช่นกามารมย์ความกำหนัดที่เกิด สู้ไม่ไหวก็ปล่อยเลยตามเลย บางท่านจึงยกธรรมอันเป็นข้อแก้นิวรย์ เครื่องกวนใจนี้ขึ้นพิจารณา ผลที่ได้คือความตั้งมั่นของจิต บางท่านเรียกว่า ควรแก่การงาน หรือ อุปจารสมาธิ หรือ อัปนาสมาธิ สมถกรรมฐานจึงเป็นกำลังหนุนให้กับการเจริญวิปัสนา อย่างมาก สำหรับผู้กระทำให้มากเห็นผลแล้วยิ่งปฏิบัติสมำ่เสมอ ทำให้จิตตั้งมั่นมากขึ้นไม่มีนิวรย์เข้ากวนจิต

เจ้าของ:  ยังไม่พ้น [ 09 ก.พ. 2015, 14:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การดับนิวรณ ๕

ความคิดเห็นส่วนตัว อันจิตนี้เป็น อมตธรรม เกิดขึ้นแล้วไม่แตกสลายไป วนเวียนอยู่ในกามภพ เสวยผลกรรมที่ตนทำไว้ ขนาดจมอยู่ในโลกันตนรก ที่ว่าเป็นแดนที่สุดทรมานและยาวนาน ยังไม่ยอมแตกสลายไป แล้วไปจุติที่ภพอื่น กระทำบาป บุญคุณโทษ เนื่องด้วยเหตุตัวเดียว อวิชา คือไม่รู้หรือความโง่ของจิต ที่ไม่รู้ว่าสังขารเป็นทุกข์ เมื่อไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ก็ไม่หาวิธีพ้นจากทุกข์นั้น แม้นมีความสุขเมื่อเทียบกับทุกข์แล้วก็น้อยนิดเหลือเกิน ท่านจึงว่ามันเป็นทุกข์นั้นแล จึงรำพันกับตัวเอง
อ้างคำพูด:
จิตเอ๋ยอันสังขารและร่างกายนี้ที่เจ้าหวงแหนนักหนานั้นมันมีแต่ความทุกข์ เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ นำความทุกข์มาให้เพียงอย่างเดียว เจ้าจงทิ้งมันเสีย

เฝ้าเพียรภาวนาอบรมปัญญาสร้างวิชชาให้เกิดขึ้น แต่ เหมือนพูดกับคนหูหนวกตาบอดเป็นใบ้ ก็ขอยอมรับว่า บรมโง่จริงๆ

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/