ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ทัพพีไม่รู้รสแกง http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47108 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 6 |
เจ้าของ: | รสมน [ 07 ม.ค. 2014, 19:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | ทัพพีไม่รู้รสแกง |
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระอุทายี- เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ยาวชีวมฺปิ เจ พาโล" เป็นต้น. คนไม่รู้มักถือตัว ได้ยินว่า พระอุทายีเถระนั้น เมื่อพระเถระผู้ใหญ่หลีกไปแล้ว ไปสู่ โรงธรรมแล้ว นั่งบนธรรมาสน์. ต่อมาวันหนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะเห็น พระอุทายีเถระนั้นแล้วเข้าใจว่า " ภิกษุนี้จักเป็นพระมหาเถระผู้พหูสูต" จึงถามปัญหาปฏิสังยุตด้วยขันธ์เป็นต้นแล้ว ติเตียนท่านผู้ไม่รู้อยู่ซึ่งพระ- พุทธวจนะอะไร ๆ ว่า "นี่พระเถระอะไร ? อยู่ในพระวิหารเดียวกัน กับพระพุทธเจ้า ยังไม่รู้ธรรมแม้สักว่าขันธ์ธาตุและอายตนะ" ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระตถาคต. ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อ จะทรงแสดงธรรมแก่พวกภิกษุอาคันตุกะนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- "ถ้าคนพาล เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตอยู่ แม้จนตลอดชีวิต, เขาย่อมไม่รู้ธรรม เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกงฉะนั้น." เวทนา ซึ่งเป็นความรู้สึก นั้น มี ๕ คือ ความรู้สึกที่เป็นสุขทางกาย(สุขเวทนา) ความรู้สึกที่เป็นสุขทางใจ (โสมนัสเวทนา) ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทางกาย(ทุกขเวทนา) ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทางใจ( โทมนัสเวทนา) และ ความรู้สึกเฉย ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ (อทุกขมสุขเวทนา หรือ อุเบกขาเวทนา) ฌานก็เปรียบเหมือน ก้อนหินทับหญ้า หญ้าก็ไม่งอกขึ้น แต่ไม่ตายตราบเท่าที่ก้อน หินทับอยู่ การเจริญสมถภาวนาที่ได้ฌานก็เช่นกัน สงบจากกิเลส ตราบเท่าที่อยู่ใน ฌานแต่เชื้อของกิเลสไม่สามารถดับได้ พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงที่เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นการเจริญสติปัฏฐาน 4 ที่เป็นการเจริญ วิปัสสนา ซึ่งหนทางในการดับกิเลส เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ |
เจ้าของ: | asoka [ 08 ม.ค. 2014, 13:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
![]() ![]() ![]() "เป็นชาวพุทธ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ จำไม่ได้ ไม่ทราบซึ้ง ซึ่ง อริยสัจ 4 เปรียบเหมือนทัพพี ไม่รู้รสแกง" ควรเรียกว่า "ชาวพุทธปลอม" ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 08 ม.ค. 2014, 16:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
asoka เขียน: ![]() ![]() ![]() "เป็นชาวพุทธ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ จำไม่ได้ ไม่ทราบซึ้ง ซึ่ง อริยสัจ 4 เปรียบเหมือนทัพพี ไม่รู้รสแกง" ควรเรียกว่า "ชาวพุทธปลอม" ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() นั่นมีพระปลอม นี่มีชาวพุทธปลอม อีกแล้ว... ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 08 ม.ค. 2014, 19:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
eragon_joe เขียน: asoka เขียน: ![]() ![]() ![]() "เป็นชาวพุทธ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ จำไม่ได้ ไม่ทราบซึ้ง ซึ่ง อริยสัจ 4 เปรียบเหมือนทัพพี ไม่รู้รสแกง" ควรเรียกว่า "ชาวพุทธปลอม" ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() นั่นมีพระปลอม นี่มีชาวพุทธปลอม อีกแล้ว... ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เอก้อนเป็นชาวพุทธจริงหรือยังล่ะครับ ![]() ยิ่งถ้าจะให้ถึงความเป็นชาวพุทธสมบูรณ์จนเป็นที่รับรองได้ ต้องปิดประตูอบายให้สำเร็จเสียก่อนเจียวนะครับ ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 08 ม.ค. 2014, 20:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
asoka เขียน: ![]() ![]() เอก้อนเป็นชาวพุทธจริงหรือยังล่ะครับ ![]() ยิ่งถ้าจะให้ถึงความเป็นชาวพุทธสมบูรณ์จนเป็นที่รับรองได้ ต้องปิดประตูอบายให้สำเร็จเสียก่อนเจียวนะครับ ![]() ด้วย ทิฐิ ทำให้ปรากฎอะไรต่อมิอะไรตั้งเยอะเลยนะ ... ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 08 ม.ค. 2014, 20:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
พรหมชาลสูตร เป็นพระสูตรที่กล่าวถึง ทางเป็นไปต่าง ๆ ไว้มากพอ ถ้าอ่านแล้วเข้าใจถึงใจได้ ใจมันก็น้อมไปสู่การปิดทางไปต่าง ๆ ที่ยิ่งกว่า อย่าว่าแต่อบายเลย ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 09 ม.ค. 2014, 19:50 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง | ||
eragon_joe เขียน: พรหมชาลสูตร เป็นพระสูตรที่กล่าวถึง ทางเป็นไปต่าง ๆ ไว้มากพอ ถ้าอ่านแล้วเข้าใจถึงใจได้ ใจมันก็น้อมไปสู่การปิดทางไปต่าง ๆ ที่ยิ่งกว่า อย่าว่าแต่อบายเลย ![]() ![]() ![]() ![]() ถ้าปิดประตูอบายได้แล้ว ก็ขออนุโมทนา ถ้ายังน้อมไปสู่การปิดต่างๆอยู่ ก็ขอให้เจริญไปในการปิดทางต่างๆอยู่แต่อย่าเพิ่งปิดทางแห่งมรรคมีองค์แปดเสียก่อนนะครับ สาธุ ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | eragon_joe [ 09 ม.ค. 2014, 20:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
การมี ทิฐิ ว่าตนปิดได้แล้วมันเป็น ความหลง การรู้ชัด ในการปิดลงด้วยภาวนา เป็น ปัญญา พรหมชาลสูตร ... เป็นพระสูตรว่าด้วย ปัญญา ด้วยบทปิดในแต่ละท่อน อ้างคำพูด: เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๑. พรหมชาลสูตร เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ .... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ. ...... (และบทปิดส่งท้าย).... ...... เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า อรรถชาละก็ได้ ว่าธรรมชาละก็ได้ ว่าพรหมชาละก็ได้ ว่าทิฏฐิชาละก็ได้ ว่าพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมก็ได้. ครั้นพระผู้มีพระภาค ตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ หมื่น โลกธาตุได้หวั่นไหวแล้วแล. ด้วยบทปิดแต่ละท่อน บ่งบอก พระสูตรนี้เป็นคำสอนหนึ่งที่ผ่านการกลั่นกรอง รวบยอด ปัญญา ซึ่งจะมีกี่พระสูตรในพระไตรปิฏก ที่เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสจบแล้วโลกธาตุเกิดการหวั่นไหว ... ![]() ![]() ![]() พระพุทธองค์ยกชื่อพระสูตรนี้ว่าเป็น พิชัยสงคราม ![]() ![]() ![]() อ่านแล้ว รู้รสแห่งพระธรรม หรือ ไม่ ตนนั้นย่อมรู้ตนดี... ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 09 ม.ค. 2014, 21:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
การปิดประตูอบาย ถ้าอยากแสดงตนว่าตนนั้นปิดประตูอบายได้แล้ว ก็เพียงแค่ชี้แจงมา ว่าประตูอบายมันปิดลงอย่างไร แค่นั้น ถ้าอธิบายได้ ความเห็นนั้นย่อมลงกันได้กับผู้อื่นที่ได้สัมผัสธรรมนั้นมาแล้วเช่นกัน ผู้ที่ผ่านการภาวนามาแล้ว..ความเห็นตรงกัน ลงกันได้ และย่อม ลงได้กับคำสอนแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในทุกหมวดแห่งธรรมอันว่าด้วยปัญญา ซึ่งคนที่ปิดได้แล้ว ด้วยภาวนา เขาไม่น่าจะพูดพร่ำเพรื่อในเรื่องนี้ นะ หนึ่ง ...เพราะ มันเป็นการแสดงตน ซึ่งพวกท่านมักจะไม่แสดงตน สอง ...เพราะ มันเป็นปัญญาที่ผู้ฟังที่ยังมีฝุ่นอยู่ในตา...จะเข้าใจตามได้ยาก... ซึ่งถ้าจะพูดกัน ท่านจะคุยกันในวงลับส่วนตัว กับผู้ที่มีภูมิธรรมยิ่งกว่า หรือเสมอกันเท่านั้น เพื่อเป็นการสอบทานกันในธรรมอันว่าด้วยปัญญา ไม่ได้เพื่อแสดงตน โอ้อวดตน ภูมิธรรมหย่อนกว่า ท่านอาจจะไม่คุยด้วยเลย เพราะภูมิธรรมที่หย่อนกว่าจะเอาปัญญาอะไรไปประเมินท่าน ชี้นำท่าน แนะทำท่านก็ไม่ได้ การปิดประตูอบาย เป็น ชั้นปัญญา ชั้น ปัญญา ไม่มีการหลงไปในความคิดว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ก็จะหมายว่ากำลังปิด หรือ ปิดได้ ... มันปิด ก็คือ มันปิดกันเห็น ๆ รู้ชัด ๆ นี่เลย ซึ่งไม่ต้องมีใครบอก ผู้ปิดได้ ย่อมรู้ว่าปิดได้แล้ว และ ปิดได้อย่างไรก็ย่อมรู้ ชัด และ ปัญญาที่รู้ชัดนั้น ย่อมลงได้กับ สัจจะธรรม ธรรมอันเป็นสัจจะ ตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า .... เข้าใจว่า...แค่นั้นแหละ... ![]() |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 10 ม.ค. 2014, 00:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
เรียกมังกรน้อยมาหลายปีแล้ว ต่อไป คงต้องเรียก มังกรทะยานฟ้าแล้วสินะ เอรากอน_โจ๋ |
เจ้าของ: | asoka [ 10 ม.ค. 2014, 17:53 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง | ||
eragon_joe เขียน: การปิดประตูอบาย ถ้าอยากแสดงตนว่าตนนั้นปิดประตูอบายได้แล้ว ก็เพียงแค่ชี้แจงมา ว่าประตูอบายมันปิดลงอย่างไร แค่นั้น ถ้าอธิบายได้ ความเห็นนั้นย่อมลงกันได้กับผู้อื่นที่ได้สัมผัสธรรมนั้นมาแล้วเช่นกัน ผู้ที่ผ่านการภาวนามาแล้ว..ความเห็นตรงกัน ลงกันได้ และย่อม ลงได้กับคำสอนแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในทุกหมวดแห่งธรรมอันว่าด้วยปัญญา ซึ่งคนที่ปิดได้แล้ว ด้วยภาวนา เขาไม่น่าจะพูดพร่ำเพรื่อในเรื่องนี้ นะ หนึ่ง ...เพราะ มันเป็นการแสดงตน ซึ่งพวกท่านมักจะไม่แสดงตน สอง ...เพราะ มันเป็นปัญญาที่ผู้ฟังที่ยังมีฝุ่นอยู่ในตา...จะเข้าใจตามได้ยาก... ซึ่งถ้าจะพูดกัน ท่านจะคุยกันในวงลับส่วนตัว กับผู้ที่มีภูมิธรรมยิ่งกว่า หรือเสมอกันเท่านั้น เพื่อเป็นการสอบทานกันในธรรมอันว่าด้วยปัญญา ไม่ได้เพื่อแสดงตน โอ้อวดตน ภูมิธรรมหย่อนกว่า ท่านอาจจะไม่คุยด้วยเลย เพราะภูมิธรรมที่หย่อนกว่าจะเอาปัญญาอะไรไปประเมินท่าน ชี้นำท่าน แนะทำท่านก็ไม่ได้ การปิดประตูอบาย เป็น ชั้นปัญญา ชั้น ปัญญา ไม่มีการหลงไปในความคิดว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ก็จะหมายว่ากำลังปิด หรือ ปิดได้ ... มันปิด ก็คือ มันปิดกันเห็น ๆ รู้ชัด ๆ นี่เลย ซึ่งไม่ต้องมีใครบอก ผู้ปิดได้ ย่อมรู้ว่าปิดได้แล้ว และ ปิดได้อย่างไรก็ย่อมรู้ ชัด และ ปัญญาที่รู้ชัดนั้น ย่อมลงได้กับ สัจจะธรรม ธรรมอันเป็นสัจจะ ตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า .... เข้าใจว่า...แค่นั้นแหละ... ![]() ![]() อืม..!..... เอก้อน น่าจะพ้นจากภาวะมังกือ ไปสู่มังกรเสียจริงๆแล้ว เพราะดูมีความอาจหาญในธรรมดีมากขึ้น แต่เสียดายที่ยังอ้อมค้อม ถ่อมตัว ขยักนิดขยักหน่อยอยู่ ไม่กล้าพูดออกมาอย่างเต็มปาก สังเกตได้จากความท่อนนี้ การปิดประตูอบาย "ถ้าอยากแสดงตนว่าตนนั้นปิดประตูอบายได้แล้ว ก็เพียงแค่ชี้แจงมา ว่าประตูอบายมันปิดลงอย่างไร แค่นั้น" ![]() "ก็ แค่นั้น" เอง แต่ทำไมไม่พูดออกมาตามที่ถูกถาม ไม่จำเป็นต้องตอบตรงๆก็ได้ ครูบาอาจารย์ท่านบอก สอน แนะนำไว้สืบๆต่อกันมาว่า ถ้าจำเป็นจะต้องบอกคุณธรรมที่มีในตนโดยมิให้ล่วงพระวินัยนั้น ท่านให้แสดงเป็นธรรมะ หรืออ้างบุคคล อ้างอุปมาอุปมัยแทน ตัวอย่างเช่น เคยได้ยินมาว่า.....หรือเคยได้ศึกษามาว่า...... อันธรรมดาผู้ที่จะปิดประตูอบายได้สนิท คือถึงความเป็นพระโสดาบันนั้น ท่านจะต้อง ละความเห็นผิด ว่ากายใจนี้เป็น อัตตา ตัวกู ของกู หรือบาลีเรียกว่า "สักกายทิฏฐิ" ลงได้ก่อน เป็นสำคัญ หลังจากนั้น หลังจากปัจจเวกขณญาณเสร็จแล้ว วิจิกิจฉาจะดับตามและมีสีลัพพัตปรามาส เป็นผลในเบื้องท้าย อย่างนี้เป็นต้น ถ้าจะมีอาการโดยพิสดารมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมก็อาจพูดว่า "ท่านกล่าวว่า" ยามที่สักกายทิฏฐิจะขาดสะบั้นลงนั้น มันมีอาการเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตที่ร่างกายอย่างแรง หรือเหมือนตกลงไปในเหวที่ไม่มีก้น หรือเหมือนเชือกที่ดึงไว้ตึงเปรี๊ยะขาดสะบั้นลงท่ามกลาง หรือร้อนวูบจากกลางกายพุ่งทะลุหลุดออกไปทางศรีษะ หรือเย็นวาบ เหมือนถูกน้ำแข็งราดจากศรีษะไปถึงเท้า ทะลุออกไปที่เท้า หรือเหมือนกายนี้ระเบิดแตกทำลายออกเป็นจุลมหาจุณ หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างแตกทำลายหายวับเป็นสูญไปในชั่วพริบตา เมื่อรู้ตัวขึ้นมาก็มีอาการประดุจกายภายในนี้กลวงโบ๋ ว่างเปล่า ปราศจากความรู้สึกเป็นกูเป็นเราคอยตั้งรับอยู่ภายในดังที่เคยเป็น ปีติ ปัสสัทธิจะเกิดขึ้นตามมาให้ตัวเบาใจเบาดุจปุยนุ่น สุข อิ่มเอิบใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากนั้นอาจดับวูบลงไปเสวยความสงบเย็นอีก หนึ่งหรือหลายครั้ง เมื่ออิ่มเต็มตามกำลังแล้ว การพิจารณาทบทททวนย้อนกลับว่ามีอะไรเกิดขึ้นตามลำดับก็จะชัดเจนขึ้นมา ปฏิจจสมุปบาทที่ไม่ค่อยเข้าใจ จะเข้าใจแจ่มแจ้งแดงชัดที่สุดในตอนนี้ จนวิจิกิจฉาดับขาด โอ้พระมหากรุณาธิคุณของพุทธบิดา โอ้ธรรมะนี้อัศจรรย์จริงหนอ พระสังฆเจ้าอริยเจ้าทั้งหลายช่างมีคุณอันล้ำลึกยิ่งหนอ ไม่มีสรณะอื่นใดยิ่งกว่านี้ไปอีกแล้ว น้ำตาแห่งปีติอาจซึมไหลในหลายท่าน......ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | eragon_joe [ 10 ม.ค. 2014, 19:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
asoka เขียน: ![]() อืม..!..... เอก้อน น่าจะพ้นจากภาวะมังกือ ไปสู่มังกรเสียจริงๆแล้ว เพราะดูมีความอาจหาญในธรรมดีมากขึ้น แต่เสียดายที่ยังอ้อมค้อม ถ่อมตัว ขยักนิดขยักหน่อยอยู่ ไม่กล้าพูดออกมาอย่างเต็มปาก สังเกตได้จากความท่อนนี้ การปิดประตูอบาย "ถ้าอยากแสดงตนว่าตนนั้นปิดประตูอบายได้แล้ว ก็เพียงแค่ชี้แจงมา ว่าประตูอบายมันปิดลงอย่างไร แค่นั้น" ![]() "ก็ แค่นั้น" เอง แต่ทำไมไม่พูดออกมาตามที่ถูกถาม ไม่จำเป็นต้องตอบตรงๆก็ได้ ครูบาอาจารย์ท่านบอก สอน แนะนำไว้สืบๆต่อกันมาว่า ถ้าจำเป็นจะต้องบอกคุณธรรมที่มีในตนโดยมิให้ล่วงพระวินัยนั้น ท่านให้แสดงเป็นธรรมะ หรืออ้างบุคคล อ้างอุปมาอุปมัยแทน ตัวอย่างเช่น เคยได้ยินมาว่า.....หรือเคยได้ศึกษามาว่า...... อันธรรมดาผู้ที่จะปิดประตูอบายได้สนิท คือถึงความเป็นพระโสดาบันนั้น ท่านจะต้อง ละความเห็นผิด ว่ากายใจนี้เป็น อัตตา ตัวกู ของกู หรือบาลีเรียกว่า "สักกายทิฏฐิ" ลงได้ก่อน เป็นสำคัญ หลังจากนั้น หลังจากปัจจเวกขณญาณเสร็จแล้ว วิจิกิจฉาจะดับตามและมีสีลัพพัตปรามาส เป็นผลในเบื้องท้าย อย่างนี้เป็นต้น ถ้าจะมีอาการโดยพิสดารมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมก็อาจพูดว่า "ท่านกล่าวว่า" ยามที่สักกายทิฏฐิจะขาดสะบั้นลงนั้น มันมีอาการเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตที่ร่างกายอย่างแรง หรือเหมือนตกลงไปในเหวที่ไม่มีก้น หรือเหมือนเชือกที่ดึงไว้ตึงเปรี๊ยะขาดสะบั้นลงท่ามกลาง หรือร้อนวูบจากกลางกายพุ่งทะลุหลุดออกไปทางศรีษะ หรือเย็นวาบ เหมือนถูกน้ำแข็งราดจากศรีษะไปถึงเท้า ทะลุออกไปที่เท้า หรือเหมือนกายนี้ระเบิดแตกทำลายออกเป็นจุลมหาจุณ หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างแตกทำลายหายวับเป็นสูญไปในชั่วพริบตา เมื่อรู้ตัวขึ้นมาก็มีอาการประดุจกายภายในนี้กลวงโบ๋ ว่างเปล่า ปราศจากความรู้สึกเป็นกูเป็นเราคอยตั้งรับอยู่ภายในดังที่เคยเป็น ปีติ ปัสสัทธิจะเกิดขึ้นตามมาให้ตัวเบาใจเบาดุจปุยนุ่น สุข อิ่มเอิบใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากนั้นอาจดับวูบลงไปเสวยความสงบเย็นอีก หนึ่งหรือหลายครั้ง เมื่ออิ่มเต็มตามกำลังแล้ว การพิจารณาทบทททวนย้อนกลับว่ามีอะไรเกิดขึ้นตามลำดับก็จะชัดเจนขึ้นมา ปฏิจจสมุปบาทที่ไม่ค่อยเข้าใจ จะเข้าใจแจ่มแจ้งแดงชัดที่สุดในตอนนี้ จนวิจิกิจฉาดับขาด โอ้พระมหากรุณาธิคุณของพุทธบิดา โอ้ธรรมะนี้อัศจรรย์จริงหนอ พระสังฆเจ้าอริยเจ้าทั้งหลายช่างมีคุณอันล้ำลึกยิ่งหนอ ไม่มีสรณะอื่นใดยิ่งกว่านี้ไปอีกแล้ว น้ำตาแห่งปีติอาจซึมไหลในหลายท่าน......ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น ![]() ![]() ![]() ลักษณะที่ท่านได้รับรู้มา ปรากฎเหล่านั้น มันปรากฎขึ้น และมันก็ดับไป แล้ว ... นะ ... ใช่มั๊ย... ... เน๊อะ ... และจะสำคัญว่าปัจจุบันจะต้องเป็นอะไรกับปรากฎที่ล่วงไปแล้ว... ... ล่ะ ... ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 10 ม.ค. 2014, 20:34 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง | ||
eragon_joe เขียน: asoka เขียน: ![]() อืม..!..... เอก้อน น่าจะพ้นจากภาวะมังกือ ไปสู่มังกรเสียจริงๆแล้ว เพราะดูมีความอาจหาญในธรรมดีมากขึ้น แต่เสียดายที่ยังอ้อมค้อม ถ่อมตัว ขยักนิดขยักหน่อยอยู่ ไม่กล้าพูดออกมาอย่างเต็มปาก สังเกตได้จากความท่อนนี้ การปิดประตูอบาย "ถ้าอยากแสดงตนว่าตนนั้นปิดประตูอบายได้แล้ว ก็เพียงแค่ชี้แจงมา ว่าประตูอบายมันปิดลงอย่างไร แค่นั้น" ![]() "ก็ แค่นั้น" เอง แต่ทำไมไม่พูดออกมาตามที่ถูกถาม ไม่จำเป็นต้องตอบตรงๆก็ได้ ครูบาอาจารย์ท่านบอก สอน แนะนำไว้สืบๆต่อกันมาว่า ถ้าจำเป็นจะต้องบอกคุณธรรมที่มีในตนโดยมิให้ล่วงพระวินัยนั้น ท่านให้แสดงเป็นธรรมะ หรืออ้างบุคคล อ้างอุปมาอุปมัยแทน ตัวอย่างเช่น เคยได้ยินมาว่า.....หรือเคยได้ศึกษามาว่า...... อันธรรมดาผู้ที่จะปิดประตูอบายได้สนิท คือถึงความเป็นพระโสดาบันนั้น ท่านจะต้อง ละความเห็นผิด ว่ากายใจนี้เป็น อัตตา ตัวกู ของกู หรือบาลีเรียกว่า "สักกายทิฏฐิ" ลงได้ก่อน เป็นสำคัญ หลังจากนั้น หลังจากปัจจเวกขณญาณเสร็จแล้ว วิจิกิจฉาจะดับตามและมีสีลัพพัตปรามาส เป็นผลในเบื้องท้าย อย่างนี้เป็นต้น ถ้าจะมีอาการโดยพิสดารมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมก็อาจพูดว่า "ท่านกล่าวว่า" ยามที่สักกายทิฏฐิจะขาดสะบั้นลงนั้น มันมีอาการเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตที่ร่างกายอย่างแรง หรือเหมือนตกลงไปในเหวที่ไม่มีก้น หรือเหมือนเชือกที่ดึงไว้ตึงเปรี๊ยะขาดสะบั้นลงท่ามกลาง หรือร้อนวูบจากกลางกายพุ่งทะลุหลุดออกไปทางศรีษะ หรือเย็นวาบ เหมือนถูกน้ำแข็งราดจากศรีษะไปถึงเท้า ทะลุออกไปที่เท้า หรือเหมือนกายนี้ระเบิดแตกทำลายออกเป็นจุลมหาจุณ หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างแตกทำลายหายวับเป็นสูญไปในชั่วพริบตา เมื่อรู้ตัวขึ้นมาก็มีอาการประดุจกายภายในนี้กลวงโบ๋ ว่างเปล่า ปราศจากความรู้สึกเป็นกูเป็นเราคอยตั้งรับอยู่ภายในดังที่เคยเป็น ปีติ ปัสสัทธิจะเกิดขึ้นตามมาให้ตัวเบาใจเบาดุจปุยนุ่น สุข อิ่มเอิบใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากนั้นอาจดับวูบลงไปเสวยความสงบเย็นอีก หนึ่งหรือหลายครั้ง เมื่ออิ่มเต็มตามกำลังแล้ว การพิจารณาทบทททวนย้อนกลับว่ามีอะไรเกิดขึ้นตามลำดับก็จะชัดเจนขึ้นมา ปฏิจจสมุปบาทที่ไม่ค่อยเข้าใจ จะเข้าใจแจ่มแจ้งแดงชัดที่สุดในตอนนี้ จนวิจิกิจฉาดับขาด โอ้พระมหากรุณาธิคุณของพุทธบิดา โอ้ธรรมะนี้อัศจรรย์จริงหนอ พระสังฆเจ้าอริยเจ้าทั้งหลายช่างมีคุณอันล้ำลึกยิ่งหนอ ไม่มีสรณะอื่นใดยิ่งกว่านี้ไปอีกแล้ว น้ำตาแห่งปีติอาจซึมไหลในหลายท่าน......ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น ![]() ![]() ![]() ลักษณะที่ท่านได้รับรู้มา ปรากฎเหล่านั้น มันปรากฎขึ้น และมันก็ดับไป แล้ว ... นะ ... ใช่มั๊ย... ... เน๊อะ ... และจะสำคัญว่าปัจจุบันจะต้องเป็นอะไรกับปรากฎที่ล่วงไปแล้ว... ... ล่ะ ... ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โอ้ ! ดีแล้วๆ ที่เป็นเอก้อนผู้ไม่มีประวัติศาสตร์ เป็นมังกรที่ไร้ร่องรอย ขอให้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ให้ดีที่สุดจริงๆ ได้ ก็ขออนุโมทนา ![]() ![]() ![]() อ้อ ! .......คนที่มีชีวิตอยู่แต่ปัจจุบันนี่ สิ่งที่จะพูดเรื่องที่จะทำก็คงมีแต่เรื่องปัจจุบัน ๆ ๆ ทั้งนั้นเลยใช่ไหมครับ? อดีตคงไม่จำเป็นอะไรแล้วนะครับ ....สงสัย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | eragon_joe [ 10 ม.ค. 2014, 21:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
asoka เขียน: ![]() ![]() โอ้ ! ดีแล้วๆ ที่เป็นเอก้อนผู้ไม่มีประวัติศาสตร์ เป็นมังกรที่ไร้ร่องรอย ขอให้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ให้ดีที่สุดจริงๆ ได้ ก็ขออนุโมทนา ![]() ![]() ![]() อ้อ ! .......คนที่มีชีวิตอยู่แต่ปัจจุบันนี่ สิ่งที่จะพูดเรื่องที่จะทำก็คงมีแต่เรื่องปัจจุบัน ๆ ๆ ทั้งนั้นเลยใช่ไหมครับ? อดีตคงไม่จำเป็นอะไรแล้วนะครับ ....สงสัย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() พรุ่งนี้...เป็นวันเด็กแห่งชาติ ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 10 ม.ค. 2014, 22:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทัพพีไม่รู้รสแกง |
asoka เขียน: eragon_joe เขียน: asoka เขียน: ![]() อืม..!..... เอก้อน น่าจะพ้นจากภาวะมังกือ ไปสู่มังกรเสียจริงๆแล้ว เพราะดูมีความอาจหาญในธรรมดีมากขึ้น แต่เสียดายที่ยังอ้อมค้อม ถ่อมตัว ขยักนิดขยักหน่อยอยู่ ไม่กล้าพูดออกมาอย่างเต็มปาก สังเกตได้จากความท่อนนี้ การปิดประตูอบาย "ถ้าอยากแสดงตนว่าตนนั้นปิดประตูอบายได้แล้ว ก็เพียงแค่ชี้แจงมา ว่าประตูอบายมันปิดลงอย่างไร แค่นั้น" ![]() "ก็ แค่นั้น" เอง แต่ทำไมไม่พูดออกมาตามที่ถูกถาม ไม่จำเป็นต้องตอบตรงๆก็ได้ ครูบาอาจารย์ท่านบอก สอน แนะนำไว้สืบๆต่อกันมาว่า ถ้าจำเป็นจะต้องบอกคุณธรรมที่มีในตนโดยมิให้ล่วงพระวินัยนั้น ท่านให้แสดงเป็นธรรมะ หรืออ้างบุคคล อ้างอุปมาอุปมัยแทน ตัวอย่างเช่น เคยได้ยินมาว่า.....หรือเคยได้ศึกษามาว่า...... อันธรรมดาผู้ที่จะปิดประตูอบายได้สนิท คือถึงความเป็นพระโสดาบันนั้น ท่านจะต้อง ละความเห็นผิด ว่ากายใจนี้เป็น อัตตา ตัวกู ของกู หรือบาลีเรียกว่า "สักกายทิฏฐิ" ลงได้ก่อน เป็นสำคัญ หลังจากนั้น หลังจากปัจจเวกขณญาณเสร็จแล้ว วิจิกิจฉาจะดับตามและมีสีลัพพัตปรามาส เป็นผลในเบื้องท้าย อย่างนี้เป็นต้น ถ้าจะมีอาการโดยพิสดารมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมก็อาจพูดว่า "ท่านกล่าวว่า" ยามที่สักกายทิฏฐิจะขาดสะบั้นลงนั้น มันมีอาการเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตที่ร่างกายอย่างแรง หรือเหมือนตกลงไปในเหวที่ไม่มีก้น หรือเหมือนเชือกที่ดึงไว้ตึงเปรี๊ยะขาดสะบั้นลงท่ามกลาง หรือร้อนวูบจากกลางกายพุ่งทะลุหลุดออกไปทางศรีษะ หรือเย็นวาบ เหมือนถูกน้ำแข็งราดจากศรีษะไปถึงเท้า ทะลุออกไปที่เท้า หรือเหมือนกายนี้ระเบิดแตกทำลายออกเป็นจุลมหาจุณ หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างแตกทำลายหายวับเป็นสูญไปในชั่วพริบตา เมื่อรู้ตัวขึ้นมาก็มีอาการประดุจกายภายในนี้กลวงโบ๋ ว่างเปล่า ปราศจากความรู้สึกเป็นกูเป็นเราคอยตั้งรับอยู่ภายในดังที่เคยเป็น ปีติ ปัสสัทธิจะเกิดขึ้นตามมาให้ตัวเบาใจเบาดุจปุยนุ่น สุข อิ่มเอิบใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากนั้นอาจดับวูบลงไปเสวยความสงบเย็นอีก หนึ่งหรือหลายครั้ง เมื่ออิ่มเต็มตามกำลังแล้ว การพิจารณาทบทททวนย้อนกลับว่ามีอะไรเกิดขึ้นตามลำดับก็จะชัดเจนขึ้นมา ปฏิจจสมุปบาทที่ไม่ค่อยเข้าใจ จะเข้าใจแจ่มแจ้งแดงชัดที่สุดในตอนนี้ จนวิจิกิจฉาดับขาด โอ้พระมหากรุณาธิคุณของพุทธบิดา โอ้ธรรมะนี้อัศจรรย์จริงหนอ พระสังฆเจ้าอริยเจ้าทั้งหลายช่างมีคุณอันล้ำลึกยิ่งหนอ ไม่มีสรณะอื่นใดยิ่งกว่านี้ไปอีกแล้ว น้ำตาแห่งปีติอาจซึมไหลในหลายท่าน......ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น ![]() ![]() ![]() ลักษณะที่ท่านได้รับรู้มา ปรากฎเหล่านั้น มันปรากฎขึ้น และมันก็ดับไป แล้ว ... นะ ... ใช่มั๊ย... ... เน๊อะ ... และจะสำคัญว่าปัจจุบันจะต้องเป็นอะไรกับปรากฎที่ล่วงไปแล้ว... ... ล่ะ ... ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โอ้ ! ดีแล้วๆ ที่เป็นเอก้อนผู้ไม่มีประวัติศาสตร์ เป็นมังกรที่ไร้ร่องรอย ขอให้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ให้ดีที่สุดจริงๆ ได้ ก็ขออนุโมทนา ![]() ![]() ![]() อ้อ ! .......คนที่มีชีวิตอยู่แต่ปัจจุบันนี่ สิ่งที่จะพูดเรื่องที่จะทำก็คงมีแต่เรื่องปัจจุบัน ๆ ๆ ทั้งนั้นเลยใช่ไหมครับ? อดีตคงไม่จำเป็นอะไรแล้วนะครับ ....สงสัย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() กับอาจารย์ที่คุณเคารพ เวลาที่สนทนาธรรมคุณก็มักจะแสดงการถามตอบในลักษณะนี้เหร๋อ... ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 6 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |