ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

"พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=46554
หน้า 1 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  ฟ้าใสใส [ 12 ต.ค. 2013, 00:54 ]
หัวข้อกระทู้:  "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

:b42: เพราะเหตุอันใดทำให้คนเรามีความ "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป" เจ้าค่ะ :b20: :b20: :b20:

:b44: ♡✿(◕‿◕)✿♡ กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่าน ธรรมรักษา เทวดาคุ้มครอง ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะเจ้าค่ะ ♡✿(◕‿◕)✿♡ :b8: :b8: :b8: :b20:

ไฟล์แนป:
พระพุทธองค์1.jpeg
พระพุทธองค์1.jpeg [ 8.98 KiB | เปิดดู 5261 ครั้ง ]

เจ้าของ:  govit2552 [ 12 ต.ค. 2013, 03:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

การพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ................ เกิดจากกิเลส นั่นเอง

ขันธ์5

รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร .............. ความพอใจ หรือไม่พอใจ อยู่ที่นี่
วิญญาณ

ข้อควรระวัง

ความพอใจ ไม่พอใจ ไม่ได้อยู่ที่ เวทนาขันธ์

............................................................................
เวทนา ๕ แบ่ง การเสวยอารมณ์ ออกเป็นห้าอย่าง คือ
สุข หมายถึง ความสุข ความสบายทางกาย
ทุกข์ หมายถึง ความทุกข์ ความไม่สบาย ความเจ็บปวดทางกาย
โสมนัส หมายถึง ความแช่มชื่น ปลื้มใจ สุขใจ (อันเกิดจากสุขจึงเกิดโสมนัส)
โทมนัส หมายถึง ความเสียใจ ความเศร้าโศก เศร้าหมอง ทุกข์ใจ (อันเกิดจากทุกข์จึงเกิดโทรมนัส)
อุเบกขา หมายถึง ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์
...................................................................................
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2


เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)

http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=112

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 12 ต.ค. 2013, 03:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

govit2552 เขียน:
การพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ................ เกิดจากกิเลส นั่นเอง
ขันธ์5
รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร .............. ความพอใจ หรือไม่พอใจ อยู่ที่นี่
วิญญาณ

ข้อควรระวัง
ความพอใจ ไม่พอใจ ไม่ได้อยู่ที่ เวทนาขันธ์

ความพอใจ ไม่พอใจ มันไม่ได้เกิดที่..สังขารหรือเวทนาครับ
ขันธ์ห้า เป็นเหตุให้เกิด ความพอใจหรือไม่พอใจ ไม่ใช่เกิดที่ขันธ์ห้า

ความพอใจหรือไม่พอใจ มันเกิดที่มโนทวาร มันเป็นความคิดเป็นอายตนะภายนอกครับ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เกิดตามเหตุปัจจัย
แต่เป็นเพราะมันเกิดแล้ว เราเข้าไปยึด จนเป็นขันธ์ห้า



ขันธ์ห้าตัวแรก ทำให้เกิดการปรุงแต่งขึ้นที่มโนทวารหรือความคิด


ความคิดที่มีเหตุปัจจัยมาจากขันธ์ห้า เราเรียกความคิดนั้นว่า.....การปรุงแต่ง

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 12 ต.ค. 2013, 05:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

ฟ้าใสใส เขียน:
เพราะเหตุอันใดทำให้คนเรามีความ "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป" เจ้าค่ะ



ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็ว่า เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) สภาวธรรมตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็น จึงเกิดยินดิ ยินร้าย ในขณะเห็น ไ้ด้ยิน รุ้สึกยินดิ ก็ดึงเข้าหาตัว ยินร้ายก็ผลักออก :b1:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 12 ต.ค. 2013, 06:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

govit2552 เขียน:
การพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ................ เกิดจากกิเลส นั่นเอง

ขันธ์5

รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร .............. ความพอใจ หรือไม่พอใจ อยู่ที่นี่
วิญญาณ

ข้อควรระวัง

ความพอใจ ไม่พอใจ ไม่ได้อยู่ที่ เวทนาขันธ์

............................................................................
เวทนา ๕ แบ่ง การเสวยอารมณ์ ออกเป็นห้าอย่าง คือ
สุข หมายถึง ความสุข ความสบายทางกาย
ทุกข์ หมายถึง ความทุกข์ ความไม่สบาย ความเจ็บปวดทางกาย
โสมนัส หมายถึง ความแช่มชื่น ปลื้มใจ สุขใจ (อันเกิดจากสุขจึงเกิดโสมนัส)
โทมนัส หมายถึง ความเสียใจ ความเศร้าโศก เศร้าหมอง ทุกข์ใจ (อันเกิดจากทุกข์จึงเกิดโทรมนัส)
อุเบกขา หมายถึง ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์


ขันธ์ 5 ทำงานทั้งหมดแหละครับ

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 12 ต.ค. 2013, 07:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

โฮฮับ เขียน:

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เกิดตามเหตุปัจจัย
แต่เป็นเพราะมันเกิดแล้ว เราเข้าไปยึด จนเป็นขันธ์ห้า


นี้ก็อีกแระ...ขันธ์ มี 2 ชุด...

ขันธ์ 5 ก็มีอันเดียว...แต่ที่ทำให้เกิดทุกข์...เพราะเราเข้าไปยึด...ยึดอะไร?...ก็ยึดว่า..เป้นเรา...ยึดความปรุงแต่งว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ..เช่น...กำลังปรุงแต่งว่า..กบฯกำลังตำนิเรา..กบฯไม่ใช่พวกเรา....ก็ยึดว่ามันต้องจริงอย่างที่คิดนี้แหง่
ไม่ผิดหรอก....เป็นต้น...มีผลเป็นทุกข์..คือ...เพียงเห็นชื่อกบฯ...สัญญาจำชุดความคิดอันเดิมได้....ทีนี้ไม่ต้องคิดมากแล้ว....จำบทสรุปเดิมๆ....เกิดตะหงิด..ตะหงิด..ทันที่ที่เห็นชื่อเลย...อาการตะหงิด ตะหงิด...นี้แหละคือ..ทุกขเวทนา....
หากคิดว่า....มันเอาอีกแล้ว..ว่าเราอีกแล้ว...นี้ใช้ความคิดใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว...เกิดความไม่ชอบเข้าไปอีก...ดาบสองนี้เป็นเวทนาจากความคิด...

เป็นต้น...

การที่เราไปยึดว่า.
..ที่เราจำมา...มันจริง
ที่เราคิดได้..มันจริง
ที่เราเห้น....มันจริง
ที่เรารู้สึก...มันจริง
ตัวตนรูปนี้...คือเราจริง

มันจึงทุกข์...ทุกข์..เพราะเรายึด...มีอุปาทานขันธ์

เป็นต้น..

เจ้าของ:  ฟ้าใสใส [ 12 ต.ค. 2013, 16:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

ถ้าเป็นเช่นนั้น มีิวิธีดับทุกข์ใช้ อริยสัจ 4 เป็นตัวดับทุกข์ใช่ไหมค่ะ

:b8: :b8: :b8: :b20:

เจ้าของ:  amazing [ 12 ต.ค. 2013, 16:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

ผัสสะครับทำให้เกิดความพอใจไม่พอใจ

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 12 ต.ค. 2013, 17:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เกิดตามเหตุปัจจัย
แต่เป็นเพราะมันเกิดแล้ว เราเข้าไปยึด จนเป็นขันธ์ห้า


นี้ก็อีกแระ...ขันธ์ มี 2 ชุด...

ขันธ์ 5 ก็มีอันเดียว...แต่ที่ทำให้เกิดทุกข์...เพราะเราเข้าไปยึด...ยึดอะไร?...ก็ยึดว่า..เป้นเรา...ยึดความปรุงแต่งว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ..เช่น...กำลังปรุงแต่งว่า..กบฯกำลังตำนิเรา..กบฯไม่ใช่พวกเรา....ก็ยึดว่ามันต้องจริงอย่างที่คิดนี้แหง่
ไม่ผิดหรอก....เป็นต้น...มีผลเป็นทุกข์..คือ...เพียงเห็นชื่อกบฯ...สัญญาจำชุดความคิดอันเดิมได้....ทีนี้ไม่ต้องคิดมากแล้ว....จำบทสรุปเดิมๆ....เกิดตะหงิด..ตะหงิด..ทันที่ที่เห็นชื่อเลย...อาการตะหงิด ตะหงิด...นี้แหละคือ..ทุกขเวทนา....
หากคิดว่า....มันเอาอีกแล้ว..ว่าเราอีกแล้ว...นี้ใช้ความคิดใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว...เกิดความไม่ชอบเข้าไปอีก...ดาบสองนี้เป็นเวทนาจากความคิด...

เป็นต้น...

การที่เราไปยึดว่า.
..ที่เราจำมา...มันจริง
ที่เราคิดได้..มันจริง
ที่เราเห้น....มันจริง
ที่เรารู้สึก...มันจริง
ตัวตนรูปนี้...คือเราจริง

มันจึงทุกข์...ทุกข์..เพราะเรายึด...มีอุปาทานขันธ์

เป็นต้น..

ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ยถามหน่อย รู้จัก...จิตสังขารมั้ย :b13:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 12 ต.ค. 2013, 18:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

ศัพท์และความหมายพร้อมองค์ที่แสดงหรือผลักดันกาย วาจา และคลบครุนอยู่ภายใน


กายสังขาร = กายสัญเจตนา (ความจงใจทางกาย) = เจตนา 20 ทางกายทวาร (กามาวจรกุศล 8 อกุศล 12)

วจีสังขาร = วจีสัญเจตนา (ความจงใจทางวาจา) = เจตนา 20 ทางวจีทวาร (กามาวจรกุศล 8 อกุศล 12)

จิตตสังขาร = มโนสัญเจตนา (ความจงใจในใจ) = เจตนา 29 ในมโนทวาร ที่ยังมิได้แสดงออกเป็นกายวิญญัติหรือวจีวิญญัติ




ปุญญาภิสังขาร (ความดีที่ปรุงแต่งชีวิต) = กุศลเจตนาฝ่ายกามาวจร และฝ่ายรูปาวจร ทั้ง 13 (กามาวจรกุศล และฝ่ายรูปาวจรกุศล 5)

อปุญญาภิสังขาร (ความชั่วที่ปรุงแต่งชีวิต) = อกุศลเจตนาฝ่ายกามาวจรทั้ง 12

อาเนญชาภิสังขาร (ภาวะมั่นคงที่ปรุงแต่งชีวิต) = กุศลเจตนาฝ่ายอรูปาวจรทั้ง 4

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 12 ต.ค. 2013, 19:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

โฮฮับ เขียน:

ดเนี่ยถามหน่อย รู้จัก...จิตสังขารมั้ย[/color] :b13:


กำลังจะจับแพะกับแกะทำอะไรอีก..ละ..อิอิ..

เจ้าของ:  walaiporn [ 12 ต.ค. 2013, 19:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

ว่าด้วยเวทนา

ภิกษุ ท. ! ธรรมปริยาย ซึ่งมีปริยายร้อยแปดนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุ ท. ! เวทนา แม้สองอย่าง เราได้กล่าวแล้วโดยปริยาย,
เวทนา แม้สามอย่าง เราก็ได้กล่าวแล้วโดยปริยาย,
เวทนา แม้ห้าอย่าง เราก็ได้กล่าวแล้วโดยปริยาย,
เวทนา แม้หกอย่าง เราก็ได้กล่าวแล้วโดยปริยาย,
เวทนาแม้สิบแปดอย่าง เราก็ได้กล่าวแล้วโดยปริยาย,
เวทนา แม้สามสิบหกอย่างเราก็ได้กล่าวแล้วโดยปริยาย,
และเวทนา แม้ร้อยแปดอย่าง เราก็ได้กล่าวแล้วโดยปริยาย.

ภิกษุ ท. ! เวทนา สองอย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?

เวทนา สองอย่างนั้น คือ
เวทนาที่เป็นไปทางกาย และเวทนาที่เป็นไปทางใจ.
ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า เวทนาสองอย่าง

ภิกษุ ท. ! เวทนา สามอย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?

เวทนา สามอย่างนั้น คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา
ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า เวทนาสามอย่าง.



ภิกษุ ท. ! เวทนา หกอย่าง นั้น เป็นอย่างไรเล่า ?

เวทนา หกอย่างนั้น คือ เวทนา อันเกิดแต่สัมผัสทางตา,
เวทนา อันเกิดแต่สัมผัสทางหู,
เวทนาอันเกิดแต่สัมผัสทางจมูก,
เวทนา อันเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น,
เวทนา อันเกิดแต่สัมผัสทางกาย,
และเวทนา อันเกิดแต่สัมผัสทางใจ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า เวทนาหกอย่าง.




ภิกษุ ท. ! เวทนา สิบแปดอย่าง นั้น เป็นอย่างไรเล่า ?

เวทนา สิบแปดอย่างนั้น คือ
ความรู้สึกของจิตที่มั่วสุมอยู่ด้วยโสมนัสหกอย่าง,
ความรู้สึกของจิตที่มั่วสุมอยู่ด้วยโทมนัสหกอย่าง,
และความรู้สึกของจิตที่มั่วสุมอยู่ด้วย อุเบกขาหกอย่าง.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า เวทนาสิบแปดอย่าง.




ภิกษุ ท. ! เวทนา สามสิบหกอย่าง นั้น เป็นอย่างไรเล่า ?

เวทนาสามสิบหกอย่างนั้น คือ
โสมนัสเวทนาที่เนื่องด้วยเหย้าเรือน (กามคุณ ๕) หกอย่าง,
โสมนัสเวทนาที่เนื่องด้วยการหลีกออกจากเหย้าเรือน (ไม่เกี่ยวด้วยกามคุณ ๕) หกอย่าง,
โทมนัสเวทนาที่เนื่องด้วยเหย้าเรือนหกอย่าง,
โทมนัสเวทนาที่เนื่องด้วยการหลีกออกจากเหย้าเรือนหกอย่าง,
อุเบกขาเวทนาที่เนื่องด้วย เหย้าเรือนหกอย่าง,
และอุเบกขาเวทนาที่เนื่องด้วย การหลีกออกจาก เหย้าเรือนหกอย่าง.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า เวทนาสามสิบหกอย่าง.




ภิกษุ ท. ! เวทนา ร้อยแปดอย่าง นั้น เป็นอย่างไรเล่า ?

เวทนาร้อยแปดอย่างนั้น คือ
เวทนาสามสิบหก (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) ส่วนที่เป็นอดีต,
เวทนาสามสิบหกส่วนที่เป็นอนาคต,
และเวทนาสามสิบหกส่วนที่เป็นปัจจุบัน.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เรียกว่า เวทนาร้อยแปดอย่าง.
ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ ชื่อว่าธรรมปริยาย ซึ่งมีปริยายร้อยแปด แล.
- สฬา. สํ. ๑๘/๒๘๖-๘/๔๓๐-๗.



ภิกษุ ท. ! เวทนาเรากล่าวแล้ว โดยปริยายแม้สองอย่าง,
โดยปริยายแม้สามอย่าง,
โดยปริยายแม้ห้าอย่าง,
โดยปริยายแม้หกอย่าง,
โดยปริยายแม้สิบแปดอย่าง,
โดยปริยายแม้สามสิบหกอย่าง,
โดยปริยายแม้ร้อยแปดอย่าง.

ภิกษุ ท. ! โดยปริยายอย่างนี้ ที่เราแสดงธรรม.
เมื่อเราแสดงธรรมอยู่โดยปริยายอย่างนี้,

ชนเหล่าใด จักไม่สำคัญร่วม จักไม่รู้ร่วม จักไม่พอใจร่วม แก่กันและกัน
ว่าเป็นธรรมที่เรากล่าวดีแล้ว พูดไว้ดีแล้ว ;

เมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เขาหวังได้ ก็คือ
จักบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกันทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกปาก อยู่.



ภิกษุ ท. ! โดยปริยายอย่างนั้น ที่เราแสดงธรรม.
เมื่อเราแสดงธรรมอยู่โดยปริยายอย่างนั้น,

ชนเหล่าใด จักสำคัญร่วม จักรู้ร่วม จักพอใจร่วม แก่กันและกัน
ว่าเป็นธรรมที่เรากล่าวดีแล้ว พูดไว้ดีแล้ว ;

เมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เขาหวังได้ ก็คือ
จักพร้อมเพรียงกัน บันเทิงต่อกัน ไม่วิวาทกันเข้ากันได้เหมือนน้ำนมกับน้ำ
มองกันและกันด้วยสายตาอันเป็นที่รักอยู่, ดังนี้แล.
- สฬา. สํ. ๑๘/๒๘๓/๔๒๕.

เจ้าของ:  walaiporn [ 12 ต.ค. 2013, 19:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

ธรรมลักษณะ ๗ ประการแห่งเวทนา

(รู้จักเวทนา, เหตุเกิดเวทนา, ความดับเวทนา, วิธีดับเวทนา, อัสสาทะของเวทนา, อาทีนวะของเวทนา, นิสสรณะของเวทนา)

(๑). ภิกษุ ท. ! เวทนา ๓ อย่างเหล่านี้มีอยู่ คือ
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา :
นี้เราเรียกว่า เวทนา.

(๒). เพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ
จึงมี ความเกิดขึ้น แห่งเวทนา

ปฏิปทาให้ถึงตัณหาย่อมมี
เพราะการเกิดขึ้นแห่งเวทนา

(๓). เพราะความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับ แห่งเวทนา

(๔). อริยอัฏฐังคิกมรรคนี้ เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา ;
คือ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

(๕). สุขโสมนัสอันใด อาศัยเวทนาเกิดขึ้น :

นี้คืออัสสาทะ (รสอร่อย) แห่งเวทนา.

(๖). ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แห่งเวทนา :
นี้คือ อาทีนวะ (โทษ) จากเวทนา.

(๗). การนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะ การละเสียได้ซึ่งฉันทราคะ ในเวทนา :
นี้คือ นิสสรณะ (อุบายเครื่องออก) จากเวทนา
- สฬา. สํ. ๑๘/๒๘๙/๔๓๘.

เจ้าของ:  walaiporn [ 12 ต.ค. 2013, 19:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

หลักที่ควรรู้เกี่ยวกับ เวทนา

ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวว่า
“พึงรู้จักเวทนา,
พึงรู้จักเหตุ เป็นแดนเกิด ของเวทนา,
พึงรู้จักความเป็นต่างกัน ของเวทนา,
พึงรู้จักผลของเวทนา,พึงรู้จักความดับไม่เหลือของเวทนา,
และพึงรู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของเวทนา” ดังนี้นั้น,


พึงรู้จักเวทนา เรากล่าวหมายถึงอะไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ข้อนั้น เรากล่าวหมายถึง เวทนาสาม เหล่านี้;
คือสุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา.

ภิกษุ ท. ! เหตุเป็นแดนเกิดของเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นเหตุเป็นแดนเกิดของเวทนา.


ภิกษุ ท. ! ความเป็นต่างกันของเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! สุขเวทนา ที่เจือด้วยอามิส (กามคุณ ๕) ก็มี
สุขเวทนา ที่ไม่เจือด้วยอามิส (ไม่มีกามคุณ ๕) ก็มี;

ทุกขเวทนา ที่เจือด้วยอามิสก็มี
ทุกขเวทนา ที่ไม่เจือด้วยอามิสก็มี;

อทุกขมสุขเวทนา ที่เจือด้วยอามิสก็มี
อทุกขมสุขเวทนา ที่ไม่เจือด้วยอามิสก็มี.

ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ความเป็นต่างกันของเวทนา.



ภิกษุ ท. ! ผลของเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! เมื่อเสวยเวทนาใดอยู่ ยังอัตภาพซึ่งเกิดแต่เวทนานั้น ๆ ให้เกิดขึ้น
เป็นฝ่ายบุญก็ตาม เป็นฝ่ายมิใช่บุญก็ตาม.

ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ผลของเวทนา.



ภิกษุ ท. ! ความดับไม่เหลือของเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความดับไม่เหลือของเวทนา มีได้ เพราะความดับไม่เหลือของผัสสะ.



ภิกษุ ท. ! อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของเวทนา,
ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ ; การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ;
ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ….

ภิกษุ ท. ! คำใด ที่เรากล่าวว่า
“พึงรู้จักเวทนา,
พึงรู้จักเหตุเป็นแดนเกิดของเวทนา,
พึงรู้จักความเป็นต่างกันของเวทนา,
พึงรู้จักผลของเวทนา,
พึงรู้จักความดับไม่เหลือของเวทนา,
และพึงรู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับ ไม่เหลือของเวทนา” ดังนี้นั้น,

เรากล่าวหมายถึงความข้อนี้แล.
- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๐/๓๓๔.

เจ้าของ:  walaiporn [ 12 ต.ค. 2013, 19:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "พอใจในรูป ไม่พอใจในเสียง พอใจในเสียง ไม่พอใจในรูป"

หลักที่ควรรู้เกี่ยวกับ เวทนา

ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวว่า
“พึงรู้จักเวทนา,
พึงรู้จักเหตุ เป็นแดนเกิด ของเวทนา,
พึงรู้จักความเป็นต่างกัน ของเวทนา,
พึงรู้จักผลของเวทนา,พึงรู้จักความดับไม่เหลือของเวทนา,
และพึงรู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของเวทนา” ดังนี้นั้น,
พึงรู้จักเวทนา เรากล่าวหมายถึงอะไรเล่า ?

ภิกษุ ท. ! ข้อนั้น เรากล่าวหมายถึง เวทนาสาม เหล่านี้;
คือสุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา.

ภิกษุ ท. ! เหตุเป็นแดนเกิดของเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ผัสสะ เป็นเหตุเป็นแดนเกิดของเวทนา.


ภิกษุ ท. ! ความเป็นต่างกันของเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุ ท. ! สุขเวทนา ที่เจือด้วยอามิส (กามคุณ ๕) ก็มี
สุขเวทนา ที่ไม่เจือด้วยอามิส (ไม่มีกามคุณ ๕) ก็มี;

ทุกขเวทนา ที่เจือด้วยอามิสก็มี
ทุกขเวทนา ที่ไม่เจือด้วยอามิสก็มี;

อทุกขมสุขเวทนา ที่เจือด้วยอามิสก็มี
อทุกขมสุขเวทนา ที่ไม่เจือด้วยอามิสก็มี.

ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ความเป็นต่างกันของเวทนา.



ภิกษุ ท. ! ผลของเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! เมื่อเสวยเวทนาใดอยู่ ยังอัตภาพซึ่งเกิดแต่เวทนานั้น ๆ ให้เกิดขึ้น
เป็นฝ่ายบุญก็ตาม เป็นฝ่ายมิใช่บุญก็ตาม.

ภิกษุ ท. ! นี้ เรียกว่า ผลของเวทนา.



ภิกษุ ท. ! ความดับไม่เหลือของเวทนา เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความดับไม่เหลือของเวทนา มีได้ เพราะความดับไม่เหลือของผัสสะ.



ภิกษุ ท. ! อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของเวทนา,

ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ ; การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ;
ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ….

ภิกษุ ท. ! คำใด ที่เรากล่าวว่า
“พึงรู้จักเวทนา,
พึงรู้จักเหตุเป็นแดนเกิดของเวทนา,
พึงรู้จักความเป็นต่างกันของเวทนา,
พึงรู้จักผลของเวทนา,
พึงรู้จักความดับไม่เหลือของเวทนา,
และพึงรู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับ ไม่เหลือของเวทนา” ดังนี้นั้น,

เรากล่าวหมายถึงความข้อนี้แล.
- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๐/๓๓๔.

หน้า 1 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/