วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 14:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 00:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


:b6: ตั้งใจจะบันทึกเอาไว้ พร้อมกับแบ่งปันให้อ่านเล่น...
ต้องบอกกันก่อนว่า เราไม่ได้มีตาที่สาม หรือฤทธิหรือเดชใดๆ ทั้งสิ้น
เราเริ่มฝึกสมาธิเมื่อกลางปี 2550. วิปัสสนาสมาธิ จากการฟังเพลงสวดชินบัญชร...
หลังจากนั้นไม่นานเลย ก็เริ่มเกิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย ที่เปลี่ยนทัศนคติหลายๆ อย่าง หรือแทบทั้งหมดของเราไป อย่างสิ้นเชิง.


:b6: ครั้งแรกที่เรารู้จักกับการมุ่งร้ายด้วยอำนาจจิต เข้าใจว่าเกิดจากพวกพราหมณ์.
เขาต้องการรักษาอำนาจเบ็ดเสร็จ ให้คงอยู่กับกษัตริย์อันเป็นนารายณ์อวตารของเขา. เขาไม่ต้องการให้มีผู้หนึ่งผู้ใด มาลดทอน "บารมี" เทพเจ้าของเขา.
เรารู้ว่า พวกพราหมณ์ทำร้ายคนมานักต่อนัก ทั้งทำให้ป่วย พิการ อับอาย ไปจนถึงตาย. แต่ในที่นี้เราจะเอ่ยถึงสิ่งที่เกิดกับตนเองเท่านั้น.

เรายังไม่เข้าใจในกลไกนัก แต่การเพ่งเข้ามาในสมองของคนที่อยู่ในภาวะเคลิ้มหลับ จะสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก. นี่เป็นปฐมบทของการรังควาญที่ไม่เคยจบสิ้น.

เราเพิ่งนึกออกในภายหลัง ว่าเขาเคยพยายามผลักกระสอบปุ๋ยที่ตั้งเป็นแถว ให้ล้มทับเรา. แน่นอนว่า หากไม่มีการแทรกแซงจากอะไรบางอย่าง ทำให้เราดึงตัวออกในเสี้ยววินาทีนั้น, เราจะคอหักแน่นอน.
ไม่ว่าพวกพราหมณ์ จะอ้างถึงการเลี้ยงผีอย่างไรก็ตาม มันก็ถือว่า เกิดจากเขา.

การมุ่งร้ายจากพวกพราหมณ์ เกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็หยุดไป. ต่อจากนี้ต่างหาก ที่จัดเป็นการรังควาญที่เราเชื่อว่า ไม่มีมนุษย์คนใดในโลก เคยเจอมาก่อน.

:b6: จากพราหมณ์ก็เป็นพระ เราเข้าใจว่า พระคนนี้คือเบอร์ 1 ในหมู่คนที่ช่วยกันรักษาอำนาจของกษัตริย์และราชินี.
ด้วยวิธีการเดียวกัน แต่มีความรุนแรงมากกว่า, การเพ่งเข้ามาในสมองครั้งนั้น ถูกแทรกแซงทันควันจากบางสิ่งบางอย่าง.
แต่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่า นับจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น, เหตุใดจึงไม่เคยมีการแทรกแซงอีกเลย. บางที เราอาจต้องสรุปบทเรียนสำคัญๆ หลายๆ อย่างก็ได้.

เราจำลำดับเหตุการณ์ไม่ค่อยได้ เพราะมันเป็นการรังควาญที่เกิดขึ้นเยอะมาก, เยอะจนไม่รู้จะนับอย่างไร.
สังเกตว่า จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็ไม่มีการมุ่งร้ายโดยอำนาจจิต ที่กระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางโดยตรงอีกเลย. ทุกเรื่องล้วนเกิดขึ้นในทางกายภาพ.
และนี่แหล่ะ ที่เราคิดว่า พระคนนี้คือเบอร์ 1 ในกลุ่มของเขา, เพราะดูเหมือนจะเป็นคนเดียว ที่สามารถ เล่น กับมิติของสสารได้.

เขาเริ่มจากการขโมยแท่งสแตนเลส 4 แท่ง ที่เรา "ปลุกเสก" ไว้. เรา "รู้" ว่าเขาขโมยเพื่อราชินีของเขา, ราชินีที่หมกมุ่นอยู่กับไสยศาสตร์และบรรดาพราหมณ์ในราชสำนัก.
การขโมยในครั้งนี้ ทำให้เรารู้ถึงเทคนิคที่เขาใช้ในการตบตา ในเวลาที่เขาเอามาคืน. ซึ่งก็ไม่รู้ว่า เรารู้ได้อย่างไร แต่เรารู้ว่า ราชินีไม่ต้องการคืน เขาจะทำเหมือนว่าของหาย, แต่เพราะรู้ว่า เรารู้ และเราเริ่ม "ด่า", เขาจึงเอามาคืน.
เราโยนทิ้งถังขยะ และหลังจากนั้น เราก็เรียนรู้ในการ "สาป" สิ่งที่เราปลุกเสกไว้อันต่อๆ มา.

การรังควาญต่อจากนี้ ยากจะบรรยาย, แต่ผลสุดท้ายแล้ว มันทำให้เราด่าเก่งขึ้นมาก แม้จะเป็นการด่าในใจก็ตาม. และที่สำคัญที่สุด มันทำลายศรัทธาที่เรามี กับคำว่า "พระสงฆ์".
พังกล้องคอมแพค 2 ตัว, โน๊ตบุค 1 เครื่อง, มอไซต์ดับ, รถยนต์สตาร์ทไม่ติด, ทำทีวีให้เสีย, ไฟดับ, เก้าอี้ขาหัก, เอาจิ้งจกมาวางบนขนมปัง, กดชัดโครกไม่ลง กรณีนี้ทำให้เรารู้ถึงเทคนิคที่เขาใช้ตบตาว่า มันเกิดขึ้นเอง.
เอายุงมาบินข้างหู, เอากิ้งกือ แมลงสาบ แมงป่องยักษ์ มาเดินเพ่นพ่าน, ที่เด็ดมากคือ เอาตะขาบยักษ์ขนาดสัก 1 นิ้ว ยาวสัก20 เซน มาปล่อยข้างๆ. และที่ชัดเจนมากคือ เอาหนูมาปล่อย โผล่มากลางอากาศเลยทีเดียว.

เชื่อได้เลยว่า ใครก็ตามที่ได้อ่านสิ่งเหล่านี้ จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมากกับการเคลื่อนย้ายมวลสาร และผลกระทบต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์. สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องมิติของสสาร ที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังเข้าไม่ถึง.
มันไม่สนุกหรอก และถึงที่สุดแล้ว มันทำลายศรัทธาที่เรามี กับคำว่า "พระสงฆ์".

มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องบันทึกไว้ เป็นสิ่งที่เราทำให้เรารู้สึก "ทุเรศ" กับการกระทำนั้น และนึกไม่ออกว่า มันเกี่ยวอะไรกับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์. การขโมยกางเกงในที่ยังไม่ได้ซัก เพื่อราชินีของเขา. มันทุเรศเสียจน เราด่าไม่ออก.

:b6: นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันมีอีกนับไม่ถ้วน แต่เรายังต้องบันทึกถึงคนอีก 3 คน พ่อมด 1 คน และแม่มด 2 คน (วัยกลางคน 1 วัยสาว 1).

สิ่งที่ไม่มีวันลืมคือ ทั้ง 4 คน (รวมพระ) ร่วมกันใช้เสียง ทำลายโครงสร้างความจำของสมองขณะที่เราหลับ. เมื่อโครงสร้างพังทลายลง เขาก็ปั้นมันกลับขึ้นมา.
เขาต้องการจะบอกว่า เขาสามารถฆ่าเราได้ แต่เขาไม่ทำ ดังนั้นเขาเป็นคนดี.

:b6: การมุ่งร้ายที่หนักหนาที่สุด และส่งผลรุนแรงที่สุด มาจากแม่มดวัยสาว. เป็นการมุ่งร้ายต่อระบบประสาทส่วนกลางล้วนๆ.
โชคดีที่ในช่วงเวลานั้น เราสามารถฝึกตน จนความกลัวที่มีต่อความพินาศของร่างกาย ลดน้อยลงมาก.

ด้วยวิธีเดียวกับพระและพราหมณ์ การเพ่งเข้ามาในสมอง สร้างความเจ็บปวดอย่างมหาศาล. แต่ในระหว่างนั้น เราก็ยังรับรู้ได้ ถึงความสนุกสนานและความพึงพอใจของเขา.
เราฝึกตนจนสามารถอดทนอย่างนิ่งเฉยได้, แต่ความเจ็บปวดก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนสมองกำลังบิดตัว. ความเจ็บแบบเสียดแทง เริ่มถูกแทรกด้วยความเจ็บอีกแบบ ที่บรรยายไม่ถูก มันเหมือนวุ้นเหลวๆ กำลังดิ้น และแน่นอน เรายังรับรู้ได้ ถึงความมุ่งมั่นของเขา.
ในที่สุด เสียงเปร๊ยะก็ดังลั่น. เรายังจำความรู้สึกนั้นได้ เหมือนเราถอนหญ้าออกจากพื้นดิน เสียงแบบถอนรากแล้วขาดดัง "ตึก". แล้วเราก็ต้อง "ด่า" มันเสียที.

การมุ่งร้ายเกิดขึ้นต่อเนื่องกันหลายคืน, เราจำไม่ได้แน่ว่า มีเสียงเปรี๊ยะเกิดขึ้นทั้งหมด 6 ครั้งหรือเปล่า.
มันตลกไม่ออก ที่เราต้องโพสต์ผ่านทาง twitter ว่าสมองกำลังถูกทำลาย.
เขาบอกว่า เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์.

แต่การมุ่งร้ายไม่เคยหยุด. การเพ่งเปลี่ยนจากการบิด เป็นเหมือนการสร้างช่องว่างในสมอง.
เราไม่รู้ว่า เขากำลังทำอะไร. แต่เรารู้ได้ทันทีว่า นี่จะทำให้ "รูปวิญญาณ" ของสมองถูกทำลายทีละเล็กละน้อย. และแน่นอน ตลอดระยะเวลานั้น เราก็รับรู้ได้ ถึงความมุ่งมั่นของเขา.
เราก็ "ด่า" ทุกครั้ง เพราะการอดทนมีแต่จะทำให้สมองเสียหายมากขึ้น และเขาต้องการให้เรา "ด่า" เขาถึงจะหยุด.
ในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น, เรารู้ว่าเส้นเลือดในสมองมีปัญหา การคิดคำนวณในเรื่องต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น.
น่าแปลกใจ พระคนนั้นใช้อำนาจจิต เข้ามารักษาอาการที่เรารู้ภายหลังว่า เส้นเลือดในสมองตีบ.
ควรจะขอบคุณไหม, ในเมื่อตลอดเวลานั้น เขารู้เห็นกันมาตลอด. เขาบอกว่า เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์.

:b6: อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ ทำให้เรารู้ถึงข้อจำกัดของตาที่สาม. เขาไม่เห็นรูปวิญญาณ เขาจะเห็นเฉพาะสิ่งที่สะท้อนแสง หรือเปล่งแสงได้เท่านั้น.

แต่การมุ่งร้ายก็ไม่เคยหยุด แม้วันที่เรากำลังบันทึกนี้.

:b6: เราเลิกสนใจกลไกการทำงานของสมองไปแล้ว. ส่วนหนึ่งเพราะเราเห็นว่า ตราบใดที่วิทยาศาสตร์ยังตรวจจับการใช้ตาที่สามไม่ได้, ยิ่งกลไกการทำงานของสมองถูกวิเคราะห์มากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นภัยต่อคนทั่วไปมากเท่านั้น.
เหมือนที่เราวิเคราะห์รูปแบบความจำของสมอง ก็นำมาซึ่งการทำลายโครงสร้างความจำของเราเอง.

และอีกส่วนหนึ่ง สติปัญญาของเรา ณ ตอนนี้ ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม. เรารู้ว่า มี "รูปปรมัตถ์" เสียหายไปอย่างน้อย 4 รูป.
เรานอนหลับได้ยากมาก และเมื่อนอนแล้ว ตื่นขึ้นมาก็แค่หายง่วง ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่านั้น.
สำคัญที่สุดคือ เราไม่สามารถเข้าถึง นิโรธสมาบัติ ได้อีก. เมื่อถึงจุดที่ปกติจะเข้าถึง "ความดับ", มันกลายเป็นระบบความคิดถูกกระตุ้นให้ทำงาน, เหมือนหลับ แต่ไม่ใช่หลับ.

:b6: เรื่องราวยังมีอีกมากมายนัก แต่เราคิดว่า ที่เขียนมานี้ สามารถเป็นแก่นของเรื่องอื่นๆ ได้ทั้งหมดแล้ว.
เป็น 6 ปี ที่อยู่ในสถานะสูงสุด ต่ำสุด และแสนจะธรรมดา ไปพร้อมๆ กัน...

บางที มหากาพย์เรื่องใหม่ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอสนทนาด้วยนะครับ อย่างกัลยาณมิตร ที่เขียนเป็นเรื่องแต่งให้อ่านกันเล่นๆ ก็็แล้วไปผ่านไป ถ้าเป็นเรื่องจริง ....ขอถามว่า

"เรา" ในที่นี้ หมายถึง จขกท.เองใช่ไหมครับ ถ้าใช่ จขกท. ปฏิบัติแบบใดมา

อ้างคำพูด:
เรานอนหลับได้ยากมาก และเมื่อนอนแล้ว ตื่นขึ้นมาก็แค่หายง่วง ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่านั้น.
สำคัญที่สุดคือ เราไม่สามารถเข้าถึง นิโรธสมาบัติ ได้อีก. เมื่อถึงจุดที่ปกติจะเข้าถึง "ความดับ", มันกลายเป็นระบบความคิดถูกกระตุ้นให้ทำงาน, เหมือนหลับ แต่ไม่ใช่หลับ.


"นิโรธสมาบัติ" เป็นยังไงครับ

"ความดับ" หมายถึงดับอะไรครับ :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณmurano
ขอกราบคุณmurano ด้วยความเคารพค่ะ

เรื่องเล่าของคุณmurano สนุกจังค่ะเห็นชอบเล่าเรื่องทำนองพลังอำนาจผสมวิทยาศาสตร์อยู่เรื่อย เลยนะคะ ชอบอ่านค่ะ

ยังจำได้เมื่อครั้งเขียนเข้ามาถามคำแนะนำต่างๆ คุณmurano เคยสอนว่า
“เมื่อสมาธิที่ฝึกมาดีแล้วก็ให้เริ่มลองปฎิบัติสติปัฎฐาน ๔ “
และดิฉันก็จำได้เสมอมาและนำมาประพฤติปฎิบัติด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่นใน
คำแนะนำของผู้สอนและมันก็เป็นคำชี้แนะแนวทางที่ดีจริงๆ
กราบ กราบ กราบหลายๆ ครั้งนะคะที่ทำบุญไว้อย่างมหาศาล
และขอให้บุญกุศลที่ได้กระทำเอาไว้ย้อนกลับไปยังคุณเยอะๆ เลยนะคะ
ยังระลึกถึงพระคุณตลอดมาเลยนะคะ
จึงถือโอกาส เข้ามากราบแสดงความเคารพ
ศรีวรรณ์ ไคร้งาม

***ขอกราบท่านกรัชกายด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีวรรณ์ ไคร้งาม เขียน:



***ขอกราบท่านกรัชกายด้วยค่ะ


คุณศรีวรรณ์ครับ อย่าถึงกับกราบเลยขอรับ กรัชกายทำตัวไมู่ถูก เอาแค่สวัสดีก็พอ :b8: :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีวรรณ์ ไคร้งาม เขียน:
สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณmurano


cool cool cool ดีด้วยฮับ...
กะว่า สักตอนดึกๆ จะสรุปบทเรียน 5 ข้อ มาแปะต่อ... เป็นบทเรียนที่อ่านแล้ว จะต้องหงายเงิบเลยทีเดียว ฮิฮิ :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 11:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอสนทนาด้วยคนนะค่ะ

บันทึกเรื่องราวของคุณ murano น่าสนใจมากค่ะ
พลังจิต + วิทยาศาตร์

ขออนุญาตถามข้อข้องใจ
คุณmurano ปฏิบัติแนวไหนหรือค่ะ
- งงๆนะค่ะ บันทึกพูดถึง พราหมณ์-กษัตริย์-ราชินี
- การมุ่งร้ายของกลุ่มคนที่พูดถึง...เพราะมัวิบากกรมต่อกันมาก่อนหรือเปล่าค่ะ

เรียนถามด้วยความไม่รู้ - มิได้มีจิตปรามาสแต่ประการใด

รอลุ้นเรื่องราวต่อค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 14:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:

:b32: :b32: :b32:

:b4: :b4: :b4:

อย่าดึกมากน๊ะ...ท่านมู...


:b19: :b19: :b19:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool เปลี่ยนใจแระ ไม่แปะเรื่องบทเรียนแล้วดีกว่า เพราะถ้าอ่านบันทึกที่เราเขียนมาดีๆ มันก็บ่งบอกอะไรๆ ได้มากแล้ว

เราชอบวลีจาก Batman Begin.

It's not who you are underneath, but what you do... that defines you. และเช่นกัน

It's not who I am underneath, but what I do... that defines me.

poomipat เขียน:
- การมุ่งร้ายของกลุ่มคนที่พูดถึง...เพราะมัวิบากกรมต่อกันมาก่อนหรือเปล่าค่ะ


มิมีหรอกฮับ... ถ้ามี ก็จะไม่มีการแทรกแซงจากบางสิ่งบางอย่าง เพื่อไม่ให้กลุ่มคนเหล่านั้น ได้เสวนากับเรา ด้วยรูปนิมิตในความฝัน.
และแน่นอน เมื่อวันเวลาแห่งเหตุการณ์นี้ผ่านไป, ก็จะไม่มีวิบากกรรมใดๆ ต่อกันเช่นกัน.

เรื่องอาจดูเหลวไหล ก็คิดซะว่าเป็นการ์ตูน.
ผลกรรมทั้งหลาย (เส้นแรง 1 มิติ) ถูกเบี่ยงไปที่จิตอื่นๆ ที่มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะอย่างน้อย 2 จิต, อีก 1 จิตไม่ค่อยแน่ใจนัก และอีก 1 จิต ไม่ได้มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่มาเป็นการทั่วไป.

ผลกรรมจะมีมาก-น้อยเพียงใด ไม่อาจรู้ได้. มันจะเป็นเรื่องของผู้ที่มีส่วนในวิบากทั้งหลายนั้นเอง.
ผลกรรมส่วนมากจะถูกแยกออก ไม่ผูกเข้าด้วยกัน, หมายความว่า แต่ละจิตต้องไปรับวิบากกันเอาเอง โดยไม่มีคู่เวร.

เรื่องบางเรื่อง ถูกจัดเตรียมมานับสิบๆ ปี เพื่อให้มาส่งผลในช่วงเวลานี้. :b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อืมมพอๆเข้าใจแล้วว่าทำไมจึงเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ รูปปรมัตถ์ก็เสียหาย :b21:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอคุยด้วยเรื่องสมาธิและนิมิตที่คุณmurano เล่าการ์ตูนให้อ่านนะค่ะ โชคดีนะคะที่คุณmurano
สามารถฝึกตนจนความกลัวที่มีต่อความพินาศของร่างกายลดน้อยลงมากแล้ว

สำหรับดิฉันก็เช่นกันเมื่อเจอสภาวะในนิมิตต่างๆ มีพระสูตรที่นำมาใช้สอนใจตนเอง เมื่อพบเจอสภาวะในนิมิตต่างๆ อย่างมากๆ ทั้งนิมิตในนิมิตนอก และเรื่องของปฎิภาคนิมิต คือราหุลสูตร ที่สอนว่า

“...บุคคลพิจารณาเห็นรูปทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา...”

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

การพิจารณาสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นแต่ละอย่างนี้ เราย่อมรู้ชัดว่าแม้สิ่งต่างๆ เช่นนิมิตที่มีปรากฎเกิดขึ้นในแต่ละฌานนี้ อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้ เราก็ตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น ก็จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธองค์ อ่านเพิ่มเติมในพระสูตร ด้านล่างนี้นะคะ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... &pagebreak


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool ตอนนี้กำลังรอ มหากาพย์แห่งตำนานเรื่องใหม่อยู่ฮับ... ฮิฮิ

ฝึกปฏิบัติ... อย่าเคร่งเครียดนะฮับ ปล่อยใจสบายๆ แล้วจะดีเอง

หมายเหตุ... พระไตรปิฎกแก้ไขมาแล้ว 11 ครั้ง s004 s004 s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2013, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 17:47
โพสต์: 58

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue tongue tongue
ความสำคัญความเป็นมาของพระไตรปิฎกมีผู้ศึกษาไว้อยู่แล้วมากมาย
เราสามารถเข้าไปศึกษาก็จะได้คำตอบทันที ฉบับไหนพระสูตรไหนที่น่าจะเกิดก่อน
เกิดหลังตามบริบทของการชำระรวบรวมในครั้งนั้นๆ

ในความคิดเห็นของดิฉันเอง ระยะเวลาหลังองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ปรินิพพานมาแล้วตั้งกว่าสองพันปี การชำระรวบรวมพระไตรปิฎกแค่สิบกว่าครั้ง
นับว่าน้อยมากเลยนะคะ และความหมายของการชำระรวบรวมกับการเข้าไปเขียนใหม่ก็น่าจะแตกต่างกัน

อีกทั้ง ถ้าเข้ามาอ่านพระธรรมทั้งหมดที่ยังหลงเหลืออยู่ ณ ปัจจุบันนี้
พระธรรมที่อ่านก็สอดคล้องกัน และสามารถนำมาให้คำตอบกับชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันได้อยู่อย่างไม่จำกัดกาล

จริงๆ แล้วเราคือผู้ที่ผ่านการศึกษาวิชาการของโลกยุคปัจจุบัน
ที่ระบบคิดเป็นแบบวิทยาศาสตร์ ถ้าในชีวิตของเราไม่เกิดอะไรขึ้นเลยสิ่งที่เกิดขึ้น
ในชีวิตประจำวันวิทยาศาสตร์เข้าไปอธิบายได้ทั้งหมดเราคงไม่ต้องหันหน้าเข้ามาศึกษาธรรมะกันและตำราทางธรรมที่ยังหลงเหลือให้ค้นคว้าได้ในปัจจุบันก็คือพระไตรปิฎกก็คงไม่มีคนเข้าไปศึกษา และถ้าเรามองแนวคิดทฤษฎีต่างๆในยุค
ปัจจุบันทฤษฎีใหม่เกิดขึ้นมาทฤษฎีเก่าตกไปผลัดเปลี่ยนกันเรื่อยมา ต่างกับคำสอน
ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังคงมีอยู่แม้กาลเวลาผ่านมาถึงสองพันกว่าปีมาแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool พอดีนึกขึ้นได้ เลยมาโพสต์เพิ่มเติมให้ครบประเด็น.

มันมีวิธีบางอย่าง ที่พวกพราหมณ์ พวกพ่อมดแม่มด หรือแม้แต่พระ นำมาใช้เพื่อครอบงำบุคคลหรือสังคม, ซึ่งแน่นอนว่า ท้ายที่สุดแล้ว ก็จะเป็นการยกสถานะของตน, พวกพราหมณ์ พ่อมดแม่มด จะทำตัวเป็นคนกลางระหว่างมนุษย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์.
พวกพระ จะยกตนเป็นครูบาอาจารย์ หนักข้อเข้าก็กลายเป็นเกจิอาจารย์ นำมาซึ่งลาภสักการะมากมาย.

:b6: จริงๆ วิธีพวกนี้ เราได้ยินได้ฟังมามาก แต่ไม่เคยสะกิดใจจริงๆ จังๆ ก็จนวันนี้แหล่ะ.

หากเขาต้องการเชิดชูบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือตระกูลใดตระกูลหนึ่ง, ว่าเป็นบุคคล หรือเป็นตระกูลอันศักดิ์สิทธิ์, เป็นบุคคล หรือเป็นตระกูลของเทพเจ้า. ผู้ใดไม่นับถือ ก็จะพบกับเรื่องร้ายๆ มากมาย,
เช่น เริ่มป่วยด้วยอาการที่ไม่มีสาเหตุ และรักษาไม่หาย (เพราะมันเกิดจากการมุ่งร้าย ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย และแน่นอน อาการป่วยจะหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเราเริ่ม บริจาค, เริ่ม กราบไหว้ ),
หากเราต่อต้านบุคคลหรือตระกูลนั้นๆ อย่างรุนแรง อาการป่วยอย่างถาวรก็อาจเกิดขึ้นกับบุคคลในครอบครัว, แน่นอนว่า ย่อมเป็นอาการในระบบประสาทส่วนกลาง เพราะง่ายต่อการทำให้พิการ.

หากต้องการเพียงแค่ชี้นำความเชื่อ วิธีที่นิยมมากคือ ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด (สนามแม่เหล็กย่อมมีผลกระทบทางไฟฟ้าอยู่แล้ว), สตาร์ทยังไงก็ไม่ติด ช่างก็ไม่สามารถซ่อมได้ เพราะไม่มีอะไรเสีย. เมื่อจนปัญญาเข้า ก็จะมีผู้แนะนำให้กราบไหว้ เซ่นผี, รถก็จะสตาร์ทติดโดยทันที.
จริงๆ มันไม่เกี่ยวอะไรกับผีหรอก แต่เขาต้องการให้มีผี เพื่อที่เขาจะตั้งตนเป็นสื่อกลาง. วิธีนี้ เมื่อใช้ต้มตุ๋นกับชนชั้นนำแล้ว ย่อมนำมาซึ่งลาภสักการะและการเชิดชูที่ไม่สิ้นสุด.

เท่าที่เรารู้ พวกพระก็นิยมใช้วิธีนี้ แต่จะเป็นไปเพื่อยกตนให้เป็น เกจิอาจารย์

:b6: และเพราะอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาตลอด, คนพวกนี้จึงมีวิธีการตบตามากมาย แต่ละวิธีล้วนส่อให้เห็นถึงความ สกปรก ในจิตใจทั้งสิ้น.
แม้จนบัดนี้ มันก็ยังพยายามหาวิธีตบตาเราไม่หยุดหย่อน.

การกระทำเหล่านี้ เป็นอาชญากรรม เป็นวิสัยของอาชญากร.


:b6: ตาที่สาม เป็นกลไกที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน. เมื่อเป็นกลไกที่ถูกสร้างขึ้น มันก็ย่อมถูกปิดลงได้.
มนุษย์ในยุคกึ่งพุทธกาล ไม่สมควรจะเข้าถึงกลไกนี้อีก, ถ้าจะใช้คำที่แรงกว่านี้ มนุษย์ในกึ่งพุทธกาล เลวเกินกว่าที่จะมีความสามารถนี้.

แน่นอน คนดีคนปกติก็มีอยู่ แต่เราพูดโดยภาพรวม, คนเลวที่สามารถใช้ตาที่สามได้เพียงหยิบมือหนึ่ง ย่อมสามารถนำโลกสู่ความพินาศได้.


s004 สรุปส่งท้าย เทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีวันทำร้ายมนุษย์โดยปัจเจก แล้วก็... เปลี่ยนอารมณ์ก่อนจบ :b32: :b32:
ตอนนี้เรานึกออกแล้วว่า ครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพในนิยายกรีกโบราณน่ะ เป็นยังไง.
เรามักจะคิดเอาแบบสามัญสำนึกง่ายๆ ว่า ครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพ ก็คือลูกที่เกิดจากเทพและมนุษย์, ซึ่งเป็นไปไม่ได้พอๆ กับ ครึ่งมนุษย์ครึ่งเต่า.
ครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพ เกิดจากการปรับสภาพร่างกายด้วยวิทยาการชั้นเลิศ ซึ่งมันอาจเป็นสิ่งจำเป็น ในสถานการณ์หนึ่งๆ.

เอาล่ะ หัวข้อสรุป 6 ปี ก็เป็นอันจบโดยบริบูรณ์... สวัสดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 21:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


โหย....ท่านมูน่ะ กะลังมันส์...

s004 s004 s004


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 114 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร