วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 01:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2013, 07:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โกโบริ กับ อ.มิตซูโอะ มีชีวิตคล้ายๆกัน คือ จากแดนอาทิตย์อุทัยมาทำการรบ ฝ่ายหนึ่งรบกับศึกภายนอก แต่อีกฝ่ายรบกับศึกภายใน ในขณะทำการรบๆ โกโบริก็พบกับศึกรักกับอังศุมาลิน อ.มิตซูโอะ ก็พบกับแอน

แต่ตอนจบของทั้งสองคู่ต่างกัน :b1:

คู่กรรม

http://www.youtube.com/watch?v=pR4IdyCmglE

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2013, 08:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โกโบริ กับ อ.มิตซูโอะ มีชีวิตคล้ายๆกัน คือ จากแดนอาทิตย์อุทัยมาทำการรบ ฝ่ายหนึ่งรบกับศึกภายนอก แต่อีกฝ่ายรบกับศึกภายใน ในขณะทำการรบๆ โกโบริก็พบกับศึกรักกับอังศุมาลิน อ.มิตซูโอะ ก็พบกับแอน

แต่ตอนจบของทั้งสองคู่ต่างกัน :b1:

คู่กรรม


เข้าใจเปรียบเทียบนะค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นท่านมิตซูโอะ หรือใคร หรือสรรพสัตว์ใดๆก็ตกอยู่ในวังวน แห่งสังสาราวัฎ
มันก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรม ในการตัดสินใจเลือกทางเดินของท่าน
เหตุการณ์พลิกผันของท่านในครั้งนี้...ก็ชี้ให้เห็นธรรมะ อย่างแท้จริง

"ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง"

เรื่องคู่ในอดีตชาติ ....เรื่องแรงอธิษฐาน
หากพบใครพบ ..ได้สัมผัส.. ได้ถูกทวงถามจากสัญญาเก่า
จึงจะรู้ด้วยตนเอง...ว่าหนักหนา...รุนแรงแค่ไหน
หากทนต่อสภาวะบีบคั้นทางด้านจิตใจ...ความรู้สึก
ความเรียกร้องต้องการของจิตใจไม่ได้ ...ยากนักจะก้าวข้ามไปได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2013, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ตัวอย่างความเลื่อมใสในตัวบุคคลหรือติดในบุคคล

ถาม : ข้อ ๑๓๓๗. เรื่อง “พระที่นับถือท่านสึกไป”

กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ เนื่องจากได้มีพระผู้ใหญ่ที่เพื่อนหนูรักและเคารพมากๆ ท่านได้สึกอย่างกะทันหัน คำสอนของท่านเผยแพร่กว้างขวางไปทั่ว ทำให้ลูกศิษย์และเพื่อนๆ มี ความตกใจและสะเทือนใจเป็นอย่างมาก อยากทราบว่าเราควรจะทำความเข้าใจอย่างไร วางใจอย่างไร บางคนหรือแม้แต่ตัวหนูเองพยายามหาเหตุผล แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไร

บางทีคิดว่าอาจจะยึดติดตัวบุคคลมากเกินไป พอท่านสึกไป (ซึ่งท่านอาจจะไปทำอย่างอื่นที่ดีต่อสังคม หรือเหตุผลอื่นใด) ในใจมันมีความเคลือบแคลงสงสัย เลยรู้สึกเสียใจ หรือรู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูกค่ะ และกลัวว่าเพื่อนบางคนอาจจะถอดใจไม่เข้าวัดอีกค่ะ จึงอยากให้ท่านเทศน์แนะนำสั่งสอน เพราะเวลาหลวงพ่อตอบคำถาม มักจะมีคำตอบที่ตรงมาที่ใจหนูเสมอ เพื่อนๆ เคยมาวัดหลวงพ่อค่ะ แต่จะพยายามชวนเขามาบ่อยๆ กราบขอบพระคุณมากค่ะ


พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต ตอบ : ชวนเขามาบ่อยๆ เดี๋ยวเราสึกอีกคน ยุ่งใหญ่เลย (หัวเราะ) พอเห็นเขาสึกๆ ชวนมาบ่อยๆ แล้วเราหายไปอีกคนนี่ยุ่งตายเลย นี้พูดถึงนะ เราพูดถึงสมัยพุทธกาล ในสมัยพุทธกาล เวลาพระบวชเข้ามาในพุทธศาสนา นี่บวช-สึก บวช-สึก ๗ หนกว่าจะสำเร็จได้ก็มี นี่บวชแล้วสึกไปก็มี แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ ในสมัยปัจจุบันนี้นะ ในสังคมไทยเราเท่านั้นที่พระบวชแล้วสึกได้ ในลังกาเขาบวชแล้วไม่สึกนะ ในเมืองจีนก็บวชแล้วห้ามสึก แม้แต่ในพม่าเขาบวชแล้วเขาไม่เคยสึกกัน เขาบวชเลย

ฉะนั้น วัฒนธรรมประเพณีเรายังไม่เข้าใจ นี่มันมีอยู่ทีหนึ่งนะที่พอเมืองจีนเปิดประเทศใหม่ๆ เราไปเผยแผ่กัน เมื่อก่อนจะมีพระ มีเณรจากเมืองจีนมาบิณฑบาตเมืองไทยเยอะแยะมากเลย เพราะเราเห็นว่าประเทศเขาแบบเพิ่งเปิดประเทศ มีแต่ความทุกข์เราก็ไปเอาเขามา พอเอาเด็กของเขาบวชเณรมา แล้วมาสึก กลับไปเขาอยู่บ้านเขาไม่ได้เลย เพราะอะไร? เพราะประเพณีเขาไม่มีอย่างนั้น แต่ประเพณีของเรานี่ประเพณีมันคนละประเพณี เราไม่เข้าใจตามประเพณีนั้น

ฉะนั้น เวลาประเพณีนะ ประเพณีหมายถึงว่าประเพณีท้องถิ่น พื้นถิ่นเขามีความเชื่ออย่างนั้น แต่ในพระไตรปิฎกมีอยู่แล้วบวชแล้วสึกก็มี นี่เวลาบวชแล้วสึกก็มี บวช-สึก บวช-สึกจนในสุตตันตปิฎก เวลาจะมาบวชอีก แหม จะเอาหัวเป็นที่รองมีดโกนหรือไง นี่เขาบอกไม่ต้อง บวชนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว บวชเลย เวลาบวชแล้วสึกไปนะ คำว่าบวชแล้วสึก ถ้านี้มันเป็นเรื่องของเก่า มันเป็นของเก่าของแก่ มันมีของมันอยู่อย่างนี้ เพียงแต่เราเองต่างหาก นี่พระผู้ใหญ่ท่านสึกออกไป ท่านเผยแพร่ธรรมไปกว้างขวางมาก

กว้างขวางมาก เรามีวุฒิภาวะอะไรเราถึงไปเชื่อว่าธรรมอันนั้นมันมีอยู่จริง ถ้ามีอยู่จริงนะ คำว่ามีอยู่จริงมันทำอย่างนี้ไม่ได้ มันไม่สึกไปหรอก แต่ถ้าสึกออกไปมันมีอยู่จริงหรือเปล่าล่ะ? ถ้ามันไม่มีอยู่จริงไง ของมันมีอยู่จริงมันยืนยันกับเราเองไง มันยืนยันกับเราเองว่าตั้งแต่เราทำมาเราเซ่อขนาดไหนไง เราเซ่อขนาดไหนหมายความว่าเราเอาหัวใจของเราไปไว้กับเขาไง ทำไมไม่เอาหัวใจไว้กับตัวของเราล่ะ? เราไปวัดไปวา เราไปศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมาในใจของเรา เรามีธรรมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้

“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย”

เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แต่ขณะนี้มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เราเองเป็นคนที่อ่อนด้อยเราก็พยายามฝึกปรือจะปฏิบัติธรรมกัน พอปฏิบัติธรรมกัน แต่เราไม่มีความเข้าใจ ในเมื่อหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา แล้วในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้น แล้วผู้มีการศึกษาในเรื่องบาลีต่างๆ เขาจะพูดอย่างนี้หมดแหละ บอกว่าเรามีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าเอาบุคคลเป็นที่พึ่งเลย อย่าเอาบุคคลเป็นที่พึ่งเลย

หลวงตาท่านก็ศึกษามา ท่านก็จบมหามาเหมือนกัน ท่านบอกว่าจบมหามา เวลาศึกษามันไม่สงสัยหรอก มันก็มีมรรค ผล นิพพานทั้งนั้นแหละ แต่เวลาตัวท่านเองจะปฏิบัติเองมันก็สงสัยขึ้นมา ทั้งๆ ที่ท่านก็เรียนมา นิพพานเรียนมาจบหมดแล้วแหละ ท่านเป็นมหา ท่านศึกษามาหมดแล้วแหละ แต่ลึกๆ มันว่านิพพานมีอยู่หรือเปล่า? นิพพานมีหรือเปล่า นี่ศึกษามามันก็เข้าใจทั้งนั้นแหละ นิพพานก็มีอยู่ ธรรมะมีทั้งนั้นแหละ แต่ถึงเอาจริงๆ เข้ามันก็มีความสงสัย มันก็มีความลังเลในหัวใจลึกๆ

ถ้ามีบุคคลคนหนึ่งชี้ทางให้เราได้ ชี้ทางให้เราเข้าใจได้ เราจะฝากชีวิตของเราไว้กับบุคคลคนนั้น นี่อธิษฐานเลยนะขอให้มีคนบอกเราให้ได้ ขอให้มีคนชี้ทางสว่างให้ได้ ขอให้มีคนเปิดทางเราให้ได้ พอเปิดทางให้ได้ นี่ท่านอธิษฐานตั้งแต่ออกปฏิบัติ แล้วเวลาไปเจอหลวงปู่มั่น เห็นไหม นี่นิพพานอยู่ที่ไหน นิพพานอยู่ที่ไหน นิพพานอยู่บนอากาศหรือ? อยู่บนภูเขาเลากา ไม่มีเลย นิพพานอยู่ที่กลางหัวใจ ทำให้ท่านเปิดท่านออกมา

เราจะบอกว่าเขาบอกว่า เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย แต่ทีนี้ถ้าครูบาอาจารย์ของเรา อย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านบอกแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ต่อหน้า สาธุนะ ท่านสาธุก่อน สาธุจะพูดเป็นคติ เป็นตัวอย่างให้พระที่อยู่กับท่านมั่นใจในตัวท่านไง ไม่ใช่อวดนะ ถ้าพูดอย่างนี้ไป ถ้าคนไม่มีหลักเขาก็ว่าอวดอีกแล้วนี่ ตีตนเสมอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตีตนใหญ่กว่า พูดกันไปไง แต่เวลาท่านจะยืนยันว่าธรรมะถ้าใครตรัสรู้แล้วมันก็เหมือนกัน ท่านบอกว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ถามเลย เพื่อให้คนมั่นใจว่าถ้าถามเรานี่เราจะตอบได้ไง

นี่ไงเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย แต่ถ้าธรรมในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ธรรมในหัวใจของครูบาอาจารย์เราท่านเป็นพระอรหันต์ นั่นคือธรรมแท้ๆ นั่นคือธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ นั่นคือธรรมที่ไม่มีมลทินเลย แล้วอย่างนั้นเป็นที่พึ่งของเราได้ไหม? นี่ถ้าอย่างนั้นเป็นที่พึ่งเราได้ แต่นี่พระที่นับถือท่านสึกไป นี่มันก็เป็นการยืนยันแล้วแหละว่ามันพึ่งได้ไหม? ถ้าพึ่งไม่ได้นะเราก็ต้องกลับมาพึ่งตัวเราเอง นี่เรามาพึ่งเรา ของมันของเก่าแก่ มันมีมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เราไม่ต้องมาวิตกกังวลหรอก เพียงแต่ว่ามันเป็นการบอกเราว่าเราเองไม่มีวุฒิภาวะต่างหาก

ถ้าเรามีวุฒิภาวะนะ เราศึกษานะ ใครปฏิบัติมาแล้ว นี่มีผู้ที่ปฏิบัติมาก อย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะอยู่กับสัญชัย สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้ว พอถึงไปถามครูบาอาจารย์ ไปถามสัญชัย สัญชัยบอกว่าจบแค่นี้ นี้พอจบแค่นี้ปั๊บ พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะท่านบอกว่ามันยังไม่ชำระล้างกิเลส นี่เวลาปฏิบัติไปมันวัดอาจารย์ได้เลยล่ะ? มันวัดได้เลยว่าสัญชัยไม่มี ไม่มีปั๊บก็คุยด้วยกัน ๒ คน บอกว่าเราอยู่กับสัญชัย สัญชัยสอนจนหมดไส้หมดพุงแล้ว แล้วมันแก้กิเลสเราไม่ได้

๒ คนนะพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะท่านปรึกษากัน เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของสัญชัย แล้วท่านมาปรึกษากัน เห็นไหม เราศึกษากับอาจารย์เรามาเต็มที่แล้ว แล้วอาจารย์ก็บอกเราหมดไส้หมดพุงแล้ว นี่แล้วอะไรจะสอนได้ แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะบอกนี่เราปฏิบัติจนเต็มที่แล้ว แต่เราก็ยังสงสัยกันอยู่ สัญญากันไว้ สัญญาระหว่าง ๒ คน ถ้าเราไปเจออาจารย์ที่ถูก เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งใดเป็นที่พึ่งเลย แต่มันไม่มีที่พึ่งแล้วแหละ มันไม่มีที่พึ่งนะ ถ้าใครไปเจอสิ่งใดนะ ใครไปเจอครูบาอาจารย์ห้ามปิดนะ ให้บอกกัน สัญญากันไว้ให้บอกกัน

พระสารีบุตรไปเจอพระอัสสชิบิณฑบาต นี่มันดูจากข้างนอก เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีบุคคลเป็นที่พึ่งเลย แต่เวลาไปเจอพระอัสสชิ ทำไมท่านเดินของท่านสงบเสงี่ยมขนาดนั้น ทำไมเดินด้วยสติปัญญาอย่างนั้น ท่านเหยียบย่างไป ท่านมีความรู้พร้อมขนาดนั้น มันซาบซึ้งใจเพราะคนมีปัญญา คนมีปัญญามันมองคนออกนะ ไม่ใช่คนเซ่อๆ เพราะว่ามองคนออก ตามพระอัสสชิไป พอพระอัสสชิท่านฉันอาหารเสร็จแล้วถึงได้ไปถามพระอัสสชิ พระอัสสชิท่านเป็นพระอรหันต์ท่านก็ยังถ่อมตน เราเป็นผู้บวชใหม่ พระอรหันต์นะเป็นผู้บวชใหม่

ของมีจริงเขาอ่อนน้อมถ่อมตน เขาเก็บไว้ในใจ ใครมีทรัพย์สมบัติเขาซ่อนไว้ เขาไม่มาอวดมาโชว์กันหรอก ไอ้ที่อวดที่โชว์นั่นน่ะไอ้เศรษฐีเงินกู้ ทั้งกู้หนี้ยืมสิน ไอ้ไฮซ้อมันพยายามจะเอาแต่เพชรนิลจินดามาคล้องคอมัน ไอ้ของจริงๆ เขาซ่อนไว้ เขาไม่มาใส่หรอก เขาใส่ของเก๊กันเป็นของจริง คนมีฐานะเขามีแต่ของปลอม เขาใส่มานี่ทุกคนบอกของจริงทั้งนั้นแหละ แต่ไอ้พวกที่ไม่มีนะมันไปเอาของจริงมาใส่ มันไปโกงเขามา

นี่ก็เหมือนกัน ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนพระอัสสชิ ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ฉะนั้น พระสารีบุตรท่านก็มีปัญญานะ ขอให้แสดงธรรมมาเถอะ เรื่องที่จะแทงทะลุตามธรรมเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าเอง เป็นหน้าที่ของคนฟังเอง พอหน้าที่ของพระสารีบุตรนะ พระอัสสชิถึงได้แสดงธรรมไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ชำระที่เหตุนั้น เยธัมมา พอเข้าใจนะ พอฟังเทศน์นะปัญญามีอยู่แล้วไง มันไม่มีใครเปิดไง

นี่ไม่มีใครเปิด พอมีธรรม พอเปิดพระสารีบุตรแทงทะลุเลย เป็นพระโสดาบันเลย มีดวงตาเห็นธรรมขณะที่ฟังธรรมแล้วปัญญามันหมุน มันไม่ใช่ฟังแล้วเป็นพระโสดาบันอะไรหรอก มันเป็นเพราะมรรคมันเดิน เป็นเพราะว่าตัวเองมันอัดอั้นตันใจอยู่แล้ว มันอยากจะออก โคมันจะออกจากคอก แล้วไม่มีใครเปิดประตูให้ พอพระอัสสชิแย้มเท่านั้นแหละ โอ้โฮ พระสารีบุตรแทงทะลุเลย เป็นพระโสดาบันขึ้นมานะ เป็นพระโสดาบันไปเล่าให้พระโมคคัลลานะฟัง เป็นพระโสดาบันด้วยกัน

ฉะนั้น ๒ องค์ด้วยกันก็จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เพราะศึกษากับสัญชัยมามันเต็มที่ ไม่เห็นได้อะไรเลย พอจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คนกตัญญูกตเวที คนที่ซึ้งบุญซึ้งคุณ ทั้งๆ ที่หลอกเรานะ ทั้งๆ ที่สอนมาให้ผิดๆ นั่นแหละ แต่เวลาจะไปก็ยังไปหาสัญชัยนะ เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน สัญชัยไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด เพราะท่านไม่ใช่พระอรหันต์ นี่สัญชัยบอกกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเลย

“ในโลกนี้มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก”

ก็บอก “ในโลกนี้มีคนโง่มาก” นี่พระสารีบุตรก็ตอบ

“อย่างนั้นเราจะอยู่กับคนโง่ เธอจงไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด เพราะลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่ผู้ฉลาด เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา คนส่วนน้อย คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเข้าแทงทะลุถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เราจะอยู่กับคนโง่ว่ะ คนโง่มันหลอกได้ง่าย”

สัญชัยไม่ไป แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่ไงเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย คืออย่ามีบุคคลเป็นที่พึ่งเลยไง อย่ามีพระที่จะสึกที่จะอะไรเป็นที่พึ่งเลย พอสึกแล้วมันก็เจ็บช้ำ สึกแล้วก็เจ็บปวด แต่นั้นมันก็เป็นเวรเป็นกรรมของคน ในเมื่อจิตใจของท่านเป็นได้แค่นั้น มันก็แค่นั้น

เราไม่ได้ซ้ำเติมนะ เราไม่เคยซ้ำเติมใคร เราก็สังเวช เราก็สังเวชมาก ทุกคนก็อยากจะหาทางออกทั้งนั้นแหละ แต่ในเมื่อท่านได้แค่นั้น ท่านสุดอำนาจวาสนาได้แค่นั้น ก็จบแค่นั้น ก็ดีของท่าน ท่านยังเป็นสุภาพบุรุษ ยังทำให้เห็นได้จริงๆ ยังทำให้เห็น ฉะนั้น ของเราก็รักษาใจของเรา เราจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย ฉะนั้น อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย เราก็ดูแลใจของเรา เห็นไหม

ฉะนั้น อย่างที่ว่า นี่ถ้ากลัวเขาถอดใจเขาจะไม่เข้าวัด เขาจะไม่เข้าวัดอีก กลัวเพื่อนจะไม่เข้าวัด เวลาหลวงตาท่านเขียนป้ายไว้ที่หน้าวัดของท่านนะ ท่านบอกว่า

“ที่นี่เป็นสำนักประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ที่เที่ยวเล่น บุคคลที่ไม่สนใจในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ควรเข้ามาที่นี่”

นี่เวลาหลวงตาท่านเขียนไว้ที่หน้าวัดท่านเลย ที่นี่เป็นที่ประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ที่เที่ยวเล่น ถ้าใครจะมาเที่ยวเล่นไม่สมควรเข้ามาที่วัดป่าบ้านตาด นี่ก็เหมือนกัน เรากลัวเขาไม่เข้าวัด กลัวเขาไม่เข้าวัด เข้าวัดอะไร? จะเข้าวัดหรือเข้าตลาด ถ้าไปตลาดสิ เดี๋ยวนี้เขาเอาธรรมะไปศูนย์การค้ากันหมดแล้ว ไปตากแอร์กัน ไปอยู่ที่นั่นมันยิ่งสุขสบายไง คำว่าไปวัดๆ เราบอกเราห่วงว่าคนจะถอดใจไม่เข้าวัด ถ้าวัดที่เขามีคุณธรรม วัดที่เขาประพฤติปฏิบัติเขาต้องการความสงบ เขาต้องการความสงบ ต้องการความสงัด ต้องเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าอย่างนั้นเราไปนี่เราไปวัดใจเรา

หลวงปู่ฝั้นท่านสอน เห็นไหม ไปวัดคือวัดใจ ไปแล้วมันอึดอัดขัดข้องไหม? ไปแล้วในวัดมันมีอะไรไหม? นี่พอไปวัดแล้วก็ต้อง แหม มีการต้อนรับขับสู้ โอ๋ย ไปโอเรียนเต็ลสิ โอเรียนเต็ลมันเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งของประเทศไทย ไปเลยที่นั่นเขาต้อนรับอย่างดี ไปอยู่ปีหนึ่งเดี๋ยวเป็นพระอรหันต์กันขึ้นมา เขาไปวัดเขาก็ไปเพื่อขัดเกลากิเลส คำว่าขัดเกลามันคืออะไร? คำว่าขัดเกลา ธุดงควัตรคือเครื่องขัดเกลากิเลส ธุดงควัตร ธุดงค์ ๑๓ มันเป็นเครื่องมือ มันเป็นการชำระล้างกิเลส แล้วนี่อยู่ในที่ว่าง อยู่ในเรือนว่างมันเป็นธุดงควัตรไหม? อยู่ในเรือนว่าง ร้านนี่อยู่ในเรือนว่าง เปิดแล้วโล่งไปหมดเลย อยู่ในโอภายิกังคะ

นี่วัดมันเป็นอย่างนี้ วัดมันเป็นที่ขัดเกลากิเลส ถ้าเขาไปวัดอย่างนั้น ถ้าเขาเต็มใจไปเขาก็ไป ถ้าเขาจะไปตลาด เห็นไหม เขาไปตลาดแล้วเขาบอกที่นั่นเป็นวัด ก็ไม่ควรไป หลวงตาท่านเขียนไว้แล้ว

“วัดป่าบ้านตาดเป็นวัดสำนักปฏิบัติ ไม่ใช่ที่เที่ยวเล่นของบุคคล ถ้ามาแล้วกระทบกระเทือนกันไม่ควรมา ไม่ควร”

นี่ก็เหมือนกัน เราห่วงเพื่อนจะไม่เข้าวัด วัดอะไรล่ะ? ถ้าวัดทั่วไป วัดทั่วไปเราก็ไปสิ เราไปแล้วมันก็ตลาดทั้งนั้นแหละ ถ้าเราไปตลาด แล้วเวลาเราเจ็บช้ำน้ำใจขึ้นมาเราก็มาคิด แต่เวลาเราจะเอาจริงขึ้นมาเราเลือกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเลือกไม่ได้ เรารู้ไม่ได้ไง เรารู้ไม่ได้ว่าอะไรเป็นพิษหรือไม่เป็นพิษ ถ้าอะไรเป็นพิษเป็นภัย ของแสลงเราก็ไม่เอามากินทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราทำกันนี่ทำเพื่อความแสลง เพื่อของแสลง เพื่ออะไร? แล้วบอกว่าจะปฏิบัติ ถ้าห่วงอย่างนั้นนะมันไม่จำเป็น มันไม่จำเป็นที่จะต้องว่าเพื่อนจะเข้าวัดหรือไม่เข้าวัด

คำว่าเข้าวัด วัดก็คือวัด วัดก็คือวัดนะ ทีนี้ในสมัยปัจจุบันนี้หลวงตาท่านพูดอยู่ มันสำคัญที่หัวหน้า ถ้าหัวหน้าที่ดีเขาก็จะรักษาข้อวัตรคือกติกา รักษากติกาอันนั้นไว้ให้ผู้ที่เข้ามาอยู่วัดอยู่วา นี่เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่ไม่รู้หรอก ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไร แม้แต่เราเองเราก็ไม่รู้นะ ตอนไปอยู่กับหลวงตาไม่รู้หรอก นี่เวลาท่านบอกท่านทำอย่างนั้นๆ มันมองว่าเป็นของเล็กน้อย เป็นของเล็กน้อย แต่เวลาออกจากท่านมาแล้ว โอ๋ย มันซาบซึ้งมาก ทำไมพระต้องรู้จัก ทำไมเข้าเวรแล้วจะต้องรู้ไปหมดทุกอย่างเลย แต่พอมันแยกออกจากกันไปแล้วมันย้อนกลับไป อ๋อ มันทำให้คุ้นเคยกัน มันเป็นประโยชน์หมดเลย

ถ้ามันเป็นประโยชน์นะ แต่เวลาครูสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์จะบอกว่าไม่รู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไร แต่พอเวลาโตขึ้นมาแล้วมันซาบซึ้งทั้งนั้นแหละ ถ้าซาบซึ้งอย่างนั้น วัดอย่างนั้นจิตใจที่สูงกว่า จะดึงจิตใจที่ต่ำกว่าดึงขึ้นมา แต่จิตใจที่มันเสมอกันมันก็เหมือนกับไปสัมมนากัน นี่ไปออกค่าย เดี๋ยวนี้เขาธุดงค์กัน ธุดงค์เป็นเหมือนกับลูกเสือชาวบ้านเลย จุดกองไฟ กลางคืนมันจะเล่นกองไฟกัน ธุดงค์อย่างนั้นหรือ? กลางคืนนะมันจะเล่นรอบกองไฟกันแล้ว เดี๋ยวนี้พระธุดงค์ แล้วมันไปธุดงค์อย่างนั้นใช่ไหม?

เวลาธุดงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไปแบบหน่อแรด อันดับหนึ่งไปองค์เดียว อันดับสอง ๒ ๓ องค์นี่ต่ำมาเรื่อยๆ ถ้าไปองค์เดียวนั่นแหละไปอย่างหน่อแรด ไปองค์เดียวนะมันแหยงไปหมดเลย กลัวผี กลัวสาง กลัวทุกอย่าง ไปอยู่ป่าก็กลัวเสือ กลัวช้าง กลัวม้า แต่ไป ๒ องค์อุ่นใจเนาะมีเพื่อน มีเพื่อน เห็นไหม มันต่ำลงเรื่อยๆ ทีนี้ต่อสู้กับกิเลสมันมีวิธีการของมัน

ฉะนั้น ที่ว่ากลัวว่าเพื่อนจะไม่เข้าวัด นี้มันเรื่องของเขานะ ถ้าเรื่องของเขา แบบว่าถ้าการเวียนตายเวียนเกิดเราเจ็บช้ำน้ำใจมามากกว่านี้ ฉะนั้น สิ่งที่มาเจอมันเจอเพราะสังคมเราสังคมพุทธไง มันของเก่า การบวชการสึกมันเป็นของเก่า ของที่มีมาดั้งเดิม ถ้าเป็นของเก่ามันมีอยู่แล้ว มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสำหรับเรา แต่เวลาพรรคพวกของเรา เพื่อนฝูงของเราจากเราไปเรา เสียใจไหม? เสียใจ นี่เพื่อนรักของเรา คนที่เรารู้จักจากกันไป เสียใจไหม? เสียใจ

นี่ธรรมดา คนรู้จักกัน พลัดพรากจากกันมันก็มีอารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรื่องธรรมดาแล้ว ถ้าเรามีสติปัญญาเรามอง เราใช้ปัญญา ปัญญาเราแยกแยะขึ้นไปมันก็วางสิ่งนั้นได้ เห็นไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สรรพสิ่งนี้มีการพลัดพรากจากกัน แล้วเราจะนอนใจได้อย่างไร? ดูสิท่านอยู่อย่างนั้นท่านยังต้องพลัดพรากออกมา แล้วเราจะแสวงหาของเรา เราจะทำของเราอย่างใด?

ถ้าทำอย่างใด นี่เราย้อนกลับมาที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่ไปย้อนที่ตัวบุคคล ถ้าตัวบุคคลนี้ทำดีเราก็ต้องการสิ่งนั้น แต่ถ้าตัวบุคคลเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นเวรกรรมของสัตว์ แล้วเราพิจารณาของเราไป มันของเก่า มันเรื่องของเก่าแก่ มันเป็นธรรม เป็นคติเตือนใจ คติเตือนใจว่าอย่าประมาท ถ้าประมาทไป เห็นไหม ประมาทไป ถึงเวลาแล้วมันก็เสียหายไปเป็นเรื่องธรรมดา นี่พูดถึงว่าของเก่าเนาะ จบ


เว็บไซต์พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=3569

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2013, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ขอยินดีกับท่านอาจารย์ด้วย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เรื่องหนึ่งสำหรับผม ^ ^

ทุกคนก็ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่อยากทุกข์ สัตว์ก็ด้วย ก็เห็นจะมีแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ช่วยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเห็นว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา ปล่อยวางขันธ์ 5 ไป โดยเฉพาะ สังขารขันธ์ อยู่กับความจริงคือเดี๋ยวนี้ แล้วก็ นัตถิอัตตะสมังเปมัง

นัตถิอัตตะสมังเปมัง บทนี้ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ตัว แต่เพื่อเข้าใจตัวเองว่าไม่อยากทุกข์ แล้วก็จะเข้าใจคนอื่นด้วยว่าเขาก็ไม่อยากทุกข์เช่นกัน คือเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีแต่การทำความดีต่อกันและกัน

เพราะจากประสบการณ์ในครั้งนี้ก็ทำให้ผมทุกข์อยู่ สับสน แต่ก็มาได้หลักธรรม 2 อันที่กล่าวก็พอบรรเทาทุกข์ไปได้ เพราะว่าถ้าเราทุกข์อยู่ เราก็ให้ความสุขแก่คนอื่นไม่ได้เช่นกัน ผมคิดว่าความจริงถ้าไม่จำเป็นแล้วไม่ควรยึดติดในสิ่งใด ถ้าทำได้นะ เพราะว่าไม่มีอะไรจะอยู่กับเราไปได้ตลอดเลย

ก็ถ้ามีชีวิตอยู่เราก็ทำแต่ความดีงาม เป็นทุนแก่เราไป เมื่อเรามีทุน เราไม่ทุกข์แล้ว ก็จะสามารถช่วยคนอื่น สัตว์อื่นให้พ้นทุกข์ได้เช่นกัน : )

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2013, 14:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สัตว์โลก....เมื่อทุกข์ใจก็จะวิ่งหาสุขเวทนามากลบทุกข์...
ผู้มีปัญญา...จะใช้ทุกข์เป็นบันไดเพื่อหาทางดับทุกข์ที่ต้นเหตุ....

สาธุด้วยนะครับ....ที่ใช้เหตุนี้เป็นบทเรียน....

:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2013, 18:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


หัวหอม เขียน:
ก็ขอยินดีกับท่านอาจารย์ด้วย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เรื่องหนึ่งสำหรับผม ^ ^


:b4: :b4: :b4:

ท่านใช้คำว่า "คู่บารมี" น่ะ ...

เอกอนได้ฟังล่ะ อมยิ้มแก้มปริ ... เรย

"อัศจรรย์" สิ่

เป็นเรื่อง.... อัศจรรย์จริง ๆ .... ที่ในยุคนี้ยังมีโอกาสได้เจอ...

:b20: :b20: :b20:

คนที่อนุโมทนากับท่านทั้งสองในชาตินี้ ...
ในวันข้างหน้า...ท่านจะไปไหน...เมื่อไร
ถ้าตราบที่เรายังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ...
รับรองว่า กระแสบารมีของท่านถึงเราแน่

นี่เป็นความเชื่อส่วนตัวของเอกอนน๊าาาาา...

:b4: :b4: :b4:

ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ที่เคยได้รับความเมตตาจากท่าน
และเชื่อในความเมตตาที่ท่านมีให้...เป็นเมตตาที่ออกมาจากใจของท่านอย่างบริสุทธิ์จริงใจ...
ก็จงเชื่อใน...ความเมตตาอันบริสุทธิ์และจริงใจ...นั้น

:b1: :b16: :b16: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 09:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


1.พระพุทธเจ้ากล่าวว่า พระอริยะจะไม่ลดฐานะตนเอง 2.พระพุทธเจ้าบอกว่าให้สะสมสุตตะมากๆ การสะสมสุตตะมากเปรียบเหมือนการสะสมอาวุธ ยามออกศึกจะได้มีอาวุธไว้ต่อสู้ศัตรู 3.พญามารมีฤทธิ์มากเหยียบถึงพรหมโลก ให้ระวังกันหน่อยนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


แหะๆ คุณเอกอนนี่คิดดีจริงๆเลยครับ ดีแล้วครับ จะได้มีความสุขได้ ส่วนผมเดี๋ยวนี้วิธีการแก้ทุกข์ง่ายนิดเดียว ทุกข์ใจมันมาจากความคิด ผมก็เลยออกจากความคิดอันนั้นมาอยู่กับความรู้สึกสบาย หรือดูความรู้สึกสบาย แล้วก็หายใจเข้าลึกๆหน่อย เท่านี้ก็สบายแล้วครับ แต่บางทีพักผ่อนน้อยมันจะหายใจเข้าได้ไม่ค่อยลึก ถ้าไปฝืนมันรู้สึกจะเหนื่อย ^ ^ ก็เลยหายใจเข้าไม่ต้องลึกก็ได้ เอาให้มันรู้สึกสบายเป็นพอ
^ ^

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

อดีตพระชาวญี่ปุ่น ลาสิกขา

ตอนนี้มีข่าวร้อนสั่นสะเทือนวงการศาสนา กรณีอดีตพระชาวญี่ปุ่นได้ลาสิกขาไปท่ามกลางความพิสวงงงงวยของบรรดาลูกศิษย์ มีโยมโทรศัพท์มาสอบถามเราว่า รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม? เราก็ตอบไปว่า ไม่รู้อะไร และไม่เห็นจำเป็นต้องรู้อะไร สึกก็คือสึก จะสึกแบบไหน? ด้วยเหตุอะไร? มันก็ไม่มีอะไรต่างกัน สึกแล้วก็แล้วกันไป ไม่จำเป็นต้องไปคุ้ยแคะแกะเกาให้มันเป็นแผลถลอกปอกเปิกไปอีกก็ได้

การลาสิกขาของพระก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าเป็นการลาสิกขาโดยถูกต้องตามธรรมวินัย ก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เมื่อสิ้นบุญในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็เป็นอันอยู่ไม่ได้เองอยู่แล้ว เพราะการบวชในพระพุทธศาสนาย่อมเป็นเรื่องของบุญวาสนาบารมีที่สั่งสมมาโดยเฉพาะ อันนี้ไม่รวมถึงเหล่าอลัชชี ที่บวชอาศัยผ้าเหลืองหาอยู่หากินไปวันหนึ่งๆ พวกกเฬวรากเหล่านี้ ไม่ต้องอาศัยบุญญาบารมีใดๆ ก็อยู่ได้ เพราะไม่ได้บวชเพื่อประพฤติดีปฏิบัติชอบใดๆ


เฉพาะท่านที่บวชอุทิศแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อความพ้นทุกข์นี้เท่านั้น ต้องอาศัยบุญวาสนาบารมีที่สั่งสมมาแล้วอย่างมากมาย จึงจะอยู่ได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา และสุดท้ายคือรอดพ้นจากปากเสือประเภทมีเขาอยู่ที่หน้าอก อันนี้ถือว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อพรหมจรรย์อย่างยิ่งยวดทีเดียว แม้พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสห้ามอย่างเฉียบขาด และบัญญัติพระวินัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน สำหรับท่านที่ปฏิบัติโดยเคารพในพระวินัย ไม่ก้าวล่วงสิกขาบทแม้เพียงถือว่าเล็กน้อย ผู้เช่นนั้นย่อมปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง หากจะมีอันเป็นไปอย่างหนึ่งอย่างใด นั่นเป็นเพราะบุญวาสนาบารมีของท่านเอง

สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ฝึกตนเองดีแล้ว จึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า" ถ้าตนเองยังฝึกสอนตนเองให้พ้นทุกข์ไม่ได้ จะไปสอนคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้อย่างไร เห็นมีแต่จะสร้างความหายนะให้ทั้งกับตนเองและผู้อื่นโดยถ่ายเดียวเท่านั้น

พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาพระมหาบัว เทศน์สอนลูกศิษย์อย่างดุเดือดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ห้ามไม่ให้พระไปประจบประแจงญาติโยม หรือไปเกี่ยวข้องกับญาติโยมในลักษณะที่ไม่บังควรโดยเด็ดขาด โทษถึงขั้นไล่ออกจากวัดเลยทีเดียว และถ้าฝึกตนเองยังไม่ดีแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะเทศน์สอนคนอื่น พอนานไปก็เลยเคยชินกับการเทศน์สอนคนอื่น สุดท้ายเลยลืมเทศน์สอนตัวเอง ผลออกมามันก็จะเป็นอะไรที่ทำให้ผู้คนผิดคาดอยู่เสมอๆ

สมัยนี้มีเยอะมาก บวชมายังไม่ทันไร ธรรมะก็รู้งูๆ ปลาๆ แต่วางท่าสอนคนยังกับปรมาจารย์ใหญ่ สอนธรรมะแบบสูงปรี๊ด แต่การปฏิบัติมันอยู่ต่ำๆ เวลาตกลงมามันก็เลยเจ็บ!!! อันนี้ไม่ได้ว่าใครล่ะนะ พูดไว้เป็นกลางๆ ให้คิดก็แล้วกัน "มีมีดต้องรู้จักใช้ ถ้าเอามีดไปฝนหิน มันจะคมอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาแต่จะเอาไปฟันหิน วันหนึ่ง มีดนั้นก็จะหมดสภาพไปเอง" มันเหมือนคมอยู่นอกฝัก มันก็อวดประกายเกินไป ต้องรู้จักเก็บงำประกายเข้าไว้ในฝักเสียบ้าง แต่มิได้หมายความว่า จะต้องอยู่ในฝักตลอดไปไม่เอาออกมาใช้เลย ครั้นถ้าเก็บอยู่ในฝักนานเกินไป มันก็จะเกิดสนิมกัดกินให้ผุกร่อนได้อีก

ดังนั้น ผู้มีปัญญาย่อมต้องรู้จักประมาณในการใช้มีดอย่างฉลาด ว่าจะใช้มีดอย่างไร จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งต่อตนเอง และผู้อื่นตามควรแก่ฐานะของตนๆ


อุปมาเหมือนหญิงสาวผู้มีความงามอันเลอโฉม เอาแต่จะแต่งตัวอวดความงามของตนในทุกที่ทุกสถานการณ์ ไม่เลือกกาลเทศะบ้างเลย ความงามนั้นอาจสร้างภัยให้กับผู้หญิงคนนั้นได้ในวันหนึ่ง แต่ถ้ารู้จักเก็บงำประกายไว้บ้าง ควรแต่งในที่ที่ควรแต่ง ควรอวดในที่ที่ควรอวด ควรธรรมดาในที่ที่ควรธรรมดา ควรซ่อมซ่อในทีที่ควรซอมซ่อ ผู้หญิงคนนั้นก็จะครองความงามไว้ได้ตลอดไป ทั้งดูมีคุณค่าอย่างลึกล้ำ แม้รูปกายจะเสื่อมโทรมไปตามสภาพ แต่ถ้าใจมีธรรมก็ยังบันดาลให้ดูงามอยู่ได้นั่นเอง เพราะการจะทำได้ดังกล่าวเป็นเรื่องของธรรมโดยแท้

อันสุภาษิตบอกว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง มันก็จริงเป็นบางอย่างนะ คนที่จะแต่งแล้วงาม มันก็ต้องมีความงามเป็นต้นทุนอยู่ก่อน ใช่ว่ามันจะงามเพราะแต่งไปเสียทุกคนก็หามิได้ ไม่เชื่อก็เอาคนปากแหว่งจมูกแหว่งมาแต่งดูสิ แต่งจนตายมันก็ไม่งาม มิหนำซ้ำ คนจะด่าว่า ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเข้าให้อีก

"ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะงามยิ่งไปกว่าธรรมงาม จงตั้งหน้าตั้งตาแต่งใจให้งามด้วย "ธรรมอันงาม" อย่าเอาแต่แต่งกายให้งามแต่เพียงอย่างเดียว แล้วจะอยู่ในโลกนี้ได้ด้วยความสงบ ผาสุก และเย็นใจ"

พระสึกเราไม่ตื่นเต้น แต่รู้สึกว่า พระชาวต่างประเทศ หากเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ย่อมเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่ายิ่ง เพราะอาจทำประโยชน์ต่อชาวต่างประเทศได้อย่างมากมายยิ่งกว่าพระชาวไทย ซึ่งมีอุปสรรคด้านการสื่อสาร ย่อมสู้บุคคลที่ใช้ภาษาเดียวกันไม่ได้

การลาสิกขาไปก็ถือว่า เป็นกรรมของแต่ละคนที่มีสิทธิ์จะเลือกทำได้ เหตุผลในการสึกของพระย่อมมีหลายประการ ถ้าไม่รู้จริงก็อย่าไปก้าวล่วงวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใดเลย ปล่อยให้ความจริงมันเปิดเผยตัวเองเถิดนะ ท่านบวชมาในศาสนาก็ยาวนาน สิ่งที่เคยทำก็เป็นคุณแก่ศาสนาอยู่มิใช่น้อย ก็ขอเอาใจช่วย ให้ท่านไปดี ไปดี และไปดี...



เว็บไซต์วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
http://www.doisaengdham.org/%E0%B8%AA%E ... B8%B2.html

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 14:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
1.พระพุทธเจ้ากล่าวว่า พระอริยะจะไม่ลดฐานะตนเอง



มีคนบางจำพวก...ไม่ยอมเข้าอริยะ...แต่มีคุณค่าที่แม้อริยะยังเคารพ...อิอิ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 18:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


สาวิกาน้อย เขียน:
อดีตพระชาวญี่ปุ่น ลาสิกขา

ตอนนี้มีข่าวร้อนสั่นสะเทือนวงการศาสนา กรณีอดีตพระชาวญี่ปุ่นได้ลาสิกขาไปท่ามกลางความพิสวงงงงวยของบรรดาลูกศิษย์ มีโยมโทรศัพท์มาสอบถามเราว่า รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม? เราก็ตอบไปว่า ไม่รู้อะไร และไม่เห็นจำเป็นต้องรู้อะไร สึกก็คือสึก จะสึกแบบไหน? ด้วยเหตุอะไร? มันก็ไม่มีอะไรต่างกัน สึกแล้วก็แล้วกันไป ไม่จำเป็นต้องไปคุ้ยแคะแกะเกาให้มันเป็นแผลถลอกปอกเปิกไปอีกก็ได้

การลาสิกขาของพระก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าเป็นการลาสิกขาโดยถูกต้องตามธรรมวินัย ก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เมื่อสิ้นบุญในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็เป็นอันอยู่ไม่ได้เองอยู่แล้ว เพราะการบวชในพระพุทธศาสนาย่อมเป็นเรื่องของบุญวาสนาบารมีที่สั่งสมมาโดยเฉพาะ อันนี้ไม่รวมถึงเหล่าอลัชชี ที่บวชอาศัยผ้าเหลืองหาอยู่หากินไปวันหนึ่งๆ พวกกเฬวรากเหล่านี้ ไม่ต้องอาศัยบุญญาบารมีใดๆ ก็อยู่ได้ เพราะไม่ได้บวชเพื่อประพฤติดีปฏิบัติชอบใดๆ


เฉพาะท่านที่บวชอุทิศแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญเพื่อความพ้นทุกข์นี้เท่านั้น ต้องอาศัยบุญวาสนาบารมีที่สั่งสมมาแล้วอย่างมากมาย จึงจะอยู่ได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา และสุดท้ายคือรอดพ้นจากปากเสือประเภทมีเขาอยู่ที่หน้าอก อันนี้ถือว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อพรหมจรรย์อย่างยิ่งยวดทีเดียว แม้พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสห้ามอย่างเฉียบขาด และบัญญัติพระวินัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน สำหรับท่านที่ปฏิบัติโดยเคารพในพระวินัย ไม่ก้าวล่วงสิกขาบทแม้เพียงถือว่าเล็กน้อย ผู้เช่นนั้นย่อมปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง หากจะมีอันเป็นไปอย่างหนึ่งอย่างใด นั่นเป็นเพราะบุญวาสนาบารมีของท่านเอง

สมดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ฝึกตนเองดีแล้ว จึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า" ถ้าตนเองยังฝึกสอนตนเองให้พ้นทุกข์ไม่ได้ จะไปสอนคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้อย่างไร เห็นมีแต่จะสร้างความหายนะให้ทั้งกับตนเองและผู้อื่นโดยถ่ายเดียวเท่านั้น

พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาพระมหาบัว เทศน์สอนลูกศิษย์อย่างดุเดือดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ห้ามไม่ให้พระไปประจบประแจงญาติโยม หรือไปเกี่ยวข้องกับญาติโยมในลักษณะที่ไม่บังควรโดยเด็ดขาด โทษถึงขั้นไล่ออกจากวัดเลยทีเดียว และถ้าฝึกตนเองยังไม่ดีแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะเทศน์สอนคนอื่น พอนานไปก็เลยเคยชินกับการเทศน์สอนคนอื่น สุดท้ายเลยลืมเทศน์สอนตัวเอง ผลออกมามันก็จะเป็นอะไรที่ทำให้ผู้คนผิดคาดอยู่เสมอๆ

สมัยนี้มีเยอะมาก บวชมายังไม่ทันไร ธรรมะก็รู้งูๆ ปลาๆ แต่วางท่าสอนคนยังกับปรมาจารย์ใหญ่ สอนธรรมะแบบสูงปรี๊ด แต่การปฏิบัติมันอยู่ต่ำๆ เวลาตกลงมามันก็เลยเจ็บ!!! อันนี้ไม่ได้ว่าใครล่ะนะ พูดไว้เป็นกลางๆ ให้คิดก็แล้วกัน "มีมีดต้องรู้จักใช้ ถ้าเอามีดไปฝนหิน มันจะคมอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาแต่จะเอาไปฟันหิน วันหนึ่ง มีดนั้นก็จะหมดสภาพไปเอง" มันเหมือนคมอยู่นอกฝัก มันก็อวดประกายเกินไป ต้องรู้จักเก็บงำประกายเข้าไว้ในฝักเสียบ้าง แต่มิได้หมายความว่า จะต้องอยู่ในฝักตลอดไปไม่เอาออกมาใช้เลย ครั้นถ้าเก็บอยู่ในฝักนานเกินไป มันก็จะเกิดสนิมกัดกินให้ผุกร่อนได้อีก

ดังนั้น ผู้มีปัญญาย่อมต้องรู้จักประมาณในการใช้มีดอย่างฉลาด ว่าจะใช้มีดอย่างไร จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งต่อตนเอง และผู้อื่นตามควรแก่ฐานะของตนๆ


อุปมาเหมือนหญิงสาวผู้มีความงามอันเลอโฉม เอาแต่จะแต่งตัวอวดความงามของตนในทุกที่ทุกสถานการณ์ ไม่เลือกกาลเทศะบ้างเลย ความงามนั้นอาจสร้างภัยให้กับผู้หญิงคนนั้นได้ในวันหนึ่ง แต่ถ้ารู้จักเก็บงำประกายไว้บ้าง ควรแต่งในที่ที่ควรแต่ง ควรอวดในที่ที่ควรอวด ควรธรรมดาในที่ที่ควรธรรมดา ควรซ่อมซ่อในทีที่ควรซอมซ่อ ผู้หญิงคนนั้นก็จะครองความงามไว้ได้ตลอดไป ทั้งดูมีคุณค่าอย่างลึกล้ำ แม้รูปกายจะเสื่อมโทรมไปตามสภาพ แต่ถ้าใจมีธรรมก็ยังบันดาลให้ดูงามอยู่ได้นั่นเอง เพราะการจะทำได้ดังกล่าวเป็นเรื่องของธรรมโดยแท้

อันสุภาษิตบอกว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง มันก็จริงเป็นบางอย่างนะ คนที่จะแต่งแล้วงาม มันก็ต้องมีความงามเป็นต้นทุนอยู่ก่อน ใช่ว่ามันจะงามเพราะแต่งไปเสียทุกคนก็หามิได้ ไม่เชื่อก็เอาคนปากแหว่งจมูกแหว่งมาแต่งดูสิ แต่งจนตายมันก็ไม่งาม มิหนำซ้ำ คนจะด่าว่า ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเข้าให้อีก

"ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะงามยิ่งไปกว่าธรรมงาม จงตั้งหน้าตั้งตาแต่งใจให้งามด้วย "ธรรมอันงาม" อย่าเอาแต่แต่งกายให้งามแต่เพียงอย่างเดียว แล้วจะอยู่ในโลกนี้ได้ด้วยความสงบ ผาสุก และเย็นใจ"

พระสึกเราไม่ตื่นเต้น แต่รู้สึกว่า พระชาวต่างประเทศ หากเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ย่อมเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่ายิ่ง เพราะอาจทำประโยชน์ต่อชาวต่างประเทศได้อย่างมากมายยิ่งกว่าพระชาวไทย ซึ่งมีอุปสรรคด้านการสื่อสาร ย่อมสู้บุคคลที่ใช้ภาษาเดียวกันไม่ได้

การลาสิกขาไปก็ถือว่า เป็นกรรมของแต่ละคนที่มีสิทธิ์จะเลือกทำได้ เหตุผลในการสึกของพระย่อมมีหลายประการ ถ้าไม่รู้จริงก็อย่าไปก้าวล่วงวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใดเลย ปล่อยให้ความจริงมันเปิดเผยตัวเองเถิดนะ ท่านบวชมาในศาสนาก็ยาวนาน สิ่งที่เคยทำก็เป็นคุณแก่ศาสนาอยู่มิใช่น้อย ก็ขอเอาใจช่วย ให้ท่านไปดี ไปดี และไปดี...



เว็บไซต์วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน
http://www.doisaengdham.org/%E0%B8%AA%E ... B8%B2.html


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข่าวจากคนใกล้ชิดติดตามว่า ถูกวางยา ไม่น่าใช่ ถ้าวางยาป่านนี้ยาน่าจะหมดฤทธิ์แล้วรู้สึกตัวไม่เข้าใกล้ ดูภาพนี้แล้ว คงเป็นเนื้อคู่กันเป็นบุพเพฯ กัน ปล่อยเค้าไปเถอะ :b32:

http://pantip.com/topic/30667464

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 20:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
amazing เขียน:
1.พระพุทธเจ้ากล่าวว่า พระอริยะจะไม่ลดฐานะตนเอง



มีคนบางจำพวก...ไม่ยอมเข้าอริยะ...แต่มีคุณค่าที่แม้อริยะยังเคารพ...อิอิ..
ชาวพุทธต้องศึกษาธรรมะกันให้มาก ถ้าหยั่งลงมั่นในตถาคตแล้วความคิดเห็นของตนเองนั้นจะต้องหมดไป เพราะเราคือสาวกผู้ประพฤติตามคำพระตถาคตเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 21:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
amazing เขียน:
1.พระพุทธเจ้ากล่าวว่า พระอริยะจะไม่ลดฐานะตนเอง



มีคนบางจำพวก...ไม่ยอมเข้าอริยะ...แต่มีคุณค่าที่แม้อริยะยังเคารพ...อิอิ..
ชาวพุทธต้องศึกษาธรรมะกันให้มาก ถ้าหยั่งลงมั่นในตถาคตแล้วความคิดเห็นของตนเองนั้นจะต้องหมดไป เพราะเราคือสาวกผู้ประพฤติตามคำพระตถาคตเท่านั้น


มีคนพวกหนึ่ง...เห็นตถาคตแล้ว....เข้าใจทางแห่งออกจากวัฏฏะนี้แล้ว..แทงลงในอริยะสัจเพียงนิดก็รู้ได้ว่า..ต้องทะลุแน่ด้วยบารมีที่สั่งสมมาพร้อมแล้ว.....แต่กลับเสียดายว่า..จะได้ประโยชน์น้อย...มีความคิดว่า..ทางนี้สัตว์รู้ได้ยาก...อย่ากระนั้นเลย....เราจะบอกทางนี้แก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย....อันจะเป็นประโยชน์อันมาก..ดีกว่า

ไปได้...แต่ไม่ยอมไปเพียงผู้เดียว....อันนี้ก็น่านับถือ..นะ..อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2013, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวหอม เขียน:
ก็ขอยินดีกับท่านอาจารย์ด้วย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เรื่องหนึ่งสำหรับผม ^ ^

ทุกคนก็ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่อยากทุกข์ สัตว์ก็ด้วย ก็เห็นจะมีแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ช่วยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเห็นว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา ปล่อยวางขันธ์ 5 ไป โดยเฉพาะ สังขารขันธ์ อยู่กับความจริงคือเดี๋ยวนี้ แล้วก็ นัตถิอัตตะสมังเปมัง

นัตถิอัตตะสมังเปมัง บทนี้ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ตัว แต่เพื่อเข้าใจตัวเองว่าไม่อยากทุกข์ แล้วก็จะเข้าใจคนอื่นด้วยว่าเขาก็ไม่อยากทุกข์เช่นกัน คือเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีแต่การทำความดีต่อกันและกัน

เพราะจากประสบการณ์ในครั้งนี้ก็ทำให้ผมทุกข์อยู่ สับสน แต่ก็มาได้หลักธรรม 2 อันที่กล่าวก็พอบรรเทาทุกข์ไปได้ เพราะว่าถ้าเราทุกข์อยู่ เราก็ให้ความสุขแก่คนอื่นไม่ได้เช่นกัน ผมคิดว่าความจริงถ้าไม่จำเป็นแล้วไม่ควรยึดติดในสิ่งใด ถ้าทำได้นะ เพราะว่าไม่มีอะไรจะอยู่กับเราไปได้ตลอดเลย

ก็ถ้ามีชีวิตอยู่เราก็ทำแต่ความดีงาม เป็นทุนแก่เราไป เมื่อเรามีทุน เราไม่ทุกข์แล้ว ก็จะสามารถช่วยคนอื่น สัตว์อื่นให้พ้นทุกข์ได้เช่นกัน : )

:b8: :b8: :b8:



ไม่มีเรื่องอะไรใหม่ เกิดขึ้นแล้วก็จากไป
สุขทุกข์ร้ายดีเท่าไหร่ สุดท้ายก็ผ่านไป
สุดท้ายร้ายดีเท่าไหร่แค่ไหนก็ผ่านไป

(เรื่องต่างๆ เกิดขึ้นแล้วก็จากไปจากใจ)

พยายามอยู่เหมือนกันครับ :b8: :b12: อนุโมทนานะครับ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 157 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron