วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 18:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2013, 09:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือตอนนี้เหมือนกลายร่างเป็นป้าวัยทองเลย....
ใครจะมาจู้จี้จุกจิก...มายุ่งวุ่นวายไม่ได้เลย....
มาสั่งก็ไม่ได้...มาคุยก็ไม่ได้เหมือนกัน..มันเกิดอาการรำคาญ...แล้วก็หงุดหงิด...ถึงขั้นเดินหนีเลยทันที
ตอนนี้อาการหนักถึงขั้นไม่อยากฟัง....ใครพูดอะไร...จะเดินหนี...ไม่หนีเข้าห้องก็ลงสวนไปถากหญ้า
บางทียังรำคาญอารมณ์ตัวเองเลย...เมื่อก่อนไม่เป็นแต่มันเริ่มเป็นหลังจากที่เรารู้สึก"เราถูกกำลังคนอื่นยัดเยียดบังคับให้เราต้องทำตามในสิ่งที่เขาอยากได้....แต่พอเราไม่ทำก็จะใช้แรงกดดันมาบังคับให้เราทำไปในสิ่งที่ต้องการ....ทั้งๆที่เราไม่ต้องการจะทำ...ไม่เคยรับปากจะทำ...อยากได้แต่ไม่อยากทำถึงได้มาบังคับให้เราทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ...ถ้าอยากทำทำเองซิอย่ามาบังคับ...กดข่มกันแบบนี้...ความจริงโลกนี้มันเป็นสีเทาๆ...มันจะขาว..มันจะดำ..มันก็อยู่ที่มองมุมว่าจะมองมุมไหน...ใครจะมองยังไงก็ไม่สน
ขออย่างเดียวอย่ามาจุกจิก วุ่นวาย กับชีวิตเราให้มากใครอยากทำอะไรก็ทำไปอย่ามาบังคับ...ยิ่งบังคับเราก็ยิ่งหนี ถ้าไม่มาอะไรกับเรา ทุกอย่างที่ควรทำเราก็ทำให้หมด แต่ถ้ามายุ่งอะไรที่ควรทำก็ไม่ทำสักอย่างเดียว"......แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นป้าวัยทองเต็มตัว...เป็นมาหลายวันแล้ว (พยายามหาทางออกกับปัญหานี้อยู่....คือหงุดงิดอยู่ตลอดเวลา....แต่ไม่ฟาดงวงฟาดงากับใคร...ถ้าไม่เดินหนี....ก็จะนอนหนีความหงุดหงิดของตัวเอง....หรือไม่ก็ลงสวนไปปลูกผักถอนหญ้าตามเรื่องตามราว...ตอนนี้เห็นต้นหญ้าดีกว่าเห็นหน้าคน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2013, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


ต้นหญ้าอ่อน ค้อนใคร ไม่เคยเป็น
ร้อนหรือเย็น ชูใบเขียว เรียวสวย
จะแก่สาว วัยทอง ถึงเป็นซวย
หงุดหงิดด้วย ระวังหญ้า บาดมือเรา

ความวุ่นวาย ปัญหา คือภาระ
โตแล้วจะ เดินหนี นี้คล้ายเขลา
ดูหญ้าสอน จะแดดฝน ก็ทนเอา
ถึงใครเขา จะเหยีบย่ำ ก็กลับฟู

ให้กระทืบ บดเหยียบ จนจมดิน
ถึงเอาหิน มาทับ ถึงข่มขู่
ทั้งเด็ดถอน ด่าดึง ขึ้นมึงกู
ก็ยังอยู่ กลับมา ยิ้มอวดใคร

คอยดูใจ เอาไว้ ไม่ห่างหาย
ใจเขาร้าย ไม่ร้ายตาม ใครที่ไหน
เอาใจเรา มาใส่ใจ ในภายใน
ยิ้มเย็นไว้ ดีร้าย สติชู

ให้ชูเหมือน หญ้าชู ใบสวยสวย
เจอเรื่องซวย ทำกล้วยกล้วย หมูหมู
ความร้ายดี ปะปน ทุกคนอยู่
อย่าเสียรู้ จอมหงิดหงิด สะกิดใจ



โล้นเศร้าหุบเขาเมามาย
ดอยสัพพัญญู
๑๘ ก.ค. ๕๖





Credit image by : http://thanapornja.wordpress.com/tag/%E ... %E0%B8%B2/

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ต.ค. 2008, 19:58
โพสต์: 294

โฮมเพจ: https://www.facebook.com/McDoorEdgeRubber
แนวปฏิบัติ: ตามหาพุทโธ
งานอดิเรก: ถ่ายภาพ สะสมพระเครื่องพระบูชา เลี้ยงปลา เลี้ยงแมว
ชื่อเล่น: Mc
อายุ: 0
ที่อยู่: สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

 ข้อมูลส่วนตัว www


โอ ! โล โภ โท โส โมโหนี้

เป็นราคีของใจ อันใหญ่หลวง

เป็นมูลรากราคิน สิ้นทั้งปวง

คอยเหนี่ยวหน่วงให้นุง ยุ่งหัวใจฯ


ง่ายที่สุด คือเอา ศีล สมาธิ และปัญญาเข้ามาพิจารณาอารมณ์ครับ
ที่สำคัญ อย่ายึดมั่นในสัญญาต่างๆทั้ง รูปสัญญา นามสัญญา

ขอแนะนำแบบกลางๆนะครับ
ยังไงก็ขอให้ค้นพบทางสว่างครับ :b8:

.....................................................
ถ้าจะตาย จะเสียดายทำไมเล่าชีวี
ต้องรู้เท่าทันธาตุขันธ์นี้ ล้วนแต่มีอนิจจังทั้งหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2013, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ถ้าเรามัวแต่คิดว่า..ฉันมองมุมนี้..คุณก็มองอีกมุมหนึ่ง..ต่างคนก็ต่างมองเห็นจากจุดที่แต่ละคนยืน
ก็เลยคุยแต่เรื่องที่ตัวเองเห็นตัวเองคิด...และที่สำคัญมักจะต่างคนต่างก็คิดเห็นว่าของตนถูกต้อง..
อันนี้เป็นเรื่องปกติของคนในสังคม...เพราะพื้นฐานทางสติปัญญา ประสบการณ์ชีวิต การสั่งสมความรู้ และสภาพแวดล้อมแต่ละคนไม่เหมือนกัน...ถ้าเราเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้และไม่ยึดติดถือมั่นในความเป็นตัวตนของเราเกินไป...ก็จะอยู่ในสังคมได้อย่างไม่เป็นทุกข์มากนัก.....
....ในบางครั้งเราจะพบว่าเรามักจะเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยการทุ่มเถียงกันเพื่อจะเอาชนะกันและเราก็มักจะภาคภูมิใจว่าฉันเก่ง มีความรู้ความสามารถกว่าใคร...แต่เราหาได้พิจารณาไม่ว่าสุขที่ได้มาเป็นเพียงชั่วคราวเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว...ไม่คุ้มกับเวลาที่สูญเสียไปกับเรื่องนั้นๆ...ทั้งยังอาจเบียดเบียนตนเองและบุคคลอื่นอีก...พลาดพลั้งอาจถึงขั้นผิดศีลผิดธรรมกันทีเดียว...เรียกว่าทุกข์มากกว่าสุข...แต่เราก็ยังเลือกที่จะทำกัน....
....ในความเป็นจริงโลกมันกลม....มันไม่ใช่แค่กล่องสี่เหลี่ยมที่มีแค่สี่มุมเท่านั้น...เปรียบเปรยให้เห็นว่าเราควรทำใจให้กว้างขวางมองโลกให้กว้างออกไป....พยายามมองให้รอบด้านเท่าที่เราจะทำได้เราอาจจะเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้มาก่อนความคิดของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปจากมุมเดิมๆที่เราเคยเห็น...อย่าให้ความคิดติดอยู่แค่มุมใดมุมหนึ่ง..คุณอาจพลาดโอกาสที่ดีๆของชีวิตได้....

:b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2013, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


บางครั้งการอยู่กับคนจำนวนมาก จะเป็นแบบนั้นหล่ะค่ะ เพราะในสมองมันหลายเรื่องเกิน
ลองศึกษาธรรม เรื่องการปล่อยวางดูสิ กำหนดลมหายใจเข้าออก
ให้จิตเป็นสมาธิทุกครั้ง ที่รู้สึกหงุดหงิด ตรงนี้จะช่วยได้เยอะค่ะ
เป็นการปล่อยวาง คือไม่เอาอะไรมาใส่สมองมากเกินไป

พอทำบ่อยๆ ในสมองของเรา จะแทบไม่มีเรื่องให้หงุดหงิดเลย
ลองทำดูค่ะ เพราะพี่เต้จะใช้วิธีนี้ทุกครั้ง ที่รู้สึกรำคาญหรือหงุดหงิด
ลองค่อยๆฝึกดู จะบริกรรมหรือไม่บริกรรมก็ได้
เอาจิตไปจับที่ลมหายใจเข้า-หายใจออก

ทำบ่อยๆ ต่อไปจะชิน ยิ่งอยู่กับสวนกับต้นไม้ ยิ่งทำง่ายค่ะ
พอต่อไป ความรู้สึกโกรธเกลียดใคร
จะค่อยๆหายไปเองค่ะ เพราะสมองปล่อยวางไปหมดแล้ว :b1: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2013, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


อยากปลีกวิเวกเหรอคะคุณอธรรม อยู่กับคนมันก็มีปัญหามากอย่างนี้แหละค่ะ
สับสน วุ่นวาย หากเราต้องการอยู่กับคน เราก็ต้องอดทนกับความสับสน วุ่นวาย
และปัญหาต่างๆเหล่านี้ให้ได้ค่ะ หากเราทนไม่ได้ ทางเดียวก็คือปลีกตัวออก
ไปอยู่ป่า อยู่คนเดียวค่ะ จะได้ไม่ต้องมีใครมาวุ่นวาย หากคุณไปปรึกษาพระ
พระท่านก็คงกล่าวทำนองนี้แหล่ะค่ะ เรื่องการทำงานก็เช่นกัน หากเราต้องทำ
งานกับคน เราก็ต้องอดทนต่อความวุ่นวายต่างๆ เพราะคนนี่วุ่นวายค่ะ

ลองปรับทัศนะคติใหม่สิ่ค่ะ ปรับมุมมองใหม่ ว่าทำยังไงจึงจะมีความสุขได้ภาย
ใต้ความวุ่นวายเหล่านี้ เมื่อปรับทัศนะคติให้มองบวกได้ ความสุขก็จะกลับมาหา
เราเองค่ะ เชื่อมั้ยคะ สุดท้ายแล้วปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายได้ มันอยู่ที่วิธีคิด
ของเราทั้งนั้นค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2013, 14:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกความเห็นคะ
เพราะว่ารู้สึกตัวนะคะว่าอารมณ์มันขึ้นๆลงๆ....จนไม่อยากให้ใครเข้าใกล้
เพราะเกิดสถานการณ์ที่ว่าคือ......ฟังปุ๊บ.....อารมณ์มันก็พุ่งปี๊ด......ถึงต้องหนีเพื่อไปตั้งสติไปดับอารมณ์ แล้วพอหาย...กลับไปเจอสถานการณ์ที่คล้ายเก่า....อารมณ์หงุดหงิดก็เกิดอีก...และสถานการณ์เดิมๆก็เกิดอีก บอกตรงๆเหมือนคนบ้า(ขาดสติ) อะไรมากระทบใจ..ก็ฟุ่งปรี๊ด....แล้วอยู่ๆอารมณ์หงุดหงิดมันก็หายไปเอง....เป็นอย่างนี้แหละ...แต่เป็นทั้งวัน....จนไม่อยากให้ใครมายุ่งจนกว่าเราจะจัดการกับตัวเราเองได้.....เราไม่ชอบวิธีการที่ต้องจำใจทำแต่เอาความหงุดหงิดไปยัดใส่ในงานที่ต้องทำ....แบบ..ปั้งๆๆๆ...เพราะมันจะเพิ่มอารมณ์เป็นโมโห...รัศมีการทำลายล้างจะสูงขึ้น...และเราไม่อยากมาเสียใจภายหลังเพราะการกระทำของเรา....เราถึงหนีแทนการอยู่ที่....เดิมทีเราเป็นคนที่โทสะแรงมาก...เพราะเป็นคนเก็บกด....ดังนั้นเวลาระเบิดอารมณ์...ถ้าเป็นมดก็คงตายยกรัง....แต่เพราะเป็นเราในปัจจุบัน...เราถึงแค่หงุดหงิดเพราะเราเลือกที่จะจัดการกับอารมณ์ตัวเองแทนที่จะจัดการกับคนอื่น...เรารู้ตัวตัวว่าถ้าอยู่ก็สู้ไม่ไหว....และเพราะนิสัยเรานี้แหละที่เวลาทำอะไรต้องจัดการให้สิ้นซาก...ถ้าเรายังจัดการตัวเองไม่ได้เราก็ไม่อยากเจอใครเพราะถ้ายังกลับไปในสถานการณ์เดิมๆเราก็จะเป็นผู้แพ้ไปเรื่อยๆ หงุดหงิดไปเรื่อยๆๆเราคงไม่มีความสุขแน่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2013, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
ขอบคุณทุกความเห็นคะ
เพราะว่ารู้สึกตัวนะคะว่าอารมณ์มันขึ้นๆลงๆ....จนไม่อยากให้ใครเข้าใกล้
เพราะเกิดสถานการณ์ที่ว่าคือ......ฟังปุ๊บ.....อารมณ์มันก็พุ่งปี๊ด......ถึงต้องหนีเพื่อไปตั้งสติไปดับอารมณ์ แล้วพอหาย...กลับไปเจอสถานการณ์ที่คล้ายเก่า....อารมณ์หงุดหงิดก็เกิดอีก...และสถานการณ์เดิมๆก็เกิดอีก บอกตรงๆเหมือนคนบ้า(ขาดสติ) อะไรมากระทบใจ..ก็ฟุ่งปรี๊ด....แล้วอยู่ๆอารมณ์หงุดหงิดมันก็หายไปเอง....เป็นอย่างนี้แหละ...แต่เป็นทั้งวัน....จนไม่อยากให้ใครมายุ่งจนกว่าเราจะจัดการกับตัวเราเองได้.....เราไม่ชอบวิธีการที่ต้องจำใจทำแต่เอาความหงุดหงิดไปยัดใส่ในงานที่ต้องทำ....แบบ..ปั้งๆๆๆ...เพราะมันจะเพิ่มอารมณ์เป็นโมโห...รัศมีการทำลายล้างจะสูงขึ้น...และเราไม่อยากมาเสียใจภายหลังเพราะการกระทำของเรา....เราถึงหนีแทนการอยู่ที่....เดิมทีเราเป็นคนที่โทสะแรงมาก...เพราะเป็นคนเก็บกด....ดังนั้นเวลาระเบิดอารมณ์...ถ้าเป็นมดก็คงตายยกรัง....แต่เพราะเป็นเราในปัจจุบัน...เราถึงแค่หงุดหงิดเพราะเราเลือกที่จะจัดการกับอารมณ์ตัวเองแทนที่จะจัดการกับคนอื่น...เรารู้ตัวตัวว่าถ้าอยู่ก็สู้ไม่ไหว....และเพราะนิสัยเรานี้แหละที่เวลาทำอะไรต้องจัดการให้สิ้นซาก...ถ้าเรายังจัดการตัวเองไม่ได้เราก็ไม่อยากเจอใครเพราะถ้ายังกลับไปในสถานการณ์เดิมๆเราก็จะเป็นผู้แพ้ไปเรื่อยๆ หงุดหงิดไปเรื่อยๆๆเราคงไม่มีความสุขแน่


แบบนี้ต้องหมั่นฝึกสติค่ะ เพราะเท่าที่อ่านมาทั้งหมดก็พอสรุปได้ว่า
สติคุณน้องกำลังกระเจิงค่ะ คือไม่ค่อยอยู่กับล่อลกับลอย จะหยิบจับ
อะไร จะไปไหนมาไหนก็เลยทำให้หงุดหงิดไปหมด

วิธีการฝึกสติที่ดีที่สุดคือการเจริญภาวนาค่ะ ฝึกมองทุกสิ่งทุกอย่างที่
เกิดขึ้นด้วยความรู้เท่าทันอารมณ์ในสิ่งที่มากระทบ มองทุกอย่างใน
มุมบวก การมองมุมบวกไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนดีเป็นคนประเสริฐ
แต่มันคือการขัดเกลาจิตใจ ฝึกจิตใจของเราไม่ให้ถลำลึกเข้าไปในทาง
บาป ทางเสื่อม ไม่เบิกบาน เป็นทางอกุศล ถูกอารมณ์ครอบงำเหตุผล

เราฝึกเจริญสติ เจริญภาวนายังไม่พอค่ะ เราต้องฝึกอารมณ์ของเราด้วย
อาจเริ่มด้วยการดูหนังตลก การ์ตูนตลก ทอล์กโชว์ตลกๆ ที่เราชอบ
บุคคลที่เราประทับใจ หรือบางครั้งอาจไปเที่ยวธรรมชาติ ทะเล ภูเขา
น้ำตกที่เราชอบ เลือกไปตอนคนน้อยๆ จะได้สงบเงียบ ในช่วงที่ฝึกก็
หมั่นคอยตรวจสอบอารมณ์ตนเอง เรียนรู้และควบคุมมัน กดมันให้จม
หายไปเลย

เราต้องพยายามฝึกตั้งแต่ตอนที่เริ่มเป็นนี้เลยค่ะ เพราะหากปล่อยให้
อารมณ์เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอนานเข้าก็จะทำให้เราเสียบุคลิก กลาย
เป็นคนที่ไม่น่าคบหา เพราะรัศมีการทำลายร้างจะแผ่ขยายความรุนแรง
ของมันออกมาทางใบหน้า สีหน้า กิริยา ท่าทาง ไปไหนมาไหนก็จะไม่มี
ใครอยากพบปะพูกคุยด้วย จะติดต่อ ค้าขาย ทำมาหากินอะไรก็จะลำบาก
เป็นอุปสัคไปหมดถ้าหากว่าเราเสียบุคลิก

พยายามฝึกนะคะ พี่หญิงเป็นกำลังใจให้ค่ะ ช่วงนี้ก็ทำใจให้สบายๆ
จะทำอะไรก็อย่าร้อนรน ทำการทุกอย่างดวยความใจเย็น มองทุกคุณ
ของทุกสิ่งในด้านบวก ในด้านดี หัดชื่รชมคนอื่นบ้างเมื่อเขาทำสิ่งที่ดี
ถึงจะดีนิดหน่อยก็ควรชม ควรให้กำลังใจเขา เพราะการรู้จักฝึกชมคนอื่น
ให้กำลังใจคนอื่น ก็เป็นการฝึกยกระดับจิตใจของเราให้เปิดกว้าง มี
วิศัยทัศน์ มีบุคลิกที่น่าคบหา น่าเข้าใกล้ ขึ้นมาอีกระดับนึงนะคะ :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร