ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ลักษณะของพระสัทธรรม http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=44964 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 17 มี.ค. 2013, 11:26 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
พระธรรม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อกล่าวโดยลักษณะท่านจัดออกเป็น ๔ ลักษณะ คือ ๑) สวากขาตธรรม เป็นพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทั้งที่เป็น กุศล อกุศล อัพยากต เป็นธรรมที่มีความงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด สมบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะ ๒) สัลเลขธรรม เป็นพระธรรมที่ทำหน้าที่ขัดเกลาจิต หรือขัดเกลาบาปอกุศลให้ออกไปจากจิต ตามคุณสมบัติแห่งองค์ธรรมนั้นๆ เช่น ปัญญาขจัดความโง่เขลา เมตตา ขจัด ความพยาบาท ความโกรธ เป็นต้น ๓) นิยยานิกธรรม เป็ธรรมที่นำสัตว์ผู้ปฏิบัติ ให้ออกจากอำนาจของกิเลส ทุกข์ และสังสารวัฏฏ์ นำออกจากเวรภัยปัจจุบัน ๔) สันติธรรม เป็นพระธรรมที่ก่อให้เกิดสันติสุขในชั้นนั้นๆ ตามสมควรแก่ธรรมที่บุคคลได้เข้าถึงและปฏิบัติตาม จนถึงสันติสุขอย่างยอดเยี่ยม ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
|
เจ้าของ: | ขณะจิต [ 17 มี.ค. 2013, 11:54 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | student [ 18 มี.ค. 2013, 00:29 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
อนุโมทนาครับ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 18 มี.ค. 2013, 07:14 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
ธรรมทั้งมวลที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น ทรงแสดงว่าเป็นธรรมอยู่อย่างนั้น คือ จะเป็น กุศล อกุศล อพยากต และแม้แต่พระนิพพาน เป็นธรรมฐีติ ธรรมนิยาม คือพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม พระธรรมก็จะมีสภาพเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ได้พบธรรมเหล่านี้นำมาเปิดเผยชี้แจงแก่ชาวโลก ตามความเป็นจริงแห่งธรรมนั้น ส่วนผู้ประพฤติปฏิบัติเป็นหน้าที่ของผู้ฟัง จะต้องลงมือทำด้วยตนเอง อำนาจในการดลบันดาล การสร้างโลก เป็นต้น จึงไม่มีในพระพุทธศาสนา หากผู้ฟังเชื่อตามคำสอนว่า สิ่งที่พระองค์ห้ามก็งดเว้นเสีย สิ่งใดที่ควรประพฤติปฏิบัติ ก็ควรทำตามนั้นอย่างถูกต้อง ไม่ต้องมาถกเถียงกันว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกคนย่อมมีความสำเร็จแน่นอน การที่เราถกเถียงกันนั้นเพราะเราไม่เข้าใจคำสอนต่างหาก
|
เจ้าของ: | ปลีกวิเวก [ 18 มี.ค. 2013, 13:39 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
ลุงหมาน เขียน: พระธรรม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อกล่าวโดยลักษณะท่านจัดออกเป็น ๔ ลักษณะ คือ ๑) สวากขาตธรรม เป็นพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทั้งที่เป็น กุศล อกุศล อัพยากต เป็นธรรมที่มีความงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด สมบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะ ๒) สัลเลขธรรม เป็นพระธรรมที่ทำหน้าที่ขัดเกลาจิต หรือขัดเกลาบาปอกุศลให้ออกไปจากจิต ตามคุณสมบัติแห่งองค์ธรรมนั้นๆ เช่น ปัญญาขจัดความโง่เขลา เมตตา ขจัด ความพยาบาท ความโกรธ เป็นต้น ๓) นิยยานิกธรรม เป็ธรรมที่นำสัตว์ผู้ปฏิบัติ ให้ออกจากอำนาจของกิเลส ทุกข์ และสังสารวัฏฏ์ นำออกจากเวรภัยปัจจุบัน ๔) สันติธรรม เป็นพระธรรมที่ก่อให้เกิดสันติสุขในชั้นนั้นๆ ตามสมควรแก่ธรรมที่บุคคลได้เข้าถึงและปฏิบัติตาม จนถึงสันติสุขอย่างยอดเยี่ยม ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ![]() ![]() ![]() เราเคารพในพระสัทธรรมขององค์พระศาสดาเหนือสิ่งอื่นใด... ![]() พระสัทธรรมเปรียบดั่งแสงสว่างของอาทิตย์ยามเที่ยงวันที่เข้าไปขับไล่ความมืดมิดภายในจิตใจให้เลือนหาย...คงเหลือไว้แต่ความสว่างไสวภายในจิตใจ...เรารู้แต่ว่าจะไม่ย้อนกลับไม่ตกต่ำไปกว่านี้และจะก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น ![]()
|
เจ้าของ: | ธรรมมา [ 18 เม.ย. 2013, 14:07 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
อนุโมทนาครับ ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 19 เม.ย. 2013, 17:33 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
ลักษณะของพระสัทธรรม อีกกรณีหนึ่งคือ เป็นสันทิฏฐิโก คือผู้ปฏิบัติเห็นได้ ด้วยตนเอง เป็นอกาลิโก ไม่มีขณะคั่น ไม่ขึ้นกับการปรุงแต่ง เป็นสัจจะเป็นความจริง เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู ดูที่ไหน ดูที่กายวาจาใจ โอปนายิโก คือต้องน้อมเข้าไปดู ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญุูหิ เป็นธรรมที่เมื่อปฏิบัติแล้วก็รู้จำเพาะได้ที่ตนเอง เพิ่มเติมจากลักษณะ 4 ประการที่ลุงหมานได้กล่าวไว้
|
เจ้าของ: | ปลีกวิเวก [ 16 ต.ค. 2013, 09:24 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
เช่นนั้น เขียน: ลักษณะของพระสัทธรรม อีกกรณีหนึ่งคือ เป็นสันทิฏฐิโก คือผู้ปฏิบัติเห็นได้ ด้วยตนเอง เป็นอกาลิโก ไม่มีขณะคั่น ไม่ขึ้นกับการปรุงแต่ง เป็นสัจจะเป็นความจริง เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู ดูที่ไหน ดูที่กายวาจาใจ โอปนายิโก คือต้องน้อมเข้าไปดู ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญุูหิ เป็นธรรมที่เมื่อปฏิบัติแล้วก็รู้จำเพาะได้ที่ตนเอง เพิ่มเติมจากลักษณะ 4 ประการที่ลุงหมานได้กล่าวไว้ ![]() สัมผัสได้ถึงจิตใจที่เริ่มพ้นจากพันธนาการ...เครื่องร้อยรัด.. ..เป็นอิสระภาพ..เป็นสุขอย่างยิ่ง... ![]()
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 04 ธ.ค. 2013, 08:26 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
เมื่อเวไนยสัตว์ฟังพระอภิธรรม ก็พิจารณาสภาพปรมัตถธรรมที่ปรากฏ ด้วยปัญญาที่ได้อบรมสะสมมาแล้วในอดีต จึงรู้ความจริงของปรมัตถธรรมในขณะนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ในครั้งพุทธกาล เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมจบลง จึงมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นจำนวนมาก เพราะท่านเหล่านั้นฟังพระธรรมเข้าใจ และพิจารณารู้ความจริงของสภาพปรมัตถธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เช่น เมื่อพระองค์ทรงเทศนาว่า จักขุวิญญาณ คือจิตที่ทำกิจเห็นนั้นไม่เที่ยง ท่านเหล่านั้นก็มีสติสัมปชัญญะ รู้สภาพลักษณะของจิตในขณะที่กำลังเห็นนั้นได้ถูกต้อง ว่าเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ในขณะที่กำลังได้ยิน ท่านเหล่านั้นก็มีสติสัมปชัญญะรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะที่กำลังได้ยินนั้น เมื่อปัญญารู้แจ้งลักษณะไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นทุกข์ ของปรมัตถธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น แล้วก็ละคลายความยินดีเห็นผิด ที่ยึดถือปรมัตถธรรมเหล่านั้นเป็นตัวตน เที่ยง และเป็นสุข ฉะนั้น พึงเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงเทศนาสั่งสอน ซึ่งได้รวบรวมบันทึกไว้เป็นพระไตรปิฎกนั้น เป็นเรื่องความจริงของสภาพธรรมทั้งปวง เมื่อศึกษาและเข้าใจปรมัตถธรรมแล้ว ก็ควรพิจารณาปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อรู้แจ้งลักษณะความจริงของ ปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏนั้น จึงจะละความสงสัยและความไม่รู้ ในสภาพลักษณะของปรมัตถธรรมได้อย่างแท้จริง การศึกษาเพื่อให้เข้าใจปรมัตถธรรมนั้น จะต้องพิจารณาถึงเหตุผลจึงจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง เช่น จะต้องรู้ว่าสภาพที่เห็นกับสภาพที่ได้ยินนั้นเหมือนกันหรือไม่ ถ้าเหมือนกัน เหมือนกันอย่างไร ถ้าไม่เหมือน ไม่เหมือนกันอย่างไร สภาพเห็นและสภาพได้ยินเป็นจิตปรมัตถ์ก็จริง แต่ไม่ใช่จิตเดียวกัน เพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดต่างกัน จิตเห็นนั้นต้องอาศัยสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขุปสาทเป็นปัจจัยจึงจะเกิดได้ ส่วนจิตได้ยินต้องอาศัยเสียงกระทบกับโสตปสาทเป็นปัจจัย จึงจะเกิดได้ จิตเห็นและจิตได้ยินมีกิจต่างกันและเกิดจากปัจจัยต่างกัน
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 05 ธ.ค. 2013, 06:27 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
ความจริงแล้ว ในโลกนี้มีนามกับรูปเท่านั้น มิได้มีสัตว์และมนุษย์แต่ประการใดเลย นามและรูปเป็นของว่างเปล่า ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้นเหมือนตัวหุ่น เป็นกองทุกข์เช่นเดียวกับกองหญ้าและกองไม้ นามและรูปในปัญจโวการภพต่างก็อาศัยซึ่งกันและกัน สิ่งหนึ่งเป็นผู้ค้ำจุนอีกสิ่งหนึ่งไว้ เมื่อสิ่งหนึ่งล้มลงไปด้วยการแตกทำลาย อีกสิ่งหนึ่งก็ล้มลงด้วย การแตกทำลายลงด้วย เช่นกับฟ่อนต้นอ้อ ๒ มัด พิงกันไว้ ฟ่อนอ้อมัดหนึ่งก็ค้ำฟ่อนต้นอ้อ อีกมัดหนึ่งไว้ เมื่อฟ่อนต้นอ้อมัดหนึ่งล้มลง ฟ่อนต้นอ้ออีกมัดหนึ่งก็ล้มลงด้วย นามและรูปนั้นเป็นของคู่กัน ทั้งสองต่างอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่ออย่างหนึ่งแตกทำลายไป สิ่งทั้งสองที่อาศัยกันก็แตกทำลายไปด้วย ตัวหุ่นเป็นของว่าเปล่า ไม่มีชีวิต เคลื่อนไหวไม่ได้ แต่เพราะการประกอบกัน ของไม้และเส้นเชือกที่ชัก ตัวหุ่นจึงเคลื่อนไหวได้ ปรากฏคล้ายกับสิ่งมีชีวิต ฉันใด นามและรูปก็เช่นกัน ว่างเปล่า ไม่มีชีวิต ไม่เคลื่อนไหว แต่เพราะอิงอาศัยซึ่งกันและกัน นามรูปจึงเคลื่อนไหวได้ ปรากฏมีชีวิตชีวาขึ้น ฉันนั้น
|
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 17 มิ.ย. 2014, 00:15 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
กลับมาอ่านใหม่ก็ยังชื่นใจอยู่ ![]()
|
เจ้าของ: | AAAA [ 10 ก.ค. 2018, 09:01 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะของพระสัทธรรม | ||
4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ ![]() ![]() ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |