ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ทางสายเดียว
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=49252
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 21 ม.ค. 2015, 15:48 ]
หัวข้อกระทู้:  ทางสายเดียว

ทางไปนิพพานเป็นทางสายเดียว ไม่มีทางเลี้ยว ไม่มีทางคด ไม่มีหย่นย่อได้ ไม่มีทางลัด
ต้องลาดลึกไปตามลำดับ จิตพ้นจากอำนาจกิเลส เป็นอันว่าเข้าถึงนิพพานนี้เรียกว่าโลกุตรภูมิ
เป็นภูมิที่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ใช่ไปเกิดแล้วก็ตั้งโด่เด่อยู่อย่างนั้น คือไม่ตายอีก
เป็นการตายจากชาติที่เป็นพระอรหันต์ เป็นอันว่าสิ้นสุดการเกิดอีกต่อไป

เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ในการตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จึงได็นำมาบอกต่อ
เส้นทางสู่นิพพาน ได้แก่ เอกายมรรค ทางสายเดียวทางสายเอก การเจริญสติปัฏฐาน ๔
คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง ได้แก่ วิปัสสนาภูมิทั้ง ๖ คือ

๑ ขันธ์ ๕
๒ อายตนะ ๑๒
๓ ธาตุ ๑๘
๔ อินทรีย์ ๒๒
๕ อริยสัจ ๔
๖ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒

บางหัวข้อท่านผู้อ่านก็คงทราบ แต่บางหัวข้อคงต้องศึกษารายละเอียดอีกมาก
จะไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้ กล่าวไปก็คงอาจไม่เข้าใจ เลือกย่อๆพอให้เด็กเข้าใจ เพราะถ้าพูดไปเรื่อยๆ
เด็กๆคงหลับกันหมด ส่วนใหญ่เด็กสนใจเพียง ทาน ศีล ภาวนา เท่านั้นครับ

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 21 ม.ค. 2015, 20:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทางสายเดียว

ลุงหมาน เขียน:
ทางไปนิพพานเป็นทางสายเดียว ไม่มีทางเลี้ยว ไม่มีทางคด ไม่มีหย่นย่อได้ ไม่มีทางลัด
ต้องลาดลึกไปตามลำดับ จิตพ้นจากอำนาจกิเลส เป็นอันว่าเข้าถึงนิพพานนี้เรียกว่าโลกุตรภูมิ
เป็นภูมิที่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ใช่ไปเกิดแล้วก็ตั้งโด่เด่อยู่อย่างนั้น คือไม่ตายอีก
เป็นการตายจากชาติที่เป็นพระอรหันต์ เป็นอันว่าสิ้นสุดการเกิดอีกต่อไป

เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ในการตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จึงได็นำมาบอกต่อ
เส้นทางสู่นิพพาน ได้แก่ เอกายมรรค ทางสายเดียวทางสายเอก การเจริญสติปัฏฐาน ๔
คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง ได้แก่ วิปัสสนาภูมิทั้ง ๖ คือ

๑ ขันธ์ ๕
๒ อายตนะ ๑๒
๓ ธาตุ ๑๘
๔ อินทรีย์ ๒๒
๕ อริยสัจ ๔
๖ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒

บางหัวข้อท่านผู้อ่านก็คงทราบ แต่บางหัวข้อคงต้องศึกษารายละเอียดอีกมาก
จะไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้ กล่าวไปก็คงอาจไม่เข้าใจ เลือกย่อๆพอให้เด็กเข้าใจ เพราะถ้าพูดไปเรื่อยๆ
เด็กๆคงหลับกันหมด ส่วนใหญ่เด็กสนใจเพียง ทาน ศีล ภาวนา เท่านั้นครับ


....ส่วนใหญ่เด็กสนใจเพียง ทาน ศีล ภาวนา เท่านั้นครับ....
แค่ 3 อย่างนี้...ก็ต้องใช่ทั้งหมดที่ลุงหมานว่ามานั้นแหละ..ครับ
:b32:

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 22 ม.ค. 2015, 07:15 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทางสายเดียว

อ้างคำพูด:
....ส่วนใหญ่เด็กสนใจเพียง ทาน ศีล ภาวนา เท่านั้นครับ....
แค่ 3 อย่างนี้...ก็ต้องใช่ทั้งหมดที่ลุงหมานว่ามานั้นแหละ..ครับ



ส่วนใหญ่จะสนใจแต่เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา โดยที่ไม่ได้สนใจ
จะศึกษาเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา กันสักเท่าไหร่ แม้กระทั้งทำทานจะกระทำอย่างไร
จึงจะเกิดบุญที่ประกอบด้วยปัญญา การทำทานก็ใช่ว่าจะเป็นบุญเสมอไป บางครั้งก็ทำไปกิเลส
เป็นผู้ชักชวน เช่นอยากได้บุญจึงทำทาน ชาติหน้าจะได้สวยๆไปเกิดในที่ดีๆจึงรักษาศีล
อยากมีอิทธิฤทธิอภินิหารต่างๆจึงทำสมาธิทำฌาน เจตนาเหล่านี้ล้วนแล้วทำไปด้วย
การกระทำที่ขาดปัญญาทั้งสิ้น

พูดง่ายๆ กิเลส ตัณหา ความโง่ มาจัดการบริหารงานชิ้นนี้ทั้งนั้น
เมื่อกิเลสตัณหาความโง่มาบริหาร เขาก็ต้องทำเพื่อเขา คือก็ต้องเป็นอาหารของกิเลสต่อไป
เมื่อกิเลสสร้างอาหารไว้ การจะไปกำจัดกิเลสมันก็ยาก เพราะเขามีกำลังที่จะต่อต้าน

หรือแม้จะอนุโมทนากับคนที่ทำทานก็ใช่ว่าจะได้บุญเสมอไป ถ้าเราไม่เข้าใจอนุโมทนา
กับคนที่ทำบุญทำทานดังที่กล่าวไว้ตอนต้นนั้น เราก็ไม่ได้บุญอยู่ดี เพราะผู้ที่ทำมันไม่บุญที่แท้
มันเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาทั้งสิ้น เมื่อเราอนุโมทนากับเขา เราก็พลอยยินพอใจกับตัณหาและกิเลสด้วย

ที่ผู้ที่อ่านตรงนี้อาจจะตั้งคำถามว่าแล้วเราจะอนุโมทนาให้เป็นบุญอย่างไร
คำตอบก็คือเราจะต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจ เราต้องได้บุญอย่างแน่นอน เช่นว่ามีคนมาบอกว่าวันนี้
ฉันไปทำบุญมาอนุโมทนากันหน่อย เราก็จะต้องบอกว่า "ขออนุโมทนาในส่วนที่เป็นบุญเป็นกุศลด้วย"
เท่านี้แหละ จะเห็นว่าเราจะได้บุญที่แท้ไม่มีกิเลสตัณหาเจือปน เพราะเราไม่ได้อนุโมทนา
กับตัวกิเลสตัณหาที่เขาทำ ถ้าเขาบอกให้อนุโมทนาแล้วเราก็อนุโมทนากับเขาโดยที่เราไม่แยกกิเลส
ตัณหาออกก่อน เราก็ต้องรวบเอากิเลสตัณหาเข้าไปด้วยเลยไม่ได้บุญที่แท้

เจ้าของ:  asoka [ 22 ม.ค. 2015, 13:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทางสายเดียว

:b12:
555555555 ยังอ้อมไป ๆๆๆ ยังมากเรื่องไป ยังไม่ตรงไม่สั้นจริง

ถ้าจะให้ตรงสั้นง่ายแบบไทยๆไม่ต้องใช้บาลีต้อง

เอา "กู" ออกให้ได้ ธรรมทุกสายมารวมกันที่ประตูนี้

ใครจะเอาความเห็นผิด ยึดผิดเป็นกูเป็นเราออกได้อย่างไรวิธีไหนเป็นเรื่องของเอกบุคคลจะค้นพบด้วยตนเอง
:b12:

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 22 ม.ค. 2015, 15:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทางสายเดียว

asoka เขียน:
:b12:
555555555 ยังอ้อมไป ๆๆๆ ยังมากเรื่องไป ยังไม่ตรงไม่สั้นจริง

ถ้าจะให้ตรงสั้นง่ายแบบไทยๆไม่ต้องใช้บาลีต้อง

เอา "กู" ออกให้ได้ ธรรมทุกสายมารวมกันที่ประตูนี้

ใครจะเอาความเห็นผิด ยึดผิดเป็นกูเป็นเราออกได้อย่างไรวิธีไหนเป็นเรื่องของเอกบุคคลจะค้นพบด้วยตนเอง
:b12:


๕๕๕๕๕ ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่สั้นไม่อ้อม แต่เป็นไปตามลำดับลาดลึก
เพราะคิดว่ามากเรื่องนี่แหละ มันจึงอยากหาทางลัดจะเอาให้สั้นให้ได้

ถ้าไม่ใช้บาลีเลยมันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
อาจารย์ที่สอนที่ดีต้องมีคำบาลีคอยกำกับ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นคำสอนของอาจารย์ไป

ถ้าเอา "กู" ออก มันใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าเสียเมื่อไหร่ มันเป็นสัทธรรมปฏิรูป
ก็มักจะสอนกันแบบนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้ละเหตุ คำว่า"กู"มันเป็นเหตุเสียเมื่อไหร่เล่า

พระพุทธเจ้าเพียงบอกว่าจงทำความเห็นให้ตรงกับความเป็นจริง
เพราะธรรมะเป็นของมีจริงเป็นจริง แต่เราไม่เชื่อจึงเกิดการเห็นผิด

ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องของเอกบุคคลค้นพบได้เอง ก็คงเป็นพระศาสดาองค์ใหม่
ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดาองค์นี้ พระศาสดาองค์นี้ก็หมดความหมายไป

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 21 พ.ค. 2018, 08:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทางสายเดียว

Kiss

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/