วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 06:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2013, 03:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ระหว่างสมมติสัจจะและปรมัตถ์สัจจะ หลายคนมักจะเข้าใจผิดคิดว่า......
สมมติสัจจะเป็นสิ่งไม่จริง นี่เป็นเพราะเอาเอาพุทธพจน์ ไปแปลความแทนที่จะอธิบายความ

พุทธพจน์ที่เอาไปแปลความ มันจึงเป็นคำใหม่ขึ้น และความหมายของพุทธพจน์จึงผิดเพี้ยน
ไปจากเดิมแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

สมมติที่เป็นพุทธพจน์ มีความหมายในตัวว่า.....ความจริงสูงสุด

แต่มีคนเอาพุทธพจน์คำนี้ไปสร้างคำใหม่เป็น"สมมุติ" แล้วให้ความหมายว่า....ไม่จริง


พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า รู้แจ้งสมมติด้วยปรมัตถ์ นี่ไม่ได้หมายความว่า
สมมติไม่จริง ปรมัตถ์จริง แต่พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เราแยกแยะธรรม
นั้นคือสมมติสัจจะและปรมัตถ์สัจจะ

สมมติเมื่อผ่านเข้ามาใจกายใจเราแล้ว ย่อมเป็นปรมัตถ์ นี่คือธรรมที่พระพุทธองค์ทรง
ให้เรารู้ถึงการแปลเปลี่ยนไปของสภาพธรรม รู้นี่เป็นเพียงปัญญารู้สภาพตามความเป็นจริง
แต่ยังมีความจริงที่สูงกว่าอีกนั้นก็คือ.....ญานรู้ว่า ปรมัตถ์ที่เห็นเป็นเพียงสังขาร
เป็นการปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป......
ดังนั้นปรมัตถ์ธรรมที่เห็นจึงเป็นเพียงสังขาร มันเกิดขึ้นจริงแต่ไม่เป็นความจริง

เราจะรู้ความจริง ที่เป็นความจริงสูงสุด นั้นคือรู้สมมติสัจจะให้เป็นสมมติสัจจะได้อย่างไร
นั้นก็คือต้องรู้แจ้งปรมัตถ์ให้เป็นปรมัตถ์สูงสุด ปรมัตถ์ที่สูงสุดของปรมัตถ์ก็คือ...นิพพาน

สรุปการรู้ความจริงสูงสุดก็คือ การรู้สมมติสัจจะ ด้วยปรมัตถ์สัจจะที่สูงสุดของปรมัตถ์ธรรม
นั้นก็คือนิพพาน......รวมความแล้ว นิพพานก็คือสมมติสัจจะนั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2013, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ระหว่างสมมติสัจจะและปรมัตถ์สัจจะ หลายคนมักจะเข้าใจผิดคิดว่า......
สมมติสัจจะเป็นสิ่งไม่จริง นี่เป็นเพราะเอาเอาพุทธพจน์ ไปแปลความแทนที่จะอธิบายความ

พุทธพจน์ที่เอาไปแปลความ มันจึงเป็นคำใหม่ขึ้น และความหมายของพุทธพจน์จึงผิดเพี้ยน
ไปจากเดิมแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

สมมติที่เป็นพุทธพจน์ มีความหมายในตัวว่า.....ความจริงสูงสุด

แต่มีคนเอาพุทธพจน์คำนี้ไปสร้างคำใหม่เป็น"สมมุติ" แล้วให้ความหมายว่า....ไม่จริง


พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า รู้แจ้งสมมติด้วยปรมัตถ์ นี่ไม่ได้หมายความว่า
สมมติไม่จริง ปรมัตถ์จริง แต่พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เราแยกแยะธรรม
นั้นคือสมมติสัจจะและปรมัตถ์สัจจะ

สมมติเมื่อผ่านเข้ามาใจกายใจเราแล้ว ย่อมเป็นปรมัตถ์ นี่คือธรรมที่พระพุทธองค์ทรง
ให้เรารู้ถึงการแปลเปลี่ยนไปของสภาพธรรม รู้นี่เป็นเพียงปัญญารู้สภาพตามความเป็นจริง
แต่ยังมีความจริงที่สูงกว่าอีกนั้นก็คือ.....ญานรู้ว่า ปรมัตถ์ที่เห็นเป็นเพียงสังขาร
เป็นการปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป......
ดังนั้นปรมัตถ์ธรรมที่เห็นจึงเป็นเพียงสังขาร มันเกิดขึ้นจริงแต่ไม่เป็นความจริง

เราจะรู้ความจริง ที่เป็นความจริงสูงสุด นั้นคือรู้สมมติสัจจะให้เป็นสมมติสัจจะได้อย่างไร
นั้นก็คือต้องรู้แจ้งปรมัตถ์ให้เป็นปรมัตถ์สูงสุด ปรมัตถ์ที่สูงสุดของปรมัตถ์ก็คือ...นิพพาน

สรุปการรู้ความจริงสูงสุดก็คือ การรู้สมมติสัจจะ ด้วยปรมัตถ์สัจจะที่สูงสุดของปรมัตถ์ธรรม
นั้นก็คือนิพพาน......รวมความแล้ว นิพพานก็คือสมมติสัจจะนั้นเอง


อาหารขยะทั้งนั้น เวรกรรมๆ ชาวพุทธ อนาคตจะขนาดไหนครับเนี่ย :b2: ไม่ศึกษาให้ถูกต้องนั่งเทียนพร่ำเพ้อเรื่อยเจี้อยแจ้วไป ดูสิเดามาได้ สมมติเป็นความจริงสูงสุด

อ้างคำพูด:
สมมติที่เป็นพุทธพจน์ มีความหมายในตัวว่า...ความจริงสูงสุด


สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ จริงตามข้อตกลง จริงโดยการยอมรับ ปรมัตถถสัจจะ จริงโดยความหมายสูงสุด


สังเกตดูสาเหตุผิดเพี้ยนเกิดจากความไม่เข้าใจความหมายของภาษาบาลี (ภาษาที่ใช้ทางธรรม) คือตนเองอ่านทับศัพท์ แต่ไม่รู้ความหมายของเขา แล้วก็เดาๆไป ดูๆแล้วน่าสมเพชเวทนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2013, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ระหว่างสมมติสัจจะและปรมัตถ์สัจจะ หลายคนมักจะเข้าใจผิดคิดว่า......
สมมติสัจจะเป็นสิ่งไม่จริง นี่เป็นเพราะเอาเอาพุทธพจน์ ไปแปลความแทนที่จะอธิบายความ

พุทธพจน์ที่เอาไปแปลความ มันจึงเป็นคำใหม่ขึ้น และความหมายของพุทธพจน์จึงผิดเพี้ยน
ไปจากเดิมแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

สมมติที่เป็นพุทธพจน์ มีความหมายในตัวว่า.....ความจริงสูงสุด

แต่มีคนเอาพุทธพจน์คำนี้ไปสร้างคำใหม่เป็น"สมมุติ" แล้วให้ความหมายว่า....ไม่จริง


พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า รู้แจ้งสมมติด้วยปรมัตถ์ นี่ไม่ได้หมายความว่า
สมมติไม่จริง ปรมัตถ์จริง แต่พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เราแยกแยะธรรม
นั้นคือสมมติสัจจะและปรมัตถ์สัจจะ

สมมติเมื่อผ่านเข้ามาใจกายใจเราแล้ว ย่อมเป็นปรมัตถ์ นี่คือธรรมที่พระพุทธองค์ทรง
ให้เรารู้ถึงการแปลเปลี่ยนไปของสภาพธรรม รู้นี่เป็นเพียงปัญญารู้สภาพตามความเป็นจริง
แต่ยังมีความจริงที่สูงกว่าอีกนั้นก็คือ.....ญานรู้ว่า ปรมัตถ์ที่เห็นเป็นเพียงสังขาร
เป็นการปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป......
ดังนั้นปรมัตถ์ธรรมที่เห็นจึงเป็นเพียงสังขาร มันเกิดขึ้นจริงแต่ไม่เป็นความจริง

เราจะรู้ความจริง ที่เป็นความจริงสูงสุด นั้นคือรู้สมมติสัจจะให้เป็นสมมติสัจจะได้อย่างไร
นั้นก็คือต้องรู้แจ้งปรมัตถ์ให้เป็นปรมัตถ์สูงสุด ปรมัตถ์ที่สูงสุดของปรมัตถ์ก็คือ...นิพพาน

สรุปการรู้ความจริงสูงสุดก็คือ การรู้สมมติสัจจะ ด้วยปรมัตถ์สัจจะที่สูงสุดของปรมัตถ์ธรรม
นั้นก็คือนิพพาน......รวมความแล้ว นิพพานก็คือสมมติสัจจะนั้นเอง


สังขาร พอจะพิจารณาตามได้ครับ คือ สังขารขันธ์ของใครของมันอย่างนี้หรือปล่าวครับ แล้วปัญญากับสังขารเกี่ยวข้องกัน หรือเป็นตัวเดียวกัน เป็นคำถามครับ ผมยังพิจารณาไม่ออก

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2013, 05:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
สังขาร พอจะพิจารณาตามได้ครับ คือ สังขารขันธ์ของใครของมันอย่างนี้หรือปล่าวครับ แล้วปัญญากับสังขารเกี่ยวข้องกัน หรือเป็นตัวเดียวกัน เป็นคำถามครับ ผมยังพิจารณาไม่ออก


ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนครับว่า....ถ้าคุณยังไม่เคยเห็น
สภาวะของสังขาร(จริงๆ) คุณจะไม่มีวันเข้าใจ เรื่องของขันธ์๕เลยครับ
มันต้องเห็นสังขารที่ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสียก่อนครับ

เป็นเพราะคุณยังไม่เข้าใจถึงอาการที่เรียกว่าขันธ์ มีหลายๆคนศึกษาพระธรรมในลักษณะ
แปลคำศัพท์ แบบนี้มันผิดหลักพุทธพจน์

ตัวอย่างเช่น...สังขาร ไปแปลว่าการปรุงแต่ง และไปแปลตัววิสังขาร ไม่มีการปรุงแต่ง
แบบนี้พุทธพจน์ผิดเพี้ยนไปหมด

สังขารมันก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน มันมีของมันตามกฎธรรมนิยาม

ต่อให้เป็นพระอรหันต์ก็ยังมี ที่พระอรหันต์ไม่มีก็คือ พระอรหันต์ไม่มี
เหตุปัจจัยไปปรุงแต่งสังขารแล้ว ไม่ใช่ไม่มีสังขาร
วิสังขารหมายถึง ไม่มีเหตุปัจจัย(เจตนา) แต่ ตัวสังขารยังมีอยู๋

ดังนั้น ขันธ์๕ หมายความว่า มีการไปปรุงแต่งสังขาร.......

สังขารไม่ใช่ขันธ์๕และไม่ใช่ตัวปรุงแต่ง ขันธ์และการปรุงแต่งคือเจตนา

ปัญญาก็คือสังขาร ส่วนจะเป็นขันธ์หรือไม่ ขึ้นอยู่ที่เจตนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2013, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
student เขียน:
สังขาร พอจะพิจารณาตามได้ครับ คือ สังขารขันธ์ของใครของมันอย่างนี้หรือปล่าวครับ แล้วปัญญากับสังขารเกี่ยวข้องกัน หรือเป็นตัวเดียวกัน เป็นคำถามครับ ผมยังพิจารณาไม่ออก


ก่อนอื่นต้องบอกไว้ก่อนครับว่า....ถ้าคุณยังไม่เคยเห็น
สภาวะของสังขาร(จริงๆ) คุณจะไม่มีวันเข้าใจ เรื่องของขันธ์๕เลยครับ
มันต้องเห็นสังขารที่ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสียก่อนครับ

เป็นเพราะคุณยังไม่เข้าใจถึงอาการที่เรียกว่าขันธ์ มีหลายๆคนศึกษาพระธรรมในลักษณะ
แปลคำศัพท์ แบบนี้มันผิดหลักพุทธพจน์

ตัวอย่างเช่น...สังขาร ไปแปลว่าการปรุงแต่ง และไปแปลตัววิสังขาร ไม่มีการปรุงแต่ง
แบบนี้พุทธพจน์ผิดเพี้ยนไปหมด

สังขารมันก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน มันมีของมันตามกฎธรรมนิยาม

ต่อให้เป็นพระอรหันต์ก็ยังมี ที่พระอรหันต์ไม่มีก็คือ พระอรหันต์ไม่มี
เหตุปัจจัยไปปรุงแต่งสังขารแล้ว ไม่ใช่ไม่มีสังขาร
วิสังขารหมายถึง ไม่มีเหตุปัจจัย(เจตนา) แต่ ตัวสังขารยังมีอยู๋

ดังนั้น ขันธ์๕ หมายความว่า มีการไปปรุงแต่งสังขาร.......

สังขารไม่ใช่ขันธ์๕และไม่ใช่ตัวปรุงแต่ง ขันธ์และการปรุงแต่งคือเจตนา

ปัญญาก็คือสังขาร ส่วนจะเป็นขันธ์หรือไม่ ขึ้นอยู่ที่เจตนาครับ


ประโยคเดียวเอาอยู่

โฮฮับเหมาะที่จะไปเล่นการเืมือง คือ พูดตลบไปตลบมาได้เก่ง โดยไม่กลัวคนจับได้ไล่ทัน

ดูพูดไปเืรื่อยเปื่อยตวัดไปตวัดมายังไง

อ้างคำพูด:
ปัญญาก็คือสังขาร ส่วนจะเป็นขันธ์หรือไม่ ขึ้นอยู่ที่เจตนาครับ[


ปัญญาเป็นสังขาร นี่เดาถูก แต่นี่เลอะเดาผิด ส่วนจะเป็นขันธ์หรือไม่ ขึ้นอยู่ที่เจตนา ปัญญาก็จัดเป็นสังขารขันธ์ เจตนาก็จัดเป็นสังขารขันธ์

ใครคุยกับโฮฮับ หรืออ่านคำพร่ำเพ้อของโฮฮับเนีย ต้องคนไม่รู้เรื่องธรรมะเลย หรือไม่ก็คนเมา คืออ่านๆไปเพลินๆ เห็นว่า มีคำศัพท์มาบ้าง ก็สบายใจ คิดว่า ธรรมะแล้วๆก็โล่งใจหายเมา คิกๆ แต่สำหรับนายกรัชกายรูปงามทั้งยามหลับและยามตื่นแบบยังไม่ต้องล้างหน้าก็งามเนี่ยนะ อ่านแล้วดูแล้ว คือ เป็นอาหารขยะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทิ้งบ้านให้ร้างอีกแระ :b32: เหมือนนักต้มตุ๋น จับไ้ด้ตรงนี้ ก็หนีไปนั่น ไปไหนๆก็ยังใช้วิธีเดิม ความคิดความจำเก่าๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2013, 07:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




a_cha.jpg
a_cha.jpg [ 16.5 KiB | เปิดดู 1319 ครั้ง ]
Onion_L
โฮฮับ
อ้างคำพูด:
สรุปการรู้ความจริงสูงสุดก็คือ การรู้สมมติสัจจะ ด้วยปรมัตถ์สัจจะที่สูงสุดของปรมัตถ์ธรรม
นั้นก็คือนิพพาน......รวมความแล้ว นิพพานก็คือสมมติสัจจะนั้นเอง

:b12: :b12: :b12:

นิพพาน เป็นปรมัตถสัจจะ เป็นปรมัตถบัญญัติ โปรดระวังคำพูดให้ดีๆ


คุณโฮฮับ ไม่แยกกลุ่มของคำให้ดีๆ เลยมาอธิบายให้ผู้คนงงกันเล่นๆเป็นการมาสร้างปริศนา ท้าคนอ่านอยู่ทุกวัน

จะพูดเรื่องสัจจะ ก็ แยกพูดไปทางหนึ่ง จะพูดเรื่องบัญญัติ ก็ควรแยกพูดไปอีกทางหนึ่ง

สัจจะมี 2 คือ

สมมุติสัจจะ.... ความจริงที่สมมุติเรียกกัน ซึ่งบอกกล่าวให้รู้กันด้วย สมมุติบัญญัติ ว่า คน นก บ้าน หมา แมว โฮฮับ กรัชกาย Amazing......สัมผัสรู้ได้ด้วยการ นึก คิด ปรุงแต่ง หรือ สังขาร

ปรมัตถสัจจะ....ความจริงที่มีอยู่โดยธรรม ได้แก่สภาวธรรมต่างๆ ซึ่งบอกกล่าวให้รู้กันด้วย
ปรมัตถบัญญัติ เช่น สุข ทุกข์ ร้อน หนาว เย็น อุ่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ12 รูป 28
จิต เจตสิก นิพพาน เป็นต้น.......จะสัมผัสรู้ได้โดยตรงที่ใจ .....ไม่สามารถอธิบายให้คนที่ไม่เคยสัมผัสความจริงนั้นๆรู้ได้ด้วยคำพูดคำอธิบายหรือตัวหนังสือ.......เป็นธรรม ต้องสัมผัสรู้ที่ใจ
Kiss
บัญญัติ มี กลุ่มใหญ่ 2 กลุ่ม คือ

สมมุติบัญญัติ....คือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงโดยธรรม แต่คนสมมุติเรียกชื่อขึ้นมาแล้วยอมรับร่วมกันในภาษาของใครของมัน

ปรมัตถบัญญัติ.... คือสิ่งที่มีอยู่จริงโดยธรรม แต่ต้องตั้งชื่อให้กับสภาวธรรมเหล่านั้น เพื่อสะดวกในการสื่อสารให้รู้จักชื่อสภาวะเหล่านั้น แต่ไม่สามารถอธิบายให้คนที่ไม่เคยสัมผัสสภาวะเหล่านั้นเข้าใจได้เขาจะเข้าใจได้ต่อเมื่อได้สัมผัสธรรมนั้นด้วยตนเอง (ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหีติ)
:b38:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 190 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร