วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 11:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 21:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ...
:b8: :b8:
เห็นเรื่องราว...ก็ให้เห็นธรรม...จึงจะสมชื่อว่า..นับถือกันจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2013, 00:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
น่าหดหู่ และรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า
ท่านได้ทิ้งชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญ
ไปอย่างไม่แยแสเลย


:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2013, 01:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


จริง ๆ น่าจะมีคนได้เห็นบทสัมภาษณ์ที่ท่านเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้นะ...

คือ จริง ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นบทสัมภาษณ์ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารฉบับหนึ่ง
หรือ...เป็นสิ่งที่ท่านเล่าตอนที่ท่านได้ไปบรรยายธรรมในสถานที่หนึ่ง
คือ...พอดีก็เคยมีโอกาสไปฟังท่านบรรยายธรรมครั้งหนึ่ง เมื่อปีที่แล้ว
ทบทวนดูแล้วน่าจะเป็นกรณีหลัง...
ซึ่งเป็นช่วงก่อนเข้าพรรษา...
และเป็นไปได้ว่าท่านอาจจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ
เพราะโดยปกติแล้ว...ท่านทำหนังสือออกมามากมาย...บรรยายธรรม...สอนธรรมมากมาย
แต่วันนั้นท่านไม่ได้สอนธรรมเหมือนอย่างที่เห็นในหนังสือที่มีมากมายเรย...
ซึ่งเอกอนก็ยังนั่งมองท่านตาปริบ ๆ ...
ท่านบอกว่า...นี่คงจะเป็นพรรษาสุดท้าย...
และท่านก็จะไปอยู่ที่ญี่ปุ่น

และท่านก็เล่า...

:b1: :b1: :b1:

ตอนที่ท่านเล่า...เอกอนจำได้...
ว่าเอกอนนั่งฟังไป...และก็นึกถึง...บัวศกล... :b12:
เพราะเรื่องราวที่ได้ยินมันให้ความรู้สึกเหมือนเรื่องราวที่เคยได้รับรู้...
และ บัวศกล ที่หายไปนานแสนนาน อยู่ ๆ ก็โผล่มา...ในกระทู้นี้... :b12:

:b1: :b1: :b1:

ถ้าสิ่งที่อยู่ในใจท่าน...ท่านทำสำเร็จ
นั่น...ดีที่สุดแล้ว...
ความตั้งใจของท่าน...เป็นความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2013, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
น่าหดหู่ และรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า
ท่านได้ทิ้งชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญ
ไปอย่างไม่แยแสเลย

การบวชไม่ใช่หรือที่เป็น การทิ้งลาภ
การบวชไม่ใช่หรือที่เป็น การทิ้งยศ
การบวชไม่ใช่หรือที่เป็น การทิ้งคำสรรเสริญ

การบวชไม่ใช่ การเข้ามาหาลาภ
การบวชไม่ใช่ การเข้ามาหายศ
การบวชไม่ใช่ การเข้ามาหาคำสรรเสริญ

อย่าให้ฉันทาคติเปลี่ยนธรรมไปตามใจเรา ขอให้ยึดธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเถิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2013, 12:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
บัวศกล เขียน:
น่าหดหู่ และรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า
ท่านได้ทิ้งชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญ
ไปอย่างไม่แยแสเลย

การบวชไม่ใช่หรือที่เป็น การทิ้งลาภ
การบวชไม่ใช่หรือที่เป็น การทิ้งยศ
การบวชไม่ใช่หรือที่เป็น การทิ้งคำสรรเสริญ

การบวชไม่ใช่ การเข้ามาหาลาภ
การบวชไม่ใช่ การเข้ามาหายศ
การบวชไม่ใช่ การเข้ามาหาคำสรรเสริญ

อย่าให้ฉันทาคติเปลี่ยนธรรมไปตามใจเรา ขอให้ยึดธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเถิด


สาธุ ท่านผู้เจริญในธรรม ขอให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2013, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ทุกข์เพราะคิดผิด

นายแพทย์กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล
คอลัมน์ออกกำลังใจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖


ออกกำลังใจ...สัปดาห์นี้ ขออนุญาตยืมชื่อหนังสือของ ท่านพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก อดีตเจ้าอาวาส วัดป่าสุนันทวนาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ที่เพิ่งลาสิกขาไปอย่างเงียบเมื่อต้นอาทิตย์ที่ผ่านมา

จริงๆ วลีนี้ เป็นคำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโท พระอาจารย์ของท่าน ที่เคยเล่าว่า สมัยที่ท่านเดินธุดงค์ไปตามหมู่บ้านต่างๆ และพักอยู่ที่บ้านหนองกา อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ในเวลานั้นบาตรที่ใช้เล็กและมีรูรั่วหลายแห่ง พระที่วัดหนองกาจึงถวายบาตร เป็นโอกาสให้ท่านได้พิจารณาความอยากในบริขารอีกครั้งหนึ่ง และเตือนสติตัวเองว่า การภาวนายังไม่มั่นคงพอ

“ท่านถวายบาตรมาใบหนึ่ง แต่มันมีรูรั่ว ฝาบาตรก็ไม่มี นึกขึ้นได้สมัยเป็นเด็กไปเลี้ยงควายเห็นเพื่อนมันเอาเถาวัลย์มาเหลาแล้วถักเป็นหมวก เลยให้เขาเอาหวายมาเหลา รีดให้แบนอันหนึ่ง กลมอันหนึ่ง แล้วก็ถักเป็นวงไป ก็ได้ฝาบาตรเหมือนกัน แต่ดูแล้วเหมือนกระติบใส่ข้าวเหนียว ไปบิณฑบาตก็ขวางหูขวางตาจังเลยฝาบาตรอันนี้ คนเขาก็เรียกพระบาตรใหญ่ มาทำใหม่ ทำทั้งกลางวันกลางคืน ทำความเพียรผิด เพราะอยากได้มาก กลางคืนก็จุดไต้ทำอยู่ในป่าคนเดียว สานไปสานมามือไปชนหางไต้ ขี้ไต้ตกใส่มือไฟลวกหนังหลุดหมด มีแผลเป็นอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ จึงรู้สึกตัว เอ ! นี่เราทำอะไร ? คิดผิดแล้วนี่ บวชมาเอาบริขาร จีวร บาตร เพียรจนไม่ได้หลับได้นอน อยากได้ฝาบาตรมากเพียรผิดแล้ว เดินไปก็คิดถึงฝาบาตรไปอีกแหละ ทำต่อไม่รู้กลางวันกลางคืน ทำด้วยความอยากได้อยากเป็น”

หลวงปู่ท่านจึงสอนต่อมาว่า จิตใจนี้มันปล่อยวางได้ยากเหลือเกิน มันยึดติด แน่นเหนียว ตัวอุปาทาน มั่นหมาย นี้ละยาก วางยาก....

เมื่อท่านพระอาจารย์มิตซูโอะนำคำสอนของหลวงปู่มาอรรถาธิบายให้ง่ายขึ้น เหมือนการปรุงอาหารใหม่ ปรุงสำเร็จ เคี้ยวง่าย ย่อยง่าย จึงเป็นที่มาของหนังสือชื่อ “ทุกข์เพราะคิดผิด”

ข้าพเจ้ารู้จักท่านพระอาจารย์มิตซูโอะจากหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือธรรมะของท่านเล่มแรกที่หยิบมาอ่าน อ่านแล้วก็รู้สึกคล้อยตาม เห็นด้วยกับหลายประโยคที่ท่านหยิบยกขึ้นมาสอน เพื่อ “ปลุกคนให้ตื่น”

ตื่นจากความคิดผิด เห็นผิด....

จิตของเรานี้เมื่อเป็นจิตที่ไม่ได้ฝึกฝน ชอบที่จะคิดโน่นคิดนี่สารพัด คิดไปในอดีต คิดไปในอนาคต ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ จนปวดหัว ฟุ้งซ่าน จิตที่ไม่ได้ฝึกฝนจะมีลักษณะอย่างที่กล่าวมานี้ หรือที่เรียกว่า จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดปรุงแต่งออกไปภายนอกเรื่อยๆ

การคิดไปเรื่อยๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์....


วันที่ท่านลาสิกขา ประดามิตรสหายมากหน้า หลายตา ทั้งโทรศัพท์ ส่งข้อความ ถามไถ่ถึง “เหตุ” ที่แท้จริงในการลาสิกขาบทของท่าน

แม้ทางวัดและมูลนิธิมายา โคตมี ที่ท่านได้ริเริ่มและวางรากฐานไว้อย่างแข็งแรงแล้ว จะยืนยันถึงเหตุผลการลาสิกขาว่าเป็นเรื่องของสุขภาพ และพระอาจารย์ได้ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดของท่านแล้ว

แต่จิตของผู้คนที่ได้รับทราบข่าว กลับยัง “ไม่เชื่อ”

ไม่แน่ใจ ยังมีความลังเลสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะค้นหาคำตอบ ค้นหาสิ่งที่ตนเองคิดว่าเป็น “ความจริง”

ตรงนี้เองเป็นอีกครั้งที่ทำให้นึกถึงคำสอนของท่าน....

“ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราทุกวันนี้ เพราะเราไม่รู้จักความคิด ทุกข์เกิดเพราะคิดผิด คิดปรุงแต่งเรื่อยไป เห็นอะไร ได้ยินอะไร ไม่ชอบใจก็คิดปรุงแต่งไปจนไม่สบายใจ หรือว่าอยู่ดีๆนึกถึงอดีตที่เคยมีเรื่องราวไม่ถูกใจ คิดไป นึกไป ปรุงไป จนไม่สบายใจเป็นทุกข์ บางทีเกิดอาฆาตพยาบาทก็ได้....”

ฝึกหัดใจให้หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง เมื่อไม่ปรุง ก็ไม่มีทุกข์อะไร....!


เราอาจจะอ่านหนังสือธรรมะเป็นร้อยๆ เล่ม แต่จะมีสักกี่ครั้งที่มี “เหตุ” หรือที่ทางวิชาการอาจจะเรียกว่า scenario เป็น “บท” หรือ “ตัวอย่าง” เหมือนบทละคร หรือบทภาพยนตร์ที่ทำให้เรามองเห็นภาพของเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง

เป็นสถานการณ์หรือปรากฏการณ์....ที่ถูกหยิบยกมาเพื่ออธิบายทฤษฎีบางทฤษฎี ทำให้ผู้เรียนมองเห็นภาพนั้นได้อย่างรอบด้าน ครอบคลุมสามารถสังเคราะห์ วิเคราะห์ วิพากษ์ ได้อย่างเป็นระบบ...

การลาสิกขาของท่านพระอาจารย์มิตซูโอะ....ก็เช่นเดียวกัน

น่าจะเป็นอีกครั้งที่ชาวพุทธจะได้หันกลับมาทบทวน ตีความคำสอนของท่าน....อย่างลึกซึ้ง

“เราต้องเข้าใจให้ชัดเจนทั้งสองอย่าง ในการปฏิบัติเราต้องพยายามติดตามดูความรู้สึกนึกคิดตลอดวันตลอดคืน เมื่อเราคิดดี พูดดี ทำดี เราก็สบายใจ ถ้าเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ เราก็ย่อมจะทำอะไรผิดๆ ถูกๆ เรื่อยไป

ทำดี คือ คิดดี พูดดี ทำดี ทำชั่ว คือ คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี

ได้ดี คือ ความสุขใจ สบายใจ ได้ชั่ว คือ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ....

ทุกข์เกิดที่ไหน ทุกข์ก็เกิดที่ใจเรา ความไม่สบายใจก็เกิดที่ใจเรา ทุกข์อยู่ที่ไหน เหตุก็อยู่ที่นั่น เพราะทุกข์มาจากเหตุ....”


ถึงตรงนี้ เราลองมาคิดทบทวนดูสิว่า สิ่งที่เรากำลังคิดอยู่ ใคร่ครวญอยู่ ค้นหาคำตอบอยู่....นั้น ทำให้เรา “สุข” หรือ ทำให้เรา “ทุกข์”

ความทุกข์ในที่นี้ หมายรวมถึงความกระวนกระวายใจ ความอยากรู้ อยากเห็น....

เรากำลังเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า....

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องกลับมา “ดูใจ” ของเราอีกครั้ง....


หนังสืออีกเล่มของท่านที่อ่านแล้วประทับใจ ก็คือ “ชั่วโมงแห่งความคิดดี” ซึ่งเป็นหนังสือธรรมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดของพระอาจารย์มิตซูโอะ มียอดพิมพ์ร่วม ๑ ล้านเล่ม

ท่านสอนว่า.... “เมื่อพูดถึงเรื่องชีวิต เรามักนึกถึงความสุขเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่ทุกคนปรารถนาในชีวิต คือความสุข เราพยายามหาวิธีแสวงหาความสุข และหนีให้พ้นจากทุกข์กันทั้งนั้น ครอบครัวญาติพี่น้องต่างปรารถนาให้เรามีความสุข นักมนุษยวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ปรารถนาความสุขแก่มวลมนุษยชาติ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คนเรามักไม่พบความสุขที่ต่างกำลังแสวงหาอย่างแท้จริง....”

ทั้งๆ ที่จริงแล้ว เมื่อใจดี คิดดี ทำดี ก็จะมีความสุข เป็นความสุข ที่ทุกคนมีศักยภาพที่จะเข้าถึงได้....

จากวันที่พระอาจารย์เดินทางกลับบ้านเกิด จนถึงวันนี้ เรามีชั่วโมงแห่งการคิดดีถึงท่านบ้างหรือยัง หรือมัวแต่ทุกข์เพราะคิดผิด ทุกข์เพราะวุ่นวายใจต้องการค้นหาคำตอบ....ที่บางครั้งเมื่อถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่รู้ว่า....จะรู้ไปทำไม...รู้แล้วได้อะไร


ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ท่านสอนไว้ชัดเจนว่า คนเรานั้นไม่จำเป็นต้องรู้อะไรไปหมดทุกอย่างหรอก....เพราะบางอย่าง....ไม่รู้เสียบ้าง....ก็เป็นปัญญา....!!!!

รูปภาพ

ทุกข์เพราะคิดผิด (พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=20096

ชั่วโมงแห่งความคิดดี (พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=25902

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2013, 14:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

ความรู้สึกของผู้ที่
เมื่อนั่งมองพระอาทิตย์ตกดินในคราวนี้
ก็จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอีกแล้ว
เป็นความรู้สึกที่บอกยาก...นะ

:b1:

ถ้าสำเร็จ ...จะส่งผลให้ขนคนไปได้อีก lot

:b41:

เป็นความเชื่อ...ส่วนตัว...

:b17: :b4: :b4: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2013, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


บัวศกล เขียน:
น่าหดหู่ และรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า
ท่านได้ทิ้งชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญ
ไปอย่างไม่แยแสเลย


ไม่น่าหดหู่หรอกครับ ก็เป็นไปตามธรรมดา

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2013, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเป็นคนอ่อนไหว เมื่อพระที่งดงามท่านหนึ่ง
ต้องพลั้งพลาดก็อดที่จะเป็นห่วงและนึกถึงไม่ได้

ท่านเป็นพระที่พาตนมาถึงจุดของผู้มีชื่อเสียง
ผู้นับถือมากมายในระดับต้นๆของประเทศ
แต่ท่านก็ทิ้งมันได้ ซึ่งจะมีสักกี่คนจะทิ้งได้จริง

ที่ผมหดหู่เพราะผมรู้สึกว่าท่านคือพระดีแท้
แต่ถ้าพระมากมายสึกไปผมก็คงรู้สึกเฉยๆ

ผมเข้าใจดีว่าใครหลายคนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ผมยังเป็นคนธรรมดาจึงอดที่จะเห็นใจท่าน
ไม่ได้

และผมก็ยังนึกถึงสหายเฒ่าอยู่ หวังว่าเขาจะก้าว
ไปไกล จนผมตามไต่ไม่ถึง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2013, 00:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การลาสิกขาไม่ใช่ความชั่วร้าย ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่มีข้อด้วยการลาสิกขา เปรียบเหมือนการว่ายข้ามทวนน้ำไปอีกเกาะ ใครเกิดหมดแรงจะกลับฝั่งเดิมก่อนก็ไม่ใช่ว่าแย่ พอกลับเข้าฝั่งเตรียมตัวใหม่พร้อมแล้วจะหวนไปว่ายข้ามอีกทีก็ไม่เสียหลาย

ที่ผมว่าไม่ถูก ไม่ใช่ตัวผู้สึก แต่เป็นการคิดของผู้ที่มองว่าการบวชพอมีชื่อเสียงแล้วสึกไปคือการทิ้งชื่อเสียง มันไม่ถูกเพราะเปลี่ยนความหมายของการบวชซึ่งเป็นการละกลายเป็นการถือครองไปเสีย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2013, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


:b42:การลาสิกขาของท่าน ก็เหมือนนักศึกษาผู้หนึ่งที่ไปศึกษายังต่างประเทศ
เมื่อได้ศึกษาจบหลักสูตรแล้วก็กลับไปยังประทศของตน
เพื่อพัฒนาประเทศของตนให้เจริญรุ่งเรือง :b8:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2013, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2008, 17:25
โพสต์: 62


 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุการณ์นี้
อาจถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้ ซึ่งกันและกัน
ทั้งท่านผู้ลาสิกขา และผู้ที่ให้ความเคารพนับถือในตัวท่านผู้ลาสิกขา

กล่าวคือ
ท่านผู้ลาสิกขา ได้ทดสอบจิตใจ การละวาง การไม่ยึดติดมั่นหมายใน ลาภ-สักการะ-ชื่อเสียง ฯลฯ ที่ปรากฏมีแก่ตัวท่าน

ส่วนสานุศิษย์ ผู้ที่เคารพนับถือในตัวท่าน
ก็ได้เรียนรู้ ทดสอบจิตใจตน ในการละวาง การไม่ยึดติดในตัวบุคคล ครูอาจารย์ คงไว้ซึ่งธรรมที่ท่านได้ถ่ายทอดให้ยึดเป็นแนวปฏิบัติ
ได้เห็นซึ่งสัจจะธรรม เห็นไตรลักษณ์ ว่าด้วยความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ตามคำสอนของพระพุทธองค์

มาเถิดสหายธรรมทั้งหลาย เรามาไตร่ตรองพิจารณาธรรมที่ปรากฏต่อหน้าเรานี้
เพื่อความเข้าใจในธรรม
เพื่อลด ละ ความยึดมั่นถือมั่น
เพื่อความเป็นอิสระในที่สุด

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2013, 11:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
และผมก็ยังนึกถึงสหายเฒ่าอยู่


smiley smiley smiley

เช่นกัน...

:b16: :b16: :b16:

บัวศกล เขียน:
ท่านเป็นพระที่พาตนมาถึงจุดของผู้มีชื่อเสียง
ผู้นับถือมากมายในระดับต้นๆของประเทศ
แต่ท่านก็ทิ้งมันได้ ซึ่งจะมีสักกี่คนจะทิ้งได้จริง


:b1: :b1: :b1:

ท่านคงเห็นหนทาง "สูงสุด สู่ สามัญ"... มั๊ง

:b12: :b12: :b12:

จะมีคำพูดบางประโยคที่สะท้อนนัยยะดังกล่าวออกมา...
แต่คนฟังโดยทั่วไปจะไม่รู้ว่านั่นเป็นสภาวะธรรม...
....
การคืนสู่สามัญ...ไม่ใช่แค่ความคิด...
ไม่ใช่คำพูดที่ใช้เพื่อประดับให้ดูเท่ดูดี...
ผู้ที่จะเห็นสภาวะนี้ และรับรู้ถึงอารมณ์ธรรมนี้ได้จริง...
คือ...เขาต้องได้วางใจสละสิ่งอันที่ดูเหมือนจะมีค่าที่เขาเคยทรงอยู่นั้นลง...
เช่น...ถ้าเป็นกษัตริย์ ก็สละราชสมบัติ...
....
สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม...บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มีค่าของเขา
คือ...บารมี...
มันเสมือนทรัพย์-ยศฐาบรรดาศักดิ์-ป้อมปราการคุ้มภัยที่จะติดตามผู้นั้นไปจนกว่าจะ... :b41:
....
เรายากที่จะเข้าใจถึงใจของผู้ที่กล้าสละ...ว่าองค์ธรรมใดที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุน...
และ...การกระทำเช่นนั้นจะส่งผลอย่างไรต่อ...สังสารวัฏ... :b1:

....

เหมือนอย่างที่ บัวศกลว่านั่นล่ะ "จะมีกี่คนที่ทิ้งได้จริง..."
เพราะ...สำหรับพวกเราที่ยังห่วงแสวงบุญ ละบาป เพราะยังกลัวการไปอบาย...
จะไปหยั่งรู้ใจท่าน...ได้อย่างไร
....
คำพูด เหมือนกัน "สูงสูด สู่ สามัญ"
แต่ผู้พูด เป็นคนละคนกัน นัยยะทางธรรมก็ตื้นลึกหนาบางต่างกัน

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2013, 11:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
บัวศกล เขียน:
น่าหดหู่ และรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า
ท่านได้ทิ้งชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญ
ไปอย่างไม่แยแสเลย

การบวชไม่ใช่หรือที่เป็น การทิ้งลาภ
การบวชไม่ใช่หรือที่เป็น การทิ้งยศ
การบวชไม่ใช่หรือที่เป็น การทิ้งคำสรรเสริญ

การบวชไม่ใช่ การเข้ามาหาลาภ
การบวชไม่ใช่ การเข้ามาหายศ
การบวชไม่ใช่ การเข้ามาหาคำสรรเสริญ

อย่าให้ฉันทาคติเปลี่ยนธรรมไปตามใจเรา ขอให้ยึดธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเถิด


บวช...บางครั้ง...ไม่ต้องการลาภ..ยศ..สรรเสริญ....แต่มันก็วิ่งมาหาเอง
ผู้มีสติ...จึงเห็นภัยของมัน
ผู้มีสติ...จะเห็นกำลังของตน
ผู้มีสติ...จึงเห็นวิธีจัดการของตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2013, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ในวันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 17.30 น.
พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี
ท่านได้เมตตามาเป็นองค์แสดงธรรม ณ มูลนิธิพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=45655

พระอาจารย์ชยสาโร ท่านได้แสดงธรรมเป็นที่ปิติใจมากๆ แก่ทุกท่านที่ได้มาร่วมฟังธรรม ท่านเมตตาตอบคำถามที่ค้างคาใจพวกเราทุกคนได้อย่างน่าฟัง ตอนหนึ่งท่านกล่าวถึงหลวงพ่อชาที่เคยสอนว่า พระก็เหมือนชามมีแตกได้ มีเสียหายได้ แต่สิ่งที่มันอยู่ในชามนั้นคืออะไร คือธรรมะใช่ไหม คือคุณความดี คือความอดทนที่่พวกเรารักและศรัทธา ชามนั้นมันแตกไปได้ แต่สิ่งที่พวกเรายังศรัทธาอยู่ก็ไม่ได้หายไปไหน อะไรๆ มันก็ไม่แน่นอน มันเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น เราอย่าไปยึดเลย แม้กระทั่งพระเทศน์อยู่ท่านก็ให้เอากะละมังปิดหน้า ไม่ต้องถ่ายรูป ถ่าย VDO. ให้สนใจเฉพาะในธรรมะที่ท่านสอนเท่านั้น...

ท่านสอนถึงสิ่งที่เรายึดมั่นว่าถูกต้องและไม่มีทางผิดพลาดได้เลย ท่านยกตัวอย่าง ให้คนเดินทางในทะเลทรายโดยใช้เข็มทิศแค่ครั้งเดียว เดินต่อเนื่องไป 8 ชั่วโมง ไม่มีเดือนและตะวันที่จะบอกทิศทาง เดินตรงตามเส้นทางนั้นเท่านั้น ปรากฏว่าพอวัดจริงๆ เดินได้ผิดพลาดน้อยมากๆ เพียง 1 องศาเท่านั้นเอง

ท่านยังให้เดินต่อไปทุกวัน...ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เพียง 1 องศาเท่านั้นเอง...

ท่านถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 90 วันหรือ 180 วัน เราอาจเดินหันหลังผิดทิศทางอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ เพราะความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ นั่นเอง


ท่านเล่าถึงตอนท่านเป็นเด็กหนุ่มชาวอังกฤษที่แสวงหาคำตอบให้กับชีวิต จนมาเจอกับ คุณ Christopher ที่มาสอนปฏิบัติกรรมฐาน โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่เคยบวชและติดตามท่านพุทธทาสภิกขุไปจนถึงสวนโมกข์ และอีกหลายๆ ที่ จนเป็นคำตอบให้เด็กหนุ่มคนนั้นมาบวชเป็นพระอยู่ในเมืองไทยจนทุกวันนี้

ในวันข้างหน้า..อาจมีชาวญี่ปุ่นที่บรรลุธรรมจากการได้เรียนกรรมฐานจากคุณมิตซูโอะ ทึ่เคยบวชเป็นพระในเมืองไทยยาวนานกว่า 30 ปีก็ได้

ท่านสอนให้พวกเรามีมุมมองที่ก่อให้เกิดกำลังใจให้กับตัวเอง...อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน วันนี้เรายังอยู่ในเส้นทาง ยังมีผู้ชี้แนะ ก็ควรเร่งความเพียรให้มากๆ (ก่อนที่วันข้างหน้าเราอาจจะหลงไปวันละ 1 องศาก็ได้)


เชื่อว่ากัลยาณมิตรธรรมหลายคนได้ฟังท่านเทศน์แล้วคงมีความสุข และได้คำตอบและความเชื่อมั่นกลับคืนมากันนะคะ...ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านค่ะ...

หมายเหตุ : ปัจจัยกัณฑ์เทศน์ที่พวกเราน้อมถวายท่านทั้งหมดในวันนี้ พระอาจารย์ชยสาโรท่านบอกว่า ท่านอยู่รูปเดียวในสำนักสงฆ์เล็กๆ และไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเลย ท่านจึงขอนำปัจจัยทั้งหมดนี้ร่วมทอดกฐินกับวัดป่าอภัยคีรี ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นวัดเล็กๆ ที่ดัดแปลงโรงรถเก่ามาเป็นวัด...เราเลยได้ร่วมทอดกฐินกับพระอาจารย์ชยสาโรกันด้วยค่ะ ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านอีกครั้งค่ะ


:b8: ที่มา : facebook คุณหมอ Parichart Swanyathipati

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 201 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร