ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ในทางธรรมปฏิบัติ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=48928 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 04 ธ.ค. 2014, 05:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | ในทางธรรมปฏิบัติ |
ในทางธรรมปฎิบัติ ท่านสอนหลัก " สมดุล " เอาไว้ โดยเตือนว่า สมาธิ ต้องเข้าคู่กับ ความเพียร ศรัทธา ต้องเข้าคู่กับ ปัญญา และสมาธิ ความเพียร ศรัทธา ปัญญา ต้องอยู่ในสายตาของ " ส ติ " เพราะ " ส ติ " คือ ตัวจัดปรับให้ องค์ธรรมทุกข้อเกิด " ดุลยภาพ " ว. วชิรเมธี “มรดกอันเลิศแล้ว จากพ่อจากแม่” ที่ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจมาวัดเพื่อมาสร้างบุญสร้างกุศลเพราะบุญและกุศลเป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญ ต่อการอยู่อย่างร่มเย็น เป็นสุขต่อความเจริญก้าวหน้า ต่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ความวุ่นวายใจทั้งหลาย พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลอยู่เสมอ “บุญและกุศลนี้เป็นคำพูดที่ใช้คู่กัน แต่มีความหมายที่ต่างกัน บุญนี้แปลว่าความสุขใจ กุศลนี้แปลว่าความฉลาดแปลว่าปัญญา” ดังนั้นเวลาเราทำอะไรเราต้องเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ทำบุญหรือสร้างกุศล ถ้าบุญนี้ก็หมายถึงการสร้างความสุขให้กับใจของเรา การที่ใจของเราจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อ เราได้ให้ความสุขแก่ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น สงเคราะห์ผู้อื่นถึงจะทำให้ใจของเรามีความสุข เช่นการดูแลบิดามารดา ผู้มีพระคุณ เลี้ยงดูลูกหลาน ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส ผู้ที่มีวัยสูงอายุที่ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ การช่วยเหลือบุคคลเหล่านั้นโดยที่เราไม่ได้เรียกร้องสิ่งตอบแทนเลย ถึงจะเรียกว่าเป็นบุญ เป็นความสุขใจ แต่ถ้าเราทำแล้วเราหวังผลตอบแทน เช่นเลี้ยงดูพ่อแม่ เพราะอยากจะได้มรดกอย่างนี้ถ้าเกิดพ่อแม่ไม่ให้มรดกก็จะเสียใจ หรือพ่อแม่จะเอาเงินไปทำบุญก็ไม่อนุโมทนา ดีอกดีใจมีความสุขใจไปด้วยเพราะเสียดายเงิน เพราะคิดว่าเงินของพ่อแม่นั้นเป็นของตนเอง อยากจะให้พ่อแม่เก็บเอาไว้ พอพ่อแม่ตายไปจะได้เป็นของตนถ้าดูแลพ่อแม่ในลักษณะนี้ ไม่ถือว่าเป็นการทำบุญ ยังไม่ถือว่าเป็นความกตัญญูกตเวที ถ้าจะให้เป็นบุญเป็นความกตัญญูกตเวที ต้องทำโดยไม่หวังผลตอบแทนจากพ่อจากแม่เลย เพราะคิดว่าพ่อแม่ก็ให้มามากแล้วให้ชีวิตเรามานี้ ก็เหลือเฟือแล้ว เลี้ยงดูเรามาจนเจริญเติบโตเป็นรูปเป็นร่างเป็นคน มีความสุขอยู่อย่างปัจจุบันนี้ ก็ถือว่าให้มามากเกินความปรารถนาแล้ว ดังนั้นไม่ควรที่จะคิดไปถึงเรื่องมรดกที่พ่อแม่มีอยู่ ถ้าพ่อแม่มีความยินดีที่จะยกมรดกให้กับการทำบุญ ก็ควรจะอนุโมทนาด้วย เพราะเราจะได้บุญไปกับท่านด้วย แต่ถ้าเราไม่ยินดีเรามีความรู้สึกน้อยอกน้อยใจ เสียอกเสียใจที่อุตส่าห์เลี้ยงดูพ่อแม่อย่างดี แต่พ่อแม่กลับไม่ให้เงินให้ทองกับตนเลย อย่างนี้ก็ไม่เป็นบุญเป็นความทุกข์ขึ้นมา ดังนั้นเวลาเราทำบุญขอให้เราทำด้วยการเสียสละจริงๆ ทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ไม่หวังผลตอบแทนจากผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใดก็ตาม แม้กระทั่งคำว่าขอบคุณก็ไม่ปรารถนา แต่ก็ไม่ปฏิเสธถ้าผู้อื่นเขามีจิตเมตตากรุณา เขาอยากจะให้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน เราก็รับไว้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ถ้าเราไม่ต้องการจริงๆ เราก็เอาไปทำบุญทำทานต่อก็ได้ แต่ไม่ควรปฏิเสธความปรารถนาดี ความเมตตากรุณาของผู้อื่น เพราะจะทำให้เขาไม่ได้บุญและทำให้เขาเสียใจ และจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นถึงแม้เราจะทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราไม่ต้องการผลตอบแทน แต่เมื่อได้รับ เมื่อมีผู้ให้ก็ขอรับไว้เพื่อเป็นการฉลองศรัทธาของผู้ให้ เช่นพระภิกษุที่ญาติโยมนำข้าวของกับข้าวกับปลาต่างๆ มาถวายพระ ความจริงรับไว้แล้วก็ฉันเองใช้เองไม่ได้หมด แต่ก็ต้องรับไว้เพื่อเป็นการอนุโมทนาบุญ ของศรัทธาญาติโยม เป็นการฉลองศรัทธาเพื่อให้ญาติโยมได้มีบุญได้มีความสุขส่วนสิ่งที่ได้รับมานั้น ก็เอาไปทำประโยชน์ต่อได้ เอาไปทำบุญอีกต่อหนึ่งก็ได้มีคนอื่นเดือดร้อนก็สงเคราะห์กันไปช่วยเหลือกันไป นี่คือลักษณะของการทำบุญทำเพื่อความสุขใจไม่ได้ทำเพื่อผลตอบแทนจากผู้อื่น ถ้าเราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการหวังสิ่งตอบแทนเลย เช่นเราเลี้ยงดูพ่อแม่เราอย่างเต็มที่โดยไม่หวังรับมรดกเลย ถ้าพ่อแม่อยากจะให้มรดกกับพี่กับน้องคนอื่น ก็จะไม่เสียใจเลย จะอนุโมทนายินดีด้วยจะมีความสุขใจด้วย เพราะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านให้ชีวิตเรามา ไม่มีอะไรจะมีคุณค่ายิ่งกว่าชีวิต ถ้าไม่มีชีวิตแล้ว ต่อให้มีสมบัติกองเท่าภูเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นขอให้เราคิดว่าเราได้รับมรดกอันเลิศแล้ว จากพ่อจากแม่มาก็คือการมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ดังนั้นเราไม่ควรที่จะหวังอะไรจากพ่อจากแม่อีก ในการที่เราจะตอบแทนบุญคุณของท่าน ขอให้เราถือว่าการตอบแทนบุญคุณของท่านนั้น เป็นการสร้างบุญสร้างกุศล ให้กับเรา เป็นการพัฒนาตัวเราให้สูงขึ้นให้ดีขึ้น ธรรมะในศาลา วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ “สร้างบุญ สร้างกุศล” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต เรื่องตักกลชาดก ว่าด้วยการเลี้ยงดูบิดามารดา ตอน๒ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้าที่ 870 อุบาสกนั้นทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว พระองค์จึงทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร พาราณสี. ณ บ้านของชาวกาสีตำบล ๑ ตระกลแห่ง ๑ มีบุตรน้อย คนเดียว ชื่อสวิฏฐกะ เขาบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาอยู่ ต่อมาเมื่อมารดา ล่วงลับไปแล้ว ก็บำรุงเลี้ยงบิดา เรื่องทั้งหมดต่อไปนี้ เหมือนเนื้อเรื่อง ปัจจุบันนั่นแหละ ในที่นี้จะกล่าวแต่เนื้อความที่แปลก ดังต่อไปนี้ ครั้งนั้น หญิงนั้นกล่าวว่า ท่านจงดูการกระทำของบิดาเถิด เมื่อฉัน กล่าวว่า อย่าทำอย่างนี้ ๆ ก็โกรธ. แล้วกล่าวต่อไปว่า ข้าแต่นาย บิดา ของท่านดุกับหยาบคาย ก่อการทะเลาะอยู่เรื่อยแกแก่คร่ำคร่า พยาธิ เบียดเบียน ไม่ช้าก็จักตาย ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับแกได้ ในวัน สองวันนี้แกต้องตายแน่ ท่านจงนำแกไปป่าช้าผีดิบขุดหลุมแล้วเอาแกใส่ เข้าไปในหลุม เอาจอบทุบศีรษะให้ตาย เอาฝุ่นกลบข้างบนแล้วจงมา. นายสวิฏฐกะถูกภรรยารบเร้าอยู่บ่อย ๆ จึงกล่าวว่า แน่ะหล่อน ขึ้นชื่อว่าการฆ่าคน เป็นกรรมหนัก ฉันจักฆ่าบิดาอย่างไรได้. นาง กล่าวว่า ฉันจักบอกอุบายแก่ท่าน นายสวิฏฐกะกล่าวว่า จงบอกมาก่อน นางจึงบอกว่า ข้าแต่นาย ท่านจงไปที่บิดานอน ในเวลาเช้ามืด ทำ เสียงดังให้คนทั้งหมดได้ยิน แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ลูกหนี้ของพ่อมี อยู่ที่บ้านโน้น เมื่อฉันจะไปแต่ลำพังเขาจะไม่ให้ เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้ว เงินจักสูญ พรุ่งนี้เรานั่งบนยานไปด้วยกันแต่เช้าทีเดียว. ดังนี้แล้วนาย จงลุกขึ้นตามเวลาที่บิดาบอกไว้ เทียมยานให้แกนั่งบนยานแล้วนำไปป่า ช้าผีดิบ ขุดหลุมแล้วทำเป็นเสียงโจรปล้น ฆ่าแกแล้วผลักลงหลุมทุบ ศีรษะแล้วอาบน้ำมาเรือน. นายสวิฏฐกะคิดว่า อุบายนี้เข้าที. จึงรับคำ ของนางแล้วตระเตรียมยานที่จะไป ก็นายสวิฏฐกะมีบุตรอยู่คนหนึ่งมีอายุ ๗ ขวบ เป็นเด็กฉลาดเฉียบแหลม. เขาฟังคำของมารดา จึงคิดว่า มารดา ของเรามีธรรมลามกยุบิดาเราให้ทำปิตุฆาต เราจักไม่ให้บิดาเราทำปิตุ- ฆาต. แล้วก็ค่อย ๆ ย่องเข้าไปนอนอยู่กับปู่. ครันได้เวลาที่บิดาบอกไว้ นายสวิฏฐกะเทียมยานแล้วกล่าวว่า มาเถิดพ่อ เราไปสะสางลูกหนี้กัน เถิด. แล้วให้บิดานั่งบนยาน กุมารได้ขึ้นยานก่อนแล้ว นายสวิฏฐกะ ไม่อาจห้ามบุตรได้ จึงต้องพาไปป่าช้าผีดิบด้วย ให้บิดาและกุมารพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งกับยาน ตนเองลงถือจอบและตะกร้า เริ่มจะขุดหลุม ๔ เหลี่ยม ณ ที่ลับแห่งหนึ่ง แม้กุมารก็ลงแล้วไปสำนักบิดาทำเป็นไม่รู้ เริ่มคำพูดกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :- ข้าแต่พ่อ มันนก มันเทศ มันมือเสือ และ ผักทอดยอด ก็มิได้มี พ่อต้องการอะไร จึง ขุดหลุมอยู่คนเดียวในป่ากลางป่าช้าเช่นนี้เล่า. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตกฺกลา สนฺติ ได้แก่ มันนก ก็ไม่มี. มันเทศ ชื่อว่า อาลุปานิ. มันมือเสือ ชื่อว่า วิลาลิโย. ผักทอดยอด ชื่อว่า กลมฺพานิ. ลำดับนั้น บิดาได้กล่าวคาถาที่ ๒ ตอบบุตรว่า :- แน่ะพ่อ ปู่ของเจ้าทุพพลภาพมากแล้ว ถูกกองทุกข์อันเกิดจากโรคภัยหลายอย่างเบียด เบียน วันนี้พ่อจะฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม เพราะพ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้ามีชีวิตอยู่ อย่างลำบากเลย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกพฺยาธีหิ คือ ถูกทุกข์อัน เกิดจากพยาธิหลายอย่างเบียดเบียนแล้ว. บทว่า น หิสฺส ตํ ความว่า เพราะว่า พ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้านั้นมีชีวิตอยู่อย่างลำบากเช่นนั้น พ่อเข้าใจว่า ความตายของปู่เท่านั้นประเสริฐกว่ามีชีวิตอยู่เห็นปานนี้ จึงจักฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม. กุมารได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวกึ่งคาถาว่า:- พ่อได้ความดำริอันลามกนี้แล้ว กระทำ กรรมที่หยาบช้า อันล่วงเสียซึ่งประโยชน์. พึงทราบความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า ข้าแต่พ่อท่านคิดว่า เราจักเปลื้องบิดาออกจากทุกข์ จึงผูกไว้ด้วยมรณทุกข์ ชื่อว่า กระทำ กรรมอันหยาบช้า อันล่วงเสียซึ่งประโยชน์ เพราะได้ความดำริอันลามก นี้ และเพราะก้าวล่วงประโยชน์ด้วยอำนาจแห่งความดำรินั้นตั้งอยู่. ก็แหละ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็ฉวยจอบจากมือบิดา ตั้งท่าจะ ขุดหลุมอีกหลุมหนึ่งในที่ใกล้ ๆ กัน. ลำดับนั้น บิดาจึงเข้าไปถามกุมาร นั้นว่า ลูกรัก เจ้าจะขุดหลุมทำไม ? เมื่อกุมารจะตอบบิดา ได้กล่าว คาถาที่ ๓ ว่า :- ข้าแต่พ่อ เมื่อพ่อแก่ลง ก็จักได้รับกรรม เช่นนี้จากลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตาม เยี่ยงตระกูลนั้น จักฝังพ่อเสียในหลุมบ้าง. พึงทราบเนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่าข้าแต่พ่อแม้ลูกก็จัก ฝังพ่อเสียในหลุมอีกหลุมหนึ่ง ในเวลาที่พ่อแก่บ้าง อธิบายว่า พ่อ เพราะเหตุนี้แล เมื่อพ่อแก่ลง ก็จักได้รับกรรมเช่นนี้ ในหลุมที่ขุดไว้นี้ จากตัวลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตามเยี่ยงตระกูลนั้น คือ ที่พ่อให้ เป็นไปแล้วนั้น คือเมื่อเจริญวัยแล้ว อยู่กินกับภริยา ก็จักฝังพ่อเสียใน หลุมบ้าง. ลำดับนั้น บิดาได้กล่าวคำถาที่ ๔ แก่กุมารว่า :- แน่ะพ่อ เจ้ามากล่าวกระทบกระเทียบขู่- เข็ญพ่อด้วยวาจาหยาบคาย เจ้าเป็นลูกที่เกิด แต่อกของพ่อ แต่หาได้มีความอนุเคราะห์เกื้อ- กูลแก่พ่อไม่. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปกุพฺพมาโน แปลว่า ขู่เข็ญ. บทว่า อาสชฺช แปลว่า กระทบกระเทียบ. เมื่อบิดากล่าวอย่างนี้แล้วกุมารผู้เป็นบัณฑิต จึงกล่าวคาถา ๓ คาถา คือคาถาโต้ตอบคาถา ๑ คาถา อุทาน ๒ คาถาว่า :- ข้าแต่พ่อ มิใช่ว่าฉันจะไม่มีความเกื้อกูล อนุเคราะห์แก่พ่อ แม้ฉันก็มีความเกื้อกูลอนุ- เคราะห์แก่พ่อ แต่เพราะฉันไม่กล้าจะห้ามพ่อ ผู้ทำบาปกรรมโดยตรงได้ จึงได้พูดกระทบ- กระเทียบเช่นนั้น. ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดเป็นคนมีธรรมอัน ลามก เบียดเบียนมารดาหรือบิดา ผู้ไม่ประ ทุษร้าย ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า ย่อมเข้าถึง นรกโดยไม่ต้องสงสัย. ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดบำรุงเลี้ยงมารดาบิดา ด้วยข้าวน้ำ ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า เข้าถึง สุคติโดยไม่ต้องสงสัย. บิดาครั้นได้ฟังธรรมกถาของบุตรดังนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า :- แน่ะพ่อ เจ้าจะเป็นผู้ไม่มีความเกื้อกูล อนุเคราะห์แก่พ่อก็หาไม่ เจ้าชื่อว่าเป็นผู้มี ความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อแล้ว แต่พ่อถูก แม่ของเจ้าว่ากล่าว จึงได้กระทำกรรมที่หยาบ- คายเช่นนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหญฺจ เต มาตรา คือ อหํปิ เต มาตรา อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. กุมารได้ฟังดังนั้นแล้ว กล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ธรรมดาสตรีเมื่อเกิด โทสะขึ้นข่มไว้ไม่ได้เลย จึงทำชั่วบ่อย ๆ ควรที่พ่อจะขับแม่ของฉันไปเสีย ไม่ให้ทำชั่วเช่นนี้อีกได้ แล้วกล่าวคาถาที่ ๙ ว่า :- หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บัง- เกิดเกล้าของตัวฉัน พ่อจงขับไล่ไปเสียจาก เรือนของตน เพราะแม่จะนำทุกข์อย่างอื่นมา ให้พ่ออีก. นายสวิฏฐกะได้ฟังคำของบุตรผู้เป็นบัณฑิตแล้ว มีความโสมนัส กล่าวว่า เราไปกันเถิดลูก แล้วขึ้นนั่งบนยานกับบุตรและบิดาไปบ้าน. ฝ่ายหญิงอนาจารนั้นก็ร่าเริงยินดีว่า คนกาลกรรณีออกจากเรือน เราไปแล้ว. จึงเอามูลโคสดมาทาเรือนหุงข้าวปายาสแล้วคอยแลดูทางที่ ผัวจะมา ครั้นเห็นมาทั้ง ๓ คนก็โกรธว่า พาคนกาลกรรณีที่ออกไป กลับมาอีกแล้ว. จึงคำว่า เจ้าคนร้าย เจ้าพาคนกาลกรรณีที่ออกไปแล้ว กลับมาอีกทำไม ? นายสวิฏฐกะไม่พูดอะไร ๆ ปลดยานแล้วจึงพูดว่า คนอนาจาร เจ้าว่าอะไร ? แล้วทุบนางนั้นเสียเต็มที่ กล่าวว่า แต่นี้ไป เจ้าอย่าเข้ามาเรือนนี้ แล้วจับเท้าลากออกไป ครั้นไล่ภรรยาไปแล้ว ก็ อาบน้ำให้บิดากับบุตร แม้ตนเองก็อาบ แล้วบริโภคข้าวปายาสพร้อมกัน ทั้ง ๓ คน หญิงใจบาปนั้นไปอยู่เรือนผู้อื่นได้ ๒ , ๓ วัน. ในกาลนั้น บุตรกล่าวกะบิดาว่า ข้าแต่พ่อแม่ฉันคงยังไม่รู้สำนึก ด้วยการถูกลงโทษเพียงเท่านี้ พ่อจงแกล้งพูดว่า จะไปขอลูกสาวลุงใน ตระกูลโน้นมาปรนนิบัติตัวกับบิดาและบุตร เพื่อทำให้แม่ฉันเก้อ แล้ว ถือเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้นขึ้นยานไปเที่ยวอยู่ตามท้องนา แล้ว กลับมาเวลาเย็น. นายสวิฏฐกะได้กระทำตามทุกประการ สตรีในตระกูล ที่คุ้นเคยบอกหญิงนั้นว่า ได้ยินว่า ผัวของเธอไปบ้านโน้น เพื่อนำหญิง อื่นมาเป็นภริยา. หญิงนั้นสะดุ้งกลัวว่า ฉิบหายละเราคราวนี้ เราไม่มีโอกาสอีก แน่ คิดว่า จะอ้อนวอนบุตรดูสักครั้ง. จึงแอบไปหาบุตร หมอบลง แทบเท้ากล่าวว่า ลูกรัก เว้นเจ้าเสียแล้ว คนอื่นไม่เป็นที่พึ่งของแม่ได้ ตั้งแต่นี้ไปแม่จะปฏิบัติพ่อและปู่ของเจ้าราวกะพระเจดีย์ที่ประทับไว้ เจ้า จะช่วยให้แม่ได้เข้ามาอยู่ในเรือนนี้อีก. กุมารกล่าวว่า ดีแล้วแม่ ถ้าแม่ ไม่ทำเช่นนี้อีก ฉันจักช่วย แม่อย่าประมาท. ครั้นเวลาบิดามา. ได้ กล่าวคาถาที่ ๑๐ ว่า :- หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บัง- เกิดเกล้าของตัวฉัน ซึ่งมีใจบาปนั้น ถูก ทรมานดังช้างพังที่นายควาญฝึกให้อยู่ในอำนาจ แล้ว จงกลับมาเรือนเถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาต เป็นต้น ความว่า ข้าแต่พ่อ บัดนี้ หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ ซึ่งก่อเหตุวุ่นวายนั้น ถูกทรมานดัง ช้างพังที่นายควาญฝึกให้อยู่ในอำนาจ สิ้นพยศแล้ว. บทว่า ปุนราวชาตุ คือ จงกลับมาสู่เรือนนี้อีกเถิด. กุมารนั้นครั้นแสดงธรรมแก่บิดาดังนี้แล้ว ก็ไปนำมารดามา นางขอขมาโทษผัวและพ่อผัวแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ประกอบด้วยธรรม เครื่องข่ม ปฏิบัติผัวพ่อผัวและลูกเป็นอย่างดี สองผัวเมียตั้งอยู่ในโอวาท ของลูก ทำบุญมีทานเป็นต้น แล้วได้ไปเกิดในสวรรค์. พระบรมศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรง ประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจธรรม บุรุษผู้เลี้ยงบิดา ได้ดำรงอยู่ใน โสดาปัตติผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า บิดาบุตรและหญิงสะใภ้ ในครั้งนั้น ได้มาเป็นบิดาบุตรและหญิงสะใภ้ในบัดนี้ ส่วนกุมารผู้เป็น บัณฑิตในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนั้นแล. จบ อรรถกถาตักกลชาดกที่ ๘ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้าที่ 878 เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ ขอเชิญร่วมบุญใหญ่ ๖ ธันวาคม ถวายปัจจัยสร้างช่อฟ้าเลข ๙ วัดป่าภูก้อน อุดรธานี ณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เวลา ๘.๒๙ น โทร 095-9353553, 087-1753308 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |