ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=46262
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 06 ก.ย. 2013, 15:27 ]
หัวข้อกระทู้:  ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

แต่ให้มาดูจิตตนเอง แบบนี้บาปไหมละจ๊ะ

ให้ยกเลิก กิจกรรมทุกอย่าง ตั้งแต่ ใส่บาตร ทำบุญ ทอดกฐิน นั่งสมาธิ

มาเน้นดูจิตตัวเอง เพียงอย่างเดียว แบบนี้ เดินถูกทางไหมครับ

เจ้าของ:  asoka [ 06 ก.ย. 2013, 18:34 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

:b16: :b16:
คุณ choochu พึงควรไปพิจารณา มรรคข้อที่ 6 สัมมาวายามะ....ความเพียรชอบ ซึ่งท่านกล่าวไว้ว่า

1.เพียรละ....บาปอกุศลเก่าๆ ที่เราเคยธรรม

2.เพียรระวัง.....บาปอกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด มิให้เกิด

3.เพียรรักษาและทำให้เจริญงอกงาม.....ในกุศลเก่าๆที่เราเคยทำ (อันได้แก่กิจกรรมทุกอย่าง ตั้งแต่ ใส่บาตร ทำบุญ ทอดกฐิน นั่งสมาธิ เจริญกุศลกรรมบถหรือบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง ซึ่งเราทำกันมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน)

4.เพียรทำให้เกิด......ซึ่งกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในจิตใจ (ในที่นี่ท่านหมายถึง มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 นั่นเลยทีเดียวมิใช่เรื่องอื่น)
:b27:
การเน้นการดูจิตนั้น ดี แต่ดีสำหรับคนบางกลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ปัญญาชน คนใช้สมอง ความคิดมาก ซึ่งจะมีทุกข์ทาง ความคิดใจ มากกว่าทุกข์ทางกาย.....ซึ่งก็มักจะเป็นชนชั้นกลางและชนกลุ่มน้อย ในสังคมมนุษยชาติ


:b48:
แล้วที่ถามว่า

"แต่ให้มาดูจิตตนเอง แบบนี้บาปไหมละจ๊ะ"....อาจจะบาปก็ได้ ถ้าไปเจอคนที่เชี่อตามโดยไม่ใช้ สติ ปัญญาพิจารณา ว่าวิธีดีๆที่กล่าวนั้น เหมาะกับ จริต นิสัย วาสนา บารมีของตนเองหรือไม่ ที่บาป ก็คือไปทำให้เขาหลงทางและเสียเวลา
tongue

เจ้าของ:  Hanako [ 06 ก.ย. 2013, 23:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

แล้วเวลาเราไปทำกิจกรรมต่างๆจิตเราอยู่ที่ไหนเน้อ

เจ้าของ:  SOAMUSA [ 17 ก.ย. 2013, 08:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

choochu เขียน:
แต่ให้มาดูจิตตนเอง แบบนี้บาปไหมละจ๊ะ

ให้ยกเลิก กิจกรรมทุกอย่าง ตั้งแต่ ใส่บาตร ทำบุญ ทอดกฐิน นั่งสมาธิ

มาเน้นดูจิตตัวเอง เพียงอย่างเดียว แบบนี้ เดินถูกทางไหมครับ



เดินผิดทางค่ะ
การทำสมถกรรมฐานเช่น การแผ่เมตตานั้น ถึงแม้ไม่ได้ฌานก็ไม่เป็นไรค่ะ เป็นอารักขธรรม
ส่วนการสวดพุทธคุณ เป็นต้นก็เป็นอารักขธรรม อารักขธรรมช่วยเกื้อหนุนการปฏิบัติสติปัฏฐาน4

ดิฉันเคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งในบางเวปท่านสอนว่า บริกรรมภาวนา ไม่ใช่การไปนั่งท่องบ่น
แต่ในความจริงที่ดิฉันเข้าใจมาตามวิถีจิตที่เกิดขึ้นในการปฏิบัตสมถกรรมฐานนั้น กรรมฐานบางกอง
เริ่มบริกรรมภาวนานั้น วิถีจิตแรกนั้น เป็นโสตปสาทได้ยินเสียงการท่องบ่นบริกรรมจากปากของเราเองค่ะ
ถ้าไม่มีการท่องบ่น โสตวิญญาณของเราจะเกิดได้อย่างไร ต้องอาศัยที่เป็นการท่องของเราเองค่ะ
ท่องเก็บไว้แล้วเอามาฟังอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องท่องเองฟังเอง ณ ขณะนั้นค่ะ

แล้วการมุ่งไปดูจิตเลย โดยไม่ผ่านการดูรูปก่อน ก็ข้ามขั้นตอนค่ะ
ดูิจิตอย่างเดียว ไม่ดูรูป ถ้าจะต้องการผ่านญาณแรกก็ต้องดูรูปด้วยค่ะ
การจะดูจิตได้นั้น จิตต้องมีกำลัง กำลังของขณิกสมาธินั้นมีกระแสพลังเทียบเท่าอุปจารสมาธิในสมาธิ
เพราะสามารถข่มนิวรณ์ได้ค่ะ ก็จะต้องทำสมาธิก่อน หรือเจริญในกรรมฐานกองใดกองหนึ่งมาก่อน
เป็นสมาธินำปัญญาค่ะ และเหตุใกล้ของปัญญาก็คือ สมาธิค่ะ
ถ้าไปดูจิตแบบจิตไม่มีกำลัง ก็เจอแต่นิวรณ์รบกวนตลอด ต้องเจริญระดับธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนั่น
ยิ่งยากไปใหญ่จะไหวกันมั้ย ถ้าสามารถทำได้ก็ดีค่ะ

สำหรับดิฉันดูตรงนี้เป็นหลักค่ะ ในครอบคลุมอยู่กับ 6 คำนี้
-ทาน ศีล ภาวนา
-ศีล สมาธิ ปัญญา

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 17 ก.ย. 2013, 09:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

choochu เขียน:
แต่ให้มาดูจิตตนเอง แบบนี้บาปไหมละจ๊ะ

ให้ยกเลิก กิจกรรมทุกอย่าง ตั้งแต่ ใส่บาตร ทำบุญ ทอดกฐิน นั่งสมาธิ

มาเน้นดูจิตตัวเอง เพียงอย่างเดียว แบบนี้ เดินถูกทางไหมครับ


1. ถ้าคนฟังเชื่อ...เลิกตักบาต..ทำบุญ..ทอดกฐิน...เป็นการขวางทางผู้อื่นทำบุญเพิ่ม...เป็นบาปอกุศลแน่นอนครับ
แม้ผู้บอกจะนับถือศาสนาอื่น.....ก็ยังบาปอยู่ดี...

2. ถ้าคนฟังเชื่อ...แล้วเลิกสวดมนต์..นั่งสมาธิ....บังเอิญคนที่เชื่อนะบรรลุธรรมเพราะการสวดมนต์นั่งสมาธิ(บุญเขาทำมาอย่างนี้)....ผู้บอกเขาหมดสิทธิเข้านิพพานในชาตินี้ได้เลยครับ

3. ถ้าคนฟังเชื่อ....แล้วเกิดความคิดว่า..พระสงฆ์สอนผิด...นึกรังเกียจครูบาอาจารย์ที่เป็นพระแท้....
ผู้สอนมีบาปเทียบได้กับการทำสังฆเภท.....ขาดจากมรรคผลนิพพานในชาตินี้...มีนรกอเวจีเป็นที่ไป

4. ถ้าผู้สอน..สอนลูกศิษย์เป็นการเฉพาะตามนิสัยของผู้ฟัง....เพื่อการชักจูงเป็นอุบายให้ผู้ฟังหันมาปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน....แต่..จขกท...นำมาบอกเฉพาะบางาวน...แม้ไม่ได้ตั้งใจ...ตัดทอนมา...ทำให้คนติดตามกระทู้....เขาใจในผู้สอนผิด...หากบังเอิญผู้นั้นเป็นพระแท้...และผู้ที่มาอ่านกระทู้ก็เป็นผู้มีคุณธรรม...แล้วเชื่อว่าผู้สอนนั้นไม่ดี....ท่านเจ้าของกระทู้มีความผิดในฐาน...ทำสงฆ์ให้แตกแยก..ได้เลยนะครับ..ขาดจากมรรคผลนิพพานในชาตินี้...ลงอเวจี

ขอเตือนเพื่อน ๆ นะครับว่า....การทำสังฆเภท...นี้ทำง่ายมาก...ยิ่งในสังคมออนไลน์...จะพลาดได้ง่ายมาก....พึงระวังในการพูดถึงบุคคลที่ 3 ให้มากนะครับ

เจ้าของ:  ปลีกวิเวก [ 17 ก.ย. 2013, 09:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

เหตุ 1 ผล 1 เป็นการมองเพียงด้านเดียว
การจะเกิดเป็นผลได้ไม่ใช่อาศัยเพียงแค่เหตุอย่างเดียว..แต่ต้องอาศัยปัจจัยที่สมบูรณ์ด้วย...

เสมือนดอกบัวที่โผล่พ้นผืนน้ำขึ้นมารับแสงแดด..วันนึงก็มาปฏิเสธว่าไม่ได้เติบโตมาจากโคลนตม
โดยลืมมองย้อนกลับไปว่าตัวเองก็อาศัยโคลนตมหล่อเลี้ยงชีวิตมาเช่นกัน...

สติปัญญาของสัตว์มีความแตกต่างกันดังที่พระศาสดาท่านจำแนกไว้เปรียบดั่งบัวสี่เหล่า.. :b41:

เจ้าของ:  SOAMUSA [ 17 ก.ย. 2013, 12:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

กบนอกกะลา เขียน:
choochu เขียน:
แต่ให้มาดูจิตตนเอง แบบนี้บาปไหมละจ๊ะ

ให้ยกเลิก กิจกรรมทุกอย่าง ตั้งแต่ ใส่บาตร ทำบุญ ทอดกฐิน นั่งสมาธิ

มาเน้นดูจิตตัวเอง เพียงอย่างเดียว แบบนี้ เดินถูกทางไหมครับ


1. ถ้าคนฟังเชื่อ...เลิกตักบาต..ทำบุญ..ทอดกฐิน...เป็นการขวางทางผู้อื่นทำบุญเพิ่ม...เป็นบาปอกุศลแน่นอนครับ
แม้ผู้บอกจะนับถือศาสนาอื่น.....ก็ยังบาปอยู่ดี...

2. ถ้าคนฟังเชื่อ...แล้วเลิกสวดมนต์..นั่งสมาธิ....บังเอิญคนที่เชื่อนะบรรลุธรรมเพราะการสวดมนต์นั่งสมาธิ(บุญเขาทำมาอย่างนี้)....ผู้บอกเขาหมดสิทธิเข้านิพพานในชาตินี้ได้เลยครับ

3. ถ้าคนฟังเชื่อ....แล้วเกิดความคิดว่า..พระสงฆ์สอนผิด...นึกรังเกียจครูบาอาจารย์ที่เป็นพระแท้....
ผู้สอนมีบาปเทียบได้กับการทำสังฆเภท.....ขาดจากมรรคผลนิพพานในชาตินี้...มีนรกอเวจีเป็นที่ไป

4. ถ้าผู้สอน..สอนลูกศิษย์เป็นการเฉพาะตามนิสัยของผู้ฟัง....เพื่อการชักจูงเป็นอุบายให้ผู้ฟังหันมาปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน....แต่..จขกท...นำมาบอกเฉพาะบางาวน...แม้ไม่ได้ตั้งใจ...ตัดทอนมา...ทำให้คนติดตามกระทู้....เขาใจในผู้สอนผิด...หากบังเอิญผู้นั้นเป็นพระแท้...และผู้ที่มาอ่านกระทู้ก็เป็นผู้มีคุณธรรม...แล้วเชื่อว่าผู้สอนนั้นไม่ดี....ท่านเจ้าของกระทู้มีความผิดในฐาน...ทำสงฆ์ให้แตกแยก..ได้เลยนะครับ..ขาดจากมรรคผลนิพพานในชาตินี้...ลงอเวจี

ขอเตือนเพื่อน ๆ นะครับว่า....การทำสังฆเภท...นี้ทำง่ายมาก...ยิ่งในสังคมออนไลน์...จะพลาดได้ง่ายมาก....พึงระวังในการพูดถึงบุคคลที่ 3 ให้มากนะครับ



สังฆเภท เป็นเรื่องของพระค่ะ ไม่เกี่ยวกับฆราวาสค่ะ

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 17 ก.ย. 2013, 13:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

โสดาบันในฆราวาส...ก็เป็นสงฆ์แล้วครับ...ส่วนผู้บวชเขาเรียกภิกษุ..คือผู้ศึกษา...

ส่วนผู้ศึกษาปฏิบัติธรรม..ถือศีลพรหมจรรย์....แม้อยู่ในเพศฆราวาส...ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นภิกษุได้รึเปล่า...

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 17 ก.ย. 2013, 13:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

ทำไม...สังฆเภท...จึงเป็นกรรมหนัก?

เพราะ...ไปขัดขวางผู้ศึกษาเพื่อที่จะออกจากทุกข์...เกิดความไม่สะดวก..

จุดมันอยู่ที่...ไปขวางทางนิพพานของผู้อื่น...

เจ้าของ:  SOAMUSA [ 17 ก.ย. 2013, 18:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

กบนอกกะลา เขียน:
โสดาบันในฆราวาส...ก็เป็นสงฆ์แล้วครับ...ส่วนผู้บวชเขาเรียกภิกษุ..คือผู้ศึกษา...

ส่วนผู้ศึกษาปฏิบัติธรรม..ถือศีลพรหมจรรย์....แม้อยู่ในเพศฆราวาส...ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นภิกษุได้รึเปล่า...


ไม่มีใครขวางทางใครได้นะคะ มีแต่กรรมของตนเองเท่านั้นแหล่ะที่เป็นผู้จัดสรรค่ะ

สามเณร คฤหัสห์ ทำสังฆเภทกกรรมไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าสามเณร หรือ คฤหัสถ์ ผู้ใดก็ตามไปยุยง
ให้สงฆ์ต้องแตกแยกกันในงานที่เกี่ยวกับสังฆกรรม หรือในการงานอื่น ไม่ได้เรียกว่าสังฆเภทค่ะ
แต่ก็จัดเป็นกรรมหนัก แต่ไม่ได้เรียกว่าสังฆเภท สังฆเภทจะเรียกเฉพาะภิกษุสงฆ์มีปัญหากันเอง
ภิกษุสงฆ์เป็นผู้ยุยงให้ภิกษุสงฆ์แตกกันเองคือร่วมทำสังฆกรรมในอุโบสถเดียวกันในเวลาเดียวกันไม่ได้ค่ะ

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 18 ก.ย. 2013, 03:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

choochu เขียน:
แต่ให้มาดูจิตตนเอง แบบนี้บาปไหมละจ๊ะ

ให้ยกเลิก กิจกรรมทุกอย่าง ตั้งแต่ ใส่บาตร ทำบุญ ทอดกฐิน นั่งสมาธิ

มาเน้นดูจิตตัวเอง เพียงอย่างเดียว แบบนี้ เดินถูกทางไหมครับ

จขกทมันต้องอธิบายความกันก่อน ไม่ใช่มาถามด้วนๆ คนตอบก็ตอบห้วนๆ
ไปหยิบยกคำพูดของผู้อื่นมาพูดไม่หมด ทำให้ความหมายต้นฉบับมันเปลี่ยนไป
แบบนี้มันทำให้คนอื่นที่ไม่เข้าใจ พาลเกลียดบุคคลนั้นได้

......พินิจวิเคราะห์แล้วว่า ต้นฉบับน่าจะเป็น ใครจะปฏิบัติให้เน้นดูจิตเป็นหลัก
ไม่เน้นการไหว้พระสวดมนต์เป็นหลัก


เรื่องบาปหรือไม่ ผมว่าคนที่เขาแนะนำจขกทมา คงไม่บาปหรอกครับ
แต่ไอ้ที่น่าจะบาปอาจเป็นจขกทนั้นแหล่ะ โทษฐานทำให้คนอื่นเสียหาย
ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม
คนที่ตอบว่าบาปยังโน้นบาปอย่างนี้ ก็ไม่ได้พิจารณาให้ดีก่อนที่จะพูด

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 18 ก.ย. 2013, 03:51 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

กบนอกกะลา เขียน:
1. ถ้าคนฟังเชื่อ...เลิกตักบาต..ทำบุญ..ทอดกฐิน...เป็นการขวางทางผู้อื่นทำบุญเพิ่ม...เป็นบาปอกุศลแน่นอนครับ
แม้ผู้บอกจะนับถือศาสนาอื่น.....ก็ยังบาปอยู่ดี...

2. ถ้าคนฟังเชื่อ...แล้วเลิกสวดมนต์..นั่งสมาธิ....บังเอิญคนที่เชื่อนะบรรลุธรรมเพราะการสวดมนต์นั่งสมาธิ(บุญเขาทำมาอย่างนี้)....ผู้บอกเขาหมดสิทธิเข้านิพพานในชาตินี้ได้เลยครับ

3. ถ้าคนฟังเชื่อ....แล้วเกิดความคิดว่า..พระสงฆ์สอนผิด...นึกรังเกียจครูบาอาจารย์ที่เป็นพระแท้....
ผู้สอนมีบาปเทียบได้กับการทำสังฆเภท.....ขาดจากมรรคผลนิพพานในชาตินี้...มีนรกอเวจีเป็นที่ไป

4. ถ้าผู้สอน..สอนลูกศิษย์เป็นการเฉพาะตามนิสัยของผู้ฟัง....เพื่อการชักจูงเป็นอุบายให้ผู้ฟังหันมาปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน....แต่..จขกท...นำมาบอกเฉพาะบางาวน...แม้ไม่ได้ตั้งใจ...ตัดทอนมา...ทำให้คนติดตามกระทู้....เขาใจในผู้สอนผิด...หากบังเอิญผู้นั้นเป็นพระแท้...และผู้ที่มาอ่านกระทู้ก็เป็นผู้มีคุณธรรม...แล้วเชื่อว่าผู้สอนนั้นไม่ดี....ท่านเจ้าของกระทู้มีความผิดในฐาน...ทำสงฆ์ให้แตกแยก..ได้เลยนะครับ..ขาดจากมรรคผลนิพพานในชาตินี้...ลงอเวจี

ขอเตือนเพื่อน ๆ นะครับว่า....การทำสังฆเภท...นี้ทำง่ายมาก...ยิ่งในสังคมออนไลน์...จะพลาดได้ง่ายมาก....พึงระวังในการพูดถึงบุคคลที่ 3 ให้มากนะครับ


ผมว่ากะลานั้นแหล่ะหนักกว่าที่จขกทยกมาอีก จะบอกอะไรให้น่ะครับเพื่อความเข้าใจ
คนอื่นจะได้ไม่หลงไปกับคำพูดของคุณ

คุณกะลาครับ สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมด ผมขอพูดแบบเต็มปากเต็มคำเลยว่า
มันไม่เกี่ยวกับพระธรรม มันไม่ใช่พุทธศาสนา
คำพูดของคุณทั้งหมดล้วนเป็นลัทธิที่ให้คนอื่นหลงเชื่อ เพราะเกรงกลัว

คนที่เอาความกลัว มาเป็นเครื่องมือเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อตน
ถ้าคนๆนั้นอ้างถึงพุทธศาสนาด้วยแล้ว เขาเรียกบุคคลนี้ว่า...
มันมีคำเรียกเฉพาะครับ แต่เห็นว่ามันไม่เหมาะ ผมเลยเรียกว่า
ผู้ทำให้คนอื่นหลงผิดแล้วกันครับ


ผมไม่ได้พูดประนามคุณกะลานะครับ เพียงแต่จะชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะ

......"ความกลัว" มันเป็นกิเลส พระพุทธองค์สอนให้ละมันเสีย ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว
ดังนั้นถ้าใครมาทำให้ผู้อื่นเกิด "ความกลัวหรือมีกิเลสตัวนี้" เท่ากับว่าผู้กระทำเป็นมาร
ทำในสิ่งตรงข้ามกับพระพุทธเจ้าครับ

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 18 ก.ย. 2013, 04:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

ปลีกวิเวก เขียน:
เหตุ 1 ผล 1 เป็นการมองเพียงด้านเดียว
การจะเกิดเป็นผลได้ไม่ใช่อาศัยเพียงแค่เหตุอย่างเดียว..แต่ต้องอาศัยปัจจัยที่สมบูรณ์ด้วย...

เสมือนดอกบัวที่โผล่พ้นผืนน้ำขึ้นมารับแสงแดด..วันนึงก็มาปฏิเสธว่าไม่ได้เติบโตมาจากโคลนตม
โดยลืมมองย้อนกลับไปว่าตัวเองก็อาศัยโคลนตมหล่อเลี้ยงชีวิตมาเช่นกัน...

สติปัญญาของสัตว์มีความแตกต่างกันดังที่พระศาสดาท่านจำแนกไว้เปรียบดั่งบัวสี่เหล่า.. :b41:

คุณปลีกวิเวกครับ เป็นเพราะคุณชอบศึกษาธรรมในลักษณะของ คำคม คำกลอน
มันเลยทำให้คุณมีความหลง ชอบปรุงแต่งธรรมครับ

พระพุทธองค์ทรงเข้าใจถึงเรื่องนี้ จึงทรงสอนไม่ให้สาวก....................

ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว
กลองศึกของกษัตริย์พวกทสารหะเรียกว่าอานกะมีอยู่
เมื่อกลองอานกะนี้มีแผลแตก หรือลิพวกกษัตริย์ทสารหะได้หาเนื้อไม้อื่น
ทำาเป็นลิ่มเสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้ง หลายคราวเช่นนั้น
นานเข้าก็ถึงสมัยหนึ่งซึ่งเนื้อไม้เดิมของตัวกลองหมดสิ้นไป
เหลืออยู่แต่เนื้อไม้ที่ทําเสริมเข้าใหม่เท่านั้น
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น :
ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคตจักมีภิกษุทั้งหลาย
สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคําของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง
เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา
เมื่อมีผู้นำาสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่
เธอจักไม่ฟังด้วยดีจักไม่เงี่ยหูฟังจักไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง
และจักไม่สำาคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคําร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน
มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคํากล่าวของสาวก
เมื่อมีผู้นำาสุตตันตะที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่
เธอจักฟังด้วยดีจักเงี่ยหูฟังจักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง
และจักสำาคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความอันตรธานของสุตตันตะเหล่านั้น ที่เป็นคําของตถาคต
เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ
ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา จักมีได้ด้วยอาการอย่างนี้แล.

นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓

เพราะคุณขาดธรรมบทนี้ เลยหลงไป ชอบฟังธรรมจากบุคคล
ที่ชอบสอนธรรมะ ในลักษณะของการพูด คำคม คำกลอนฯลฯ
คำพูดของคุณ ทำให้ธรรมที่เป็นโลกุตระผิดเพี้ยนไปครับ อาทิเช่น.......
พูดว่า "เหตุ๑ ผล๑ เป็นการมองธรรมเพียงด้านเดียว" นี่เป็นการไปปรุงแต่งธรรม
ที่เป็นโลกุตตระให้ผิดเพี้ยนครับ

และอีกครับ......เอาเรื่อง"บัว"มาเปรียบ เพียงเพราะเรื่อง บัวฟังแล้วมันเสาะโสตลื่นหู
แต่มันเป็นคนล่ะเรื่อง ที่จขกทเอามากล่าว

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 18 ก.ย. 2013, 04:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

โฮฮับ เขียน:

......"ความกลัว" มันเป็นกิเลส พระพุทธองค์สอนให้ละมันเสีย ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว
ดังนั้นถ้าใครมาทำให้ผู้อื่นเกิด "ความกลัวหรือมีกิเลสตัวนี้" เท่ากับว่าผู้กระทำเป็นมาร
ทำในสิ่งตรงข้ามกับพระพุทธเจ้าครับ



ในเมื่อเป็นดังโฮฮับว่าแล้ว ก็บอกวิธีกำจัดกิเลส กำจัดความกลัวเขาด้วยสิขอรับ พูดอยู่นั่นแล้วววว "ดีแต่พูดจินๆ" :b1: :b32:

เจ้าของ:  nongkong [ 18 ก.ย. 2013, 12:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไปบอกให้คนอื่น ไม่ให้ไหว้พระสวดมนต์

พุดจริงๆนะ การตั้งกระทู้แบบนี้ขึ้นมา มันมีเหตุปัจจัยมาจากอะไรหรอ คือไม่ทราบว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของ จขกท คือ อะไร ต้องการให้เกิดสัมมาปฏิบัติ หรือมีคนแนะนำ จขกทมา ว่าให้ฝึกดูจิตแต่ไม่ให้สวดมนต์ ไหว้พระ อย่างงั้นหรอ :b6:
คุณน้องจะเล่าไรให้ฟัง มีพี่คนนึงชอบสวดมนต์มาก และพี่เค้าก็ไปสักยัณหรือจะเรียกอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เกิดมหาสเน่ห์คือ ทำให้คนอื่นเห็นแล้วเกิดรักเกิดหลง ว่างั้น
แล้วคุณน้องก็ถามว่า พี่ลงของพวกนี้พี่ต้องปฏิบัติอะไรมั้ย เค้าก็บอกต้องถือศีล5 (พอคุณน้องได้ยินคุณน้องก็อยากจะหัวเราะเหมือนกัน เหอๆเพราะที่คุณน้องรู้คือศีลห้าพี่เค้าไม่ได้บริสุทธิ์) แล้วคุณน้องเลยถามไปว่า พี่ปฏิบัติได้หรอศีลห้า เค้าก็บอกได้ :b14: แล้วเค้าก็บอกว่า ห้ามถุยน้ำลายลงพื้นเพราะของจะเสื่อม คือคุณน้องไม่อยากจะพูดเลยว่า แกรู้ไหมว่าศีลห้ามีอะไรบ้าง 555 แต่แกก็ชอบสวดมนต์ทุกวันๆ
แต่พอเลิกสวดมนต์ ก็จะชอบหงุดหงิดกับคนนั้นคนนี้ นินทาคนนั้นคนนี้ อยากตบคนนั้นคนนี้ 555+และแกก็ดื่มสุราแบบเมาหัวปลิ้นเลย และพวกพี่เค้าก็จะนับถือ เทวดา นางฟ้า เื่พื่อขอโชคขอลาภเพราะแกบอกไปไหว้ครู(คือคุณน้องก็งงตอนแรก คือคล้ายๆคลิปที่พี่กรัชกายเอามาให้ดู) แกถามคุณน้องว่า ไหนบอกปฏิบัติธรรม แต่ทำไมไม่เห็นสวดมนต์ คุณน้องก็ตอบไปตรงๆ ขี้เกียจ 555+ :b31: แกชอบชวนคุณน้องไปเที่ยวกลางคืน เพราะแกชอบดื่มเหล้า คุณน้องก็บอกไม่ไปหนูขี้เกียจไป และอีกอย่างหนูไม่ชอบดื่มเหล้า ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน หนูพยายามอยากไปอยากชอบเที่ยวอยากชอบดื่มเหมือนกัน แต่ใจมันไม่เอาจริงๆคือรู้สึกเบื่อ (แบบว่าปลงแล้ว 555+)
ซึ่งคุณน้องเลยรู้เลยว่าจิตของคนเราไม่เหมือนกันและคุณน้องก็ไม่รู้ว่าตอนที่เค้าสวดมนต์นั้นในใจเค้าระลึกถึงสิ่งใด จิตเค้าสวดเพื่ออะไร ไม่เข้าใจจริงๆ :b5:

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/