วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ค. 2025, 05:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดุลยภาพพื้นฐาน ที่ประสานคน กับธรรมชาติและสังคม


พูดในเรื่องใหญ่ๆที่เป็นระดับพื้นฐาน จะขอยกตัวอย่างอีกคู่หนึ่งที่สำคัญมาก เป็นหลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนา คู่นี้คือชื่อของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว


พระพุทธศาสนานี้ประกอบด้วยองค์หรือส่วนประกอบใหญ่ ๒ ส่วน ซึ่งเป็นชื่อเดิมแท้ของพระพุทธศาสนา


ปัจจุบันนี้ ที่เราเรียกกันว่าพระพุทธศาสนานั้น ที่จริง คำว่า "พระพุทธศาสนา" เป็นคำนิยมในสมัยหลัง คำว่า พระพุทธศาสนาก็แปลว่า "คำสอนของพระพุทธเจ้า" เท่านั้นเอง ถ้าเอาความหมายตามตัวอักษร ก็แคบมาก ไม่ใช่ชื่อเดีิมของพระพุทธศาสนาทั้งหมด


ชื่อเดิมนั้นคืออะไร พระพุทธเจ้าเรียกพระพุทธศาสนาของพระองค์ว่าอะไรแน่


เดิมพระพุทธเจ้าทรงเรียกพระศาสนานี้ว่า ธรรมวินัย บางครั้งเรียกเน้นในภาคปฏิบัติว่า พรหมจริยะ

แต่ตอนนี้เราเอาชื่อว่า ธรรมวินัย


แม้แต่ตอนที่จะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า

"ธรรมและวินัย ที่เราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไป"


อันนี้แหละหลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนา

พุทธพจน์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ในพุทธพจน์นี้ยังเรียกเน้น แต่ละอย่างแยกเป็น ๒ คำ ถ้าดูโดยทั่วไป พระพุทธเจ้าตรัสเรียกรวามเป็นคำเดียวว่า "ธรรมวินัย"


หลักนี้แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนานั้นต้องครบ ๒ อย่าง จึงจะมีดุลยภาพ ถ้าเอาอย่างเดียว อาจจะเสียดุล เรื่องธรรมวินัยต้องมีดุลยภาพระหว่างกัน แล้วมันจะเป็นตัวตรวจสอบกันด้วย ทำให้เกิดความพอดี มิฉะนั้น อาจจะเอียงข้างไป


ธรรมและวินัยนี้เป็น ๒ ก็จริง แต่เวลามาเป็นชื่อเรียกพระพุทธศาสนาในภาษาบาลี ท่านใช้เป็นเอกพจน์ เรียกว่า ธมฺมวินโย สองในความเป็นหนึ่ง หรือ หนึ่งจากสองมารวมกันเข้า


เหมือนชีวิตของเรา เป็นสภาพหนึ่งเดียวที่เกิดจากนามและรูป ซึ่งจะต้องมีดุลยภาพ นามและรูป ๒ อย่าง เวลารวมกันในภาษาบาลี เป็นเอกพจน์ว่า นามรูปํ ท่านถือเป็นหนึ่ง


นามญฺจ รูปญฺจ รวมกันเข้าเป็น นามรูปํ

ธมฺโม จ วินโย จ รวมกันเข้าเป็น ธมฺมวินโย


เป็นอันหนึ่งอันเดียว จากสองเป็นหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรม คือ อะไร อันนี้แหละเราจะต้องมาทำความชัดเจนกันหน่อย


ธรรมนั้น เป็นความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาของมัน พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิด มันก็เป็นอย่างนั้น เช่น สิ่งทั้งหลายก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยในระบบความสัมพันธ์ของมันอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าทรงมีปัญญา ทรงค้นพบความจริงนั้น แล้วนำมาเปิดเผย แสดง ชี้แจง ทำให้เข้าใจง่าย แต่ธรรมก็อยู่อย่างนั้นแหละ


ฉะนั้น ธรรมก็คือธรรมดา และสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมดา


การที่จะเอาธรรม มาทำให้เกิดประโยชน์แก่หมู่มนุษย์นี้ ต้องมีวิธีการ มนุษย์มีจำนวนมาก อยู่กันเป็นสังคม การที่จะเอาธรรมมาทำให้เกิดประโยชน์แก่แต่ละคน ก็ต้องให้แต่ละคนเข้าใจ ต้องเที่ยวสั่งสอนให้มีความรู้เข้าใจแต่ละคนไป ช้าเสียเวลา สิ้นเปลืองพลังงานมากมาย


ทำอย่างไรจะให้ธรรมเกิดประโยชน์แก่คนจำนวนมาก ที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคมนี้ ก็ต้องวางเป็นระบบ ต้องมีการจัดตั้ง จะได้เกิดโอกาส และมีวิธีการที่จะทำให้คนจำนวนมากเข้าถึงธรรมนั้นได้


พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงนำเอาความรู้ในความจริงของธรรมชาตินั้นมาจัดตั้งวางระบบขึ้นสำหรับมนุษย์


การจัดตั้งวางระบบแบบแผน เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ที่หมู่มนุษย์จะเอาธรรมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ หรือได้ประโยชน์จากธรรม เรียกว่าเป็น วินัย (อย่าเข้าใจวินัยในความหมายแคบๆ แบบภาษาไทย)


การที่จะจัดตั้งวางระบบเป็นวินัยที่ได้ผล ก็ต้องรู้ถ่องแท้ในธรรมก่อน และวินัยที่จัดตั้งนั้นก็ต้องสอดคล้องกับธรรม อีกทั้งที่จะตั้งวางวินัยนั้นก็เพื่อช่วยให้คนหมู่มากได้ประโยชน์จากธรรม


ดังนั้น ธรรมจึงเป็นฐาน เป็นทั้งจุดหมาย และเป็นบรรทัดฐานของวินัย ที่เป็นระบบจัดตั้งทุกอย่างของสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมืองการปกครอง หรือระบบทางสังคมอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม



ความรู้ในความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา แล้วสามารถใช้ความรู้นั้นมาจัดตั้งวางเป็นระบบสำหรับมนุษย์ได้นี้ เป็นความสามารถพิเศษของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มี


ทำไมเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน


พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ค้นพบธรรมเหมือนพระพุทธเจ้า รู้ เข้าถึงความจริง หมดกิเลส แต่ทำไม่ได้ตอนวางวินัย ได้แค่รู้ความจริง เข้าถึงธรรม แต่จัดวางวินัยไม่ได้ คือวางระบบแบบแผนขึ้นมาให้ธรรมนั้นกลายเป็นประโยชน์แก่สังคมมนุษย์ หรือหมู่มนุษย์จำนวนมากนั้นไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะว่ามีความรู้ความสามารถทั้ง ๒ อย่าง


๑.มีปัญญา ที่เป็นโพธิญาณ อันสามารถเข้าถึงสัจธรรม รู้ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา

๒. มีปัญญา ที่เป็นพลญาณ อันสามารถนำเอาความรู้ในความจริงนั้น มาประกาศและจัดตั้งวางระบบแบบแผนในหมู่มนุษย์ ยังประโยชน์สุขให้แผ่ขยายออกไป เริ่มจากสั่งสอนให้มนุษย์อื่นเข้าใจได้


ฉะนั้นวินัย จึงเกิดจากปัญญาส่วนพิเศษของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กลั่นกรองธรรม นำ

มาจัดวางเป็นระเบียบชีวิต และระบบสังคมของมนุษย์ เช่น การจัดตั้งชุมชน (คือสังฆะ) การ

จัดโครงสร้างของชุมชนนั้น การจัดวางระบบวิธีเกี่ยวกับการที่จะได้มา การครอบครอง การใช้

การแบ่งสรรแจกจ่ายวัตถุปัจจัย ๔ เป็นต้น การกำหนดว่าจะกิน จะอยู่ อะไรอย่างไร การวาง

ระบบสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกัน การจัดสภาพแวดล้อม ว่าทำอย่างไรให้เกื้อหนุนต่อการที่บุคคลจะ

พัฒนาตัวเองเพื่อเข้าถึงและได้ประโยชน์จากธรรม


ว่าตามภาษาปัจจุบันก็คือ การจัดตั้งวางระบบแบบแผนต่างๆในสังคมนุษย์ เช่น ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมืองการปกครอง และระบบทางสังคม ไม่ว่าอย่างใดๆ


พูดอีกสำนวนหนึ่งว่า หรือมองพลิกไปอีกด้านหนึ่ง ระบบของธรรมและวินัย ก็คือระบบขององค์ประกอบ ๓ อย่าง กล่าวคือ คน ธรรมชาติ และสังคม


คนเป็นตัวโยงระหว่างธรรม กับ สังคม เพราะคนเดียวกันนี้


มองด้านหนึ่ง เขาเป็นชีวิต ที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่ในเวลาเดียวกัน


มองด้านหนึ่ง เขาเป็นบุคคล ที่เป็นสมาชิก หรือเป็นส่วนร่วมของสังคม


เมื่อใด คนที่เป็นตัวเชื่อมกลางนี้ เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ ที่เรียกว่า ธรรม ปัญญาที่พาเขาเข้าถึงธรรม ก็จะทำให้เขาสามารถมาจัดวางระบบการอยู่ร่วมสังคม ให้เกิดผลดีแก่ชีวิต เข้ากับการดำเนินการด้านบุคคลในทางสังคม ด้วยสิ่งที่เรียกว่า วินัย ได้อย่างสำเร็จผลด้วย


นี่คือดุลยภาพใหญ่ที่สำคัญยิ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อหัวข้อ "ธรรมเป็นบรรทัดฐานแห่งความถูกต้องของวินัย วินัยเป็นบรรทัดฐานแห่งพฤติกรรมที่ถูกต้องตามธรรม" ที่ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47894

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 12:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ดุลยภาพพื้นฐาน ที่ประสานคน กับธรรมชาติและสังคม คือ

"จิตใจที่เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้าย"

ถ้าบุคคลใดพัฒนาและรักษาใจให้เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้ายได้เสมอๆหรือเป็นประจำ เขาจะสามารถประสานคนกับธรรมชาติและสังคมได้อย่างแน่นแฟ้นกลมกลืน โดยมิต้องไปคอยคิดค้นจดจำว่า อันไหนเป็นธรรมอันไหนเป็นวินัย เป็นศีลข้อไหน ธรรมบทใด ทุกอย่างจะสำเร็จเบ็ดเสร็จลงที่ใจปราศจากยินดียินร้าย

นี่คือวิธีลัดในการสร้างสมดุลย์ธรรมชาติในใจของมนุษย์ ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
ดุลยภาพพื้นฐาน ที่ประสานคน กับธรรมชาติและสังคม คือ

"จิตใจที่เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้าย"

ถ้าบุคคลใดพัฒนาและรักษาใจให้เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้ายได้เสมอๆหรือเป็นประจำ เขาจะสามารถประสานคนกับธรรมชาติและสังคมได้อย่างแน่นแฟ้นกลมกลืน โดยมิต้องไปคอยคิดค้นจดจำว่า อันไหนเป็นธรรมอันไหนเป็นวินัย เป็นศีลข้อไหน ธรรมบทใด ทุกอย่างจะสำเร็จเบ็ดเสร็จลงที่ใจปราศจากยินดียินร้าย

นี่คือวิธีลัดในการสร้างสมดุลย์ธรรมชาติในใจของมนุษย์ ครับ


แฉลบไปโน่น เขาหมายถึงผู้จะนับถือพระพุทธศาสนาจะต้องมีให้ครบทั้งธรรมและวินัย จึงจะได้ดุลย์ เออ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 12:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
ดุลยภาพพื้นฐาน ที่ประสานคน กับธรรมชาติและสังคม คือ

"จิตใจที่เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้าย"

ถ้าบุคคลใดพัฒนาและรักษาใจให้เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้ายได้เสมอๆหรือเป็นประจำ เขาจะสามารถประสานคนกับธรรมชาติและสังคมได้อย่างแน่นแฟ้นกลมกลืน โดยมิต้องไปคอยคิดค้นจดจำว่า อันไหนเป็นธรรมอันไหนเป็นวินัย เป็นศีลข้อไหน ธรรมบทใด ทุกอย่างจะสำเร็จเบ็ดเสร็จลงที่ใจปราศจากยินดียินร้าย

นี่คือวิธีลัดในการสร้างสมดุลย์ธรรมชาติในใจของมนุษย์ ครับ


แฉลบไปโน่น เขาหมายถึงผู้จะนับถือพระพุทธศาสนาจะต้องมีให้ครบทั้งธรรมและวินัย จึงจะได้ดุลย์ เออ :b1:

Onion_L
:b34: :b34:
ดูชื่อกระทู้ที่กรัชกายตั้งให้ดีๆซิครับ หรือคิดจะเฉโก
:b32: :b32: :b32:

ดุลย์ที่ประสานคน กับธรรมชาติ และสังคม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
ดุลยภาพพื้นฐาน ที่ประสานคน กับธรรมชาติและสังคม คือ

"จิตใจที่เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้าย"

ถ้าบุคคลใดพัฒนาและรักษาใจให้เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้ายได้เสมอๆหรือเป็นประจำ เขาจะสามารถประสานคนกับธรรมชาติและสังคมได้อย่างแน่นแฟ้นกลมกลืน โดยมิต้องไปคอยคิดค้นจดจำว่า อันไหนเป็นธรรมอันไหนเป็นวินัย เป็นศีลข้อไหน ธรรมบทใด ทุกอย่างจะสำเร็จเบ็ดเสร็จลงที่ใจปราศจากยินดียินร้าย

นี่คือวิธีลัดในการสร้างสมดุลย์ธรรมชาติในใจของมนุษย์ ครับ


แฉลบไปโน่น เขาหมายถึงผู้จะนับถือพระพุทธศาสนาจะต้องมีให้ครบทั้งธรรมและวินัย จึงจะได้ดุลย์ เออ :b1:


ดูชื่อกระทู้ที่กรัชกายตั้งให้ดีๆซิครับ หรือคิดจะเฉโก[/size]


ดุลย์ที่ประสานคน กับธรรมชาติ และสังคม


คน- สังคม = วินัย ธรรมชาติ = ธรรม คนต้องมีวินัย แล้ววินัยพาคนไปประสานกับธรรม คนนั้นก็อยู่ในสังคม จึงครบ ธรรมวินัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 13:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ.... :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 13:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
ดุลยภาพพื้นฐาน ที่ประสานคน กับธรรมชาติและสังคม คือ

"จิตใจที่เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้าย"

ถ้าบุคคลใดพัฒนาและรักษาใจให้เป็นกลางปราศจากความยินดียินร้ายได้เสมอๆหรือเป็นประจำ เขาจะสามารถประสานคนกับธรรมชาติและสังคมได้อย่างแน่นแฟ้นกลมกลืน โดยมิต้องไปคอยคิดค้นจดจำว่า อันไหนเป็นธรรมอันไหนเป็นวินัย เป็นศีลข้อไหน ธรรมบทใด ทุกอย่างจะสำเร็จเบ็ดเสร็จลงที่ใจปราศจากยินดียินร้าย

นี่คือวิธีลัดในการสร้างสมดุลย์ธรรมชาติในใจของมนุษย์ ครับ


แฉลบไปโน่น เขาหมายถึงผู้จะนับถือพระพุทธศาสนาจะต้องมีให้ครบทั้งธรรมและวินัย จึงจะได้ดุลย์ เออ :b1:


ดูชื่อกระทู้ที่กรัชกายตั้งให้ดีๆซิครับ หรือคิดจะเฉโก


ดุลย์ที่ประสานคน กับธรรมชาติ และสังคม


คน- สังคม = วินัย ธรรมชาติ = ธรรม คนต้องมีวินัย แล้ววินัยพาคนไปประสานกับธรรม คนนั้นก็อยู่ในสังคม จึงครบ ธรรมวินัย

:b12: :b12: :b12: :b12:
คน สังคมจะมีวินัย ทำยังไง อธิบาย

คนมีวินัยจะไปประสานกับธรรมจะทำยังไง.....อธิบายด้วยซิ อย่าพูดลอยๆ พูดไม่จบกระบวนความ แบบคนฉี่ไม่สุดซิ


"ว่าให้เขา อิเหนาเป็นเองเสียแล้วW เฮ้อ!!!!!!!!!!
grin

:b13: :b13: :b13: :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร