ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=46802 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | อธรรม [ 15 พ.ย. 2013, 12:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | bbby [ 15 พ.ย. 2013, 13:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
แต่พี่เต้คิดว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์หรือความอยาก มันร้ายทั้ง2ตัวนั่นแหละค่ะ แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง มันมีทางละได้ทั้งนั้นล่ะค่ะ ถ้าผู้นั้นคิดจะละ ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 15 พ.ย. 2013, 14:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
![]() เพราะไปพยายามต่อสู้กับความอยาก มันจึงยาก ความอยากไม่ใช่ตัวเหตุที่แท้จริง เพราะเรายังสามารถค้นลึกลงไปอีกด้วยคำถามง่ายๆ ว่า "ใครอยาก" เหตุอยู่ที่ ......."ใคร".........นั่นเอง ถ้าเอา....."ใคร".......นี้ออกเสียได้ ความอยากก็ไม่รึ้จะไปเกิดกับอะไร เอาใครออก ง่ายกว่าเอาชนะความอยากครับ ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 15 พ.ย. 2013, 16:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
เบื้องต้น เอาง่ายๆก่อน คือ แยกความคิดออกเป็นสองกลุ่ม เช่น ความคิดนึกความรู้สึกดีๆ (บุญ, กุศลจิต ) กับ ความคิดไม่ดี (บาป, อกุศลจิต, ความคิดทำสิ่งที่ผิดกฎเกณฑ์กติกาสังคม ผิดกฎหมาย) เมื่อแยกไ้ด้แล้วก็ละความคิดที่จะทำให้สังคมเพื่อนมนุษย์เืดือดร้อนวุ่นวายเสีย คือทำให้มันดับไป ส่วนความคิดนึกที่เป็นบุญเป็นกุศล คิดทำในสิ่งที่เป็นมงคลความคิดสร้างสรรตนและสังคมมนุษย์ ลงมือทำเลย กระตุ้นปลุกเร้าความคิดอย่างนี้ให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้น เท่ากับ ละชั่้ว-ทำดี (สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสสูปสัมปะทา) แรงจูงใจในการทำของมนุษย์ มี 2 อย่าง ได้แก่ แรงจูงใจในการทำที่เรียกว่าตํณหา กับ แรงจูงใจในการทำที่เรียกว่า ฉันทะ ความอยาก ความปรารถนา หรือความต้องการ มี 2 อย่าง คือ 1. ความอยาก ความต้องการที่ไม่ดี เป็นอกุศล เรียก ตัณหา (อยากเสพ อยากได้ อยากเอา) 2. ความอยาก ความต้องการที่ดี เป็นกุศล เรียก ฉันทะ (อยากทำ คืออยากทำให้ดีงามสมบูรณ์) |
เจ้าของ: | student [ 16 พ.ย. 2013, 01:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
ความอยากที่จะให้มี ให้เกิด และความอยากที่จะให้ไม่มี ไม่เกิด อยากจะไม่มอง ไม่เห็นอะไรที่ไม่งามตา อยากจะมองอยากจะเห็นในสิ่งที่คิดว่างามตา เป็นความอยากที่ทำให้ดับลงยากจริงๆ |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 16 พ.ย. 2013, 07:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
เอาตัณหาไปแปลความว่า......ความอยาก มันไม่ถูกต้องตามธรรม ตัณหาไม่ใช่ความอยาก แต่ตัณหาเป็นเหตุให้เกิด....ความยินดีหรือยินร้าย ถ้าเหตุแห่งตัณหาเป็นความยินร้าย......ตัณหาแห่งความยินร้าย จะเป็นเหตุให้จิต มีอาการของความไม่อยาก เราเรียกอาการของจิตนั้นว่า ...โทสะ ถ้าเหตุแห่งตัณหาเป็นความยินดี.....ตัณหาแห่งความยินดี จะเป็นเหตุให้จิต มีอาการของความอยาก เราเรียกอาการของจิตนั้นว่า.....โลภะ สรุปให้ฟังสั้นๆว่า......อย่าเอาคำที่ตัวไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้มาใช้ เพราะมันจะทำให้เกิดความสับสนต่อตัวเองและผู้อื่น |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 16 พ.ย. 2013, 07:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
กรัชกาย เขียน: เบื้องต้น เอาง่ายๆก่อน คือ แยกความคิดออกเป็นสองกลุ่ม เช่น ความคิดนึกความรู้สึกดีๆ (บุญ, กุศลจิต ) กับ ความคิดไม่ดี (บาป, อกุศลจิต, ความคิดทำสิ่งที่ผิดกฎเกณฑ์กติกาสังคม ผิดกฎหมาย) เมื่อแยกไ้ด้แล้วก็ละความคิดที่จะทำให้สังคมเพื่อนมนุษย์เืดือดร้อนวุ่นวายเสีย คือทำให้มันดับไป ส่วนความคิดนึกที่เป็นบุญเป็นกุศล คิดทำในสิ่งที่เป็นมงคลความคิดสร้างสรรตนและสังคมมนุษย์ ลงมือทำเลย กระตุ้นปลุกเร้าความคิดอย่างนี้ให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้น เท่ากับ ละชั่้ว-ทำดี (สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสสูปสัมปะทา) กุศลหรืออกุศล ไม่ใช่ความดีความชั่ว ความดีความชั่วเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นเอง จะว่ากันตามตรงแล้วก็คือมันก็คือกิเลสนั้นเอง กุศลและอกุศล เป็นธรรมที่เกิดตามเหตุปัจจัยของจิต เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันมีเหตุเป็นเช่นไร ย่อมต้องมีอาการของจิตเป็นเช่นนั้น อยากให้พิจารณาระหว่างใจหรืออาการของจิต และความดีความชั่ว มันเอามาเป็นเหตุปัจจัยแก่กันไม่ได้เลย อย่างเช่น พ่อแม่เกิดโทสะเลยลงมือตีสั่งสอนลูก แบบนี้เราจะเรียก พ่อแม่ทำชั่วได้หรือไม่ หรือเวลาทำบุญอย่างเช่น เห็นข่าวว่ามีคนจับสุนัข ไปขาย ท่านเกิดอยากทำบุญช่วยสุนัขและท่านก็สาปแช่งคนจับสุนัขไปพร้อมกัน นี้มันเรียกว่า จิตเป็นโทสะในขณะทำบุญ เหตุนี้จึงอย่าเอา เรื่องความเป็นกุศลและอกุศลมาโยงเป็นเรื่อง ความดีความชั่ว มันเป็นคนล่ะเรื่อง เข้าใจมั้ย กรัชกาย เขียน: แรงจูงใจในการทำของมนุษย์ มี 2 อย่าง ได้แก่ แรงจูงใจในการทำที่เรียกว่าตํณหา กับ แรงจูงใจในการทำที่เรียกว่า ฉันทะ ตัณหาไม่ใช่แรงจูงใจ ตัณหาเป็นธรรมที่เป็นธรรมชาติ มันตั้งอยู่ของมัน เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม สังขารก็เช่นกัน มันก็ตั้งอยู่ของมัน แต่มันเป็นไตรลักษณ์ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎแห่ง...ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม ดังนั้นตัณหาจึงไม่ใช่แรงจูงใจ ตัณหาไม่ได้ทำให้เกิดแรงจูงใจ แต่แรงจูงใจต่างหากที่ทำให้เกิดตัณหา แรงจูงใจนั้นเกิดจาก สัญญาหรือความพอใจในอดีต เมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่ทวาร จิตย่อมต้องการสิ่งที่ตนพอใจ อันเป็นสัญญาความจำได้หมายรู้อดีต เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดตัณหาขึ้นที่จิต ถ้าการกระทบนั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสัญญาในอดีต ก็คือความไม่พอใจ จิตจะเกิดความยินร้าย ทำให้เกิดเป็นอาการของจิตที่เรียกว่า...โทสะ แต่ถ้าการกระทบเป็นความพอใจอย่างเดียวกับสัญญาที่จิตหมายรู้ไว้ ตัณหาก็จะเป็นความยินดี อาการของจิตจะเป็น......โลภะ กรัชกาย เขียน: ความอยาก ความปรารถนา หรือความต้องการ มี 2 อย่าง คือ 1. ความอยาก ความต้องการที่ไม่ดี เป็นอกุศล เรียก ตัณหา (อยากเสพ อยากได้ อยากเอา) 2. ความอยาก ความต้องการที่ดี เป็นกุศล เรียก ฉันทะ (อยากทำ คืออยากทำให้ดีงามสมบูรณ์) จะความอยากหรือความปรารถนา ถ้าเป็นเรื่องของจิตแล้วมันเป็นอย่างเดียวตามสภาวะของปรมัตถ์ธรรม การศึกษาพระธรรม ไม่ใช่ศึกษาแปลความคำศัพท์ มิเช่นนั้น จะทำให้สภาวะธรรมซึ่งเป็นสภาวะเดียว แต่ถูกทำให้เป็นหลายสภาวะ ทำให้ผิดจากความเป็นจริงของสภาวะนั้น ๑. ตัณหาไม่ใช่ ความอยากหรือความต้องการที่ไม่ดี ตัณหาเป็นธรรมชาติ กุศลอกุศลก็เป็นธรรมชาติ มันไม่ใช่ความดี ความชั่ว ๒. ฉันทะ เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ถ้าเหตุปัจจัยแรกเป็นเจตสิกอกุศล ฉันทะก็เป็นเจตสิกอกุศล ถ้าปัจจัยแรกเป็นเจตสิกกุศล ฉันทะก็เป็นเจตสิกกุศล สรุปให้ฟัง.....ความอยาก ฉันทะและตัณหา เป็นธรรมคนล่ะธรรมกัน อย่าเอาผสมปนเปกัน ไม่งั้นมันจะเละยิ่งกว่าโจ๊กค้างคืน ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ย. 2013, 15:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
ถามโฮฮับนะง่ายๆ กุศลจิต กับ อกุศลจิต เหมือนหรือต่างกัน ถ้าเหมือนกันก็แล้วไป ถ้ากันต่าง่กันยังไง |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 16 พ.ย. 2013, 15:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
โฮฮับ เขียน: ๑. ตัณหาไม่ใช่ ความอยากหรือความต้องการที่ไม่ดี ตัณหาเป็นธรรมชาติ กุศลอกุศลก็เป็นธรรมชาติ มันไม่ใช่ความดี ความชั่ว ๒. ฉันทะ เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ถ้าเหตุปัจจัยแรกเป็นเจตสิกอกุศล ฉันทะก็เป็นเจตสิกอกุศล ถ้าปัจจัยแรกเป็นเจตสิกกุศล ฉันทะก็เป็นเจตสิกกุศล สรุปให้ฟัง.....ความอยาก ฉันทะและตัณหา เป็นธรรมคนล่ะธรรมกัน อย่าเอาผสมปนเปกัน ไม่งั้นมันจะเละยิ่งกว่าโจ๊กค้างคืน ![]() อ่านแล้วรู้สึกงงมักๆ ที่พูดเนี่ย เอาหลักฐานมาจากไหนหรอเนี่ย |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 17 พ.ย. 2013, 08:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
กรัชกาย เขียน: โฮฮับ เขียน: ๑. ตัณหาไม่ใช่ ความอยากหรือความต้องการที่ไม่ดี ตัณหาเป็นธรรมชาติ กุศลอกุศลก็เป็นธรรมชาติ มันไม่ใช่ความดี ความชั่ว ๒. ฉันทะ เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ถ้าเหตุปัจจัยแรกเป็นเจตสิกอกุศล ฉันทะก็เป็นเจตสิกอกุศล ถ้าปัจจัยแรกเป็นเจตสิกกุศล ฉันทะก็เป็นเจตสิกกุศล สรุปให้ฟัง.....ความอยาก ฉันทะและตัณหา เป็นธรรมคนล่ะธรรมกัน อย่าเอาผสมปนเปกัน ไม่งั้นมันจะเละยิ่งกว่าโจ๊กค้างคืน ![]() อ่านแล้วรู้สึกงงมักๆ ที่พูดเนี่ย เอาหลักฐานมาจากไหนหรอเนี่ย หลักฐานมันอยู่ในปฏิจจสมุบาทและกระบวนการขันธ์ห้า(จิต เจตสิก) ตัณหาเป็นธรรมในปฏิจจสมุบาท ส่วนความอยากเป็นสังขารขันธ์ เป็นสังขารหนึ่งในขันธ์ห้า การพิจารณาเราต้องพิจารณาว่า....อะไรเป็นความอยากและผู้อยากเป็นอะไร เพราะความอยากมันเกิดที่กายใจเรา พูดให้ตรงก็คือ มันเป็นกระบวนการขันธ์ห้าหรือเป็นจิต เจตสิกของบุคคล หลักการศึกษาพระธรรม จะต้องใช้ปัญญาลงไปพิจารณาธรรม จึงจะตรงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงชี้นำ ที่เรียกว่า......สุตตมยปัญญา การเปิดตำราหรือการอ้างอิงพระไตรปิฎกโดยเห็นแต่เพียงว่า มีบัญญัติหรือตัวอักษรที่คล้ายกัน แบบนี้มันใช้ไม่ได้ มันไม่ใช่การปฏิบัติตามแนวทาง ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เมื่อเป็นดังนี้ จึงควรหมั่นปฏิบัติให้เกิดปัญญาเสียก่อน ปัญญาที่ว่าก็คือ.......การได้เห็นสภาวะธรรมของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แบบนี้จึงจะเรียกว่า ได้เกิดปัญญาแล้ว ขอเตือนอย่าได้แต่นั่งท่องตำราหรืออ่านพระไตรปิฎก มันเสียเวลาปล่า เพราะพระไตรปิฎก จะต้องอาศัยปัญญาไปพิจารณา ไม่ใช่สักแต่จะท่องหรืออ่าน |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 17 พ.ย. 2013, 08:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
กรัชกาย เขียน: ถามโฮฮับนะง่ายๆ กุศลจิต กับ อกุศลจิต เหมือนหรือต่างกัน ถ้าเหมือนกันก็แล้วไป ถ้ากันต่าง่กันยังไง พูดถึงเรื่องนี้ จะต้องพูดในแง่ของสภาวธรรม เชื่อได้ว่า อธิบายไปก็เหมือนสีซออูให้คนหูหนวกฟัง แล้วคนหูหนวก ก็จะย้อนว่า....สีซอปะสาอะไรฟังไม่รู้เรื่อง ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 17 พ.ย. 2013, 12:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
โฮฮับ เขียน: กรัชกาย เขียน: ถามโฮฮับนะง่ายๆ กุศลจิต กับ อกุศลจิต เหมือนหรือต่างกัน ถ้าเหมือนกันก็แล้วไป ถ้ากันต่าง่กันยังไง พูดถึงเรื่องนี้ จะต้องพูดในแง่ของสภาวธรรม เชื่อได้ว่า อธิบายไปก็เหมือนสีซออูให้คนหูหนวกฟัง แล้วคนหูหนวก ก็จะย้อนว่า....สีซอปะสาอะไรฟังไม่รู้เรื่อง ![]() ไหนลองสีให้ฟังหน่อยดิ อยากฟัง สีซอๆๆ สีเป็นเป็นป่าวซอน่ะ ![]() ตอบไม่ได้ก็แถไป ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 17 พ.ย. 2013, 12:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
โฮฮับ เขียน: กรัชกาย เขียน: โฮฮับ เขียน: ๑. ตัณหาไม่ใช่ ความอยากหรือความต้องการที่ไม่ดี ตัณหาเป็นธรรมชาติ กุศลอกุศลก็เป็นธรรมชาติ มันไม่ใช่ความดี ความชั่ว ๒. ฉันทะ เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ถ้าเหตุปัจจัยแรกเป็นเจตสิกอกุศล ฉันทะก็เป็นเจตสิกอกุศล ถ้าปัจจัยแรกเป็นเจตสิกกุศล ฉันทะก็เป็นเจตสิกกุศล สรุปให้ฟัง.....ความอยาก ฉันทะและตัณหา เป็นธรรมคนล่ะธรรมกัน อย่าเอาผสมปนเปกัน ไม่งั้นมันจะเละยิ่งกว่าโจ๊กค้างคืน ![]() อ่านแล้วรู้สึกงงมักๆ ที่พูดเนี่ย เอาหลักฐานมาจากไหนหรอเนี่ย หลักฐานมันอยู่ในปฏิจจสมุบาทและกระบวนการขันธ์ห้า(จิต เจตสิก) ตัณหาเป็นธรรมในปฏิจจสมุบาท ส่วนความอยากเป็นสังขารขันธ์ เป็นสังขารหนึ่งในขันธ์ห้า การพิจารณาเราต้องพิจารณาว่า....อะไรเป็นความอยากและผู้อยากเป็นอะไร เพราะความอยากมันเกิดที่กายใจเรา พูดให้ตรงก็คือ มันเป็นกระบวนการขันธ์ห้าหรือเป็นจิต เจตสิกของบุคคล หลักการศึกษาพระธรรม จะต้องใช้ปัญญาลงไปพิจารณาธรรม จึงจะตรงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงชี้นำ ที่เรียกว่า......สุตตมยปัญญา การเปิดตำราหรือการอ้างอิงพระไตรปิฎกโดยเห็นแต่เพียงว่า มีบัญญัติหรือตัวอักษรที่คล้ายกัน แบบนี้มันใช้ไม่ได้ มันไม่ใช่การปฏิบัติตามแนวทาง ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เมื่อเป็นดังนี้ จึงควรหมั่นปฏิบัติให้เกิดปัญญาเสียก่อน ปัญญาที่ว่าก็คือ.......การได้เห็นสภาวะธรรมของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แบบนี้จึงจะเรียกว่า ได้เกิดปัญญาแล้ว ขอเตือนอย่าได้แต่นั่งท่องตำราหรืออ่านพระไตรปิฎก มันเสียเวลาปล่า เพราะพระไตรปิฎก จะต้องอาศัยปัญญาไปพิจารณา ไม่ใช่สักแต่จะท่องหรืออ่าน อ้างคำพูด: พระไตรปิฎก จะต้องอาศัยปัญญาไปพิจารณา พระไตรปิฎก (ตะกร้าสามใบ) คือกระดาษที่ใช้บันทึกอักษรหรือคำสอน ที่แยกเป็นส่วนๆไป เป็นพระสูตร ส่วนหนึ่ง อภิธรรม ส่วนหนึ่ง วินัย ส่วนหนึ่ง ก็แค่นี้ ธรรมะอยู่ที่คน อยู่ในคน หรือคนนี่แหละธรรมะ ต้องพิจารณาที่นี่ ถามอีกหน่อย ตัณหาในปฏิจจสมุปบาท กับ ที่ในอริยสัจ 4 ข้อ 2 เหมือนกันหรือต่างกัน เอาฉันทะบ้าง ฉันทะที่นิวรณ์ คือ กามฉันทะ กับ ฉันทะ ที่อิทธิบาท 4 ข้อ 1 เหมือนกันหรือต่างกัน เหมือนกันแล้วไป ถ้าต่างกัน ต่างกันอย่างไร อธิบาย ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 17 พ.ย. 2013, 13:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
กรัชกาย เขียน: พระไตรปิฎก (ตะกร้าสามใบ) คือกระดาษที่ใช้บันทึกอักษรหรือคำสอน ที่แยกเป็นส่วนๆไป เป็นพระสูตร ส่วนหนึ่ง อภิธรรม ส่วนหนึ่ง วินัย ส่วนหนึ่ง ก็แค่นี้ : ถึงได้บอกให้เอาปัญญามาพิจารณาธรรม อย่าเอาความจำได้หมายรู้มาพูดธรรม การไม่ใช้ปัญญาใคร่ครวญ หาเหตุผลก่อนที่จะตอบคำถาม คำตอบก็จะเป็นอย่างที่กรัชกายกำลังตอบ นั้นก็คือตอบเหมือนกำปั่นทุบดิน หาสาระในธรรมไม่ได้ ในหนังสือว่าอะไรก็ลอกเอามาตอบแบบส่งเดช การกล่าวถึงพระไตรปิฎก จะต้องกล่าวถึงความหมายทางธรรม และจะต้องกล่าวถึงที่มาของพระไตรปิฎก ไอ้ที่กรัชกายพูดมามันไม่ใช่ ความหมายของพระไตรปิฎก ถ้าเป็นข้อสอบแบบอัตนัย กรัชกายได้ศูนย์ แถมถูกครูด่าด้วยว่า ไอ้นกแก้ว ![]() กรัชกาย เขียน: ธรรมะอยู่ที่คน อยู่ในคน หรือคนนี่แหละธรรมะ ต้องพิจารณาที่นี่ ธรรมะบ้าบอที่ไหนบอก คนคือธรรมะ ธรรมะแท้ๆมีแต่สัตว์โลก และการพิจารณาธรรม ต้องพิจารณาที่กายใจของตนเอง ไม่ใช่ไปพิจารณาคน หรือกายในผู้อื่น.....เข้าใจมั้ย กรัชกาย เขียน: ถามอีกหน่อย ตัณหาในปฏิจจสมุปบาท กับ ที่ในอริยสัจ 4 ข้อ 2 เหมือนกันหรือต่างกัน ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอน จะต้องอยู่ในหลักแห่งอริยสัจจ์ นั้นหมายความว่า อริยสัจจ์สี่เป็นหลักแห่งธรรมทั้งมวล ธรรมทุกบัญญัติต้องอยู่ ในกรอบของอริยสัจจ์สี่ ตัณหาในปฏิจจ์สมุบาท ถ้ากล่าวในหลักแห่งอริยสัจจ์สี่ ตัณหาในปฏิจจ์เป็น......ทุกข์ ในอริยสัจจ์สี่ ส่วนที่กรัชกายถามว่า เหมือนหรือแตกต่างกับอริยสัจจ์สี่ ข้อ๒อย่างไร กรัชกายถามทั้งๆไม่มีความเข้าใจแต่ต้น ไม่เป็นไรจะอธิบายให้ฟัง...... อริยสัจจ์สี่ในข้อ๒ นั้นก็คือสมุทัย เมื่อตัณหาในปฏิจจ์เป็นทุกข์แล้ว ย่อมต้องไม่ใช่สมุทัย กล่าวโดยรวม ปฏิจจ์สมุบาทคือ............ทุกข์ สังขารที่เป็นขันธ์ห้าก็คือ.........สมุทัยเหตุแห่งทุกข์ |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 17 พ.ย. 2013, 13:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยากเป็นเรื่องที่ละได้ยากที่สุด |
กรัชกาย เขียน: เอาฉันทะบ้าง ฉันทะที่นิวรณ์ คือ กามฉันทะ กับ ฉันทะ ที่อิทธิบาท 4 ข้อ 1 เหมือนกันหรือต่างกัน เหมือนกันแล้วไป ถ้าต่างกัน ต่างกันอย่างไร อธิบาย ![]() ฉันทะก็คือฉันทะ มันเป็นอาการของจิต เป็นหนึ่งในเจตสิก๕๒ ถ้าเป็นฉันทะสภาวะโดดๆมันจะไม่แตกต่างกัน แต่ที่แตกต่างมันเป็นเพราะมีเหตุหรือเป็นเหตุปัจจัย ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น กามฉันทะ ...ก็คือ มีกามคุณห้าเป็นเหตุให้เกิดฉันทะ ส่วนอิทธิบาทสี่ หมายถึง.....สภาพธรรมอันเป็นกุศล(งาน) เป็นเหตุให้เกิดฉันทะ สังเกตุ มันมีธรรมตัวอื่นเป็นเหตุปัจจัย มันต่างกันที่เหตุปัจจัย ไม่ใช่ต่างกันที่ฉันทะ สิ่งที่เกิดขึ้นภายในกายใจ มันเป็นสภาวะที่เรียกว่าสังขาร มันเกิดดับ กามฉันทะ .......กามฉันทะไม่ได้เกิดพร้อมกัน มันมีธรรมตัวหนึ่งเกิดและดับไป แล้วจึงเกิดธรรมอีกตัวขึ้น ฉันทะในอิทธิบาทสี่ก็เช่นกัน เกิดการจำได้หมายรู้ในสภาพธรรมและดับไป จึงเกิดสภาวะธรรมตัวใหม่ขึ้น |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |