วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 07:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2013, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


สั ม ภ เ ว สี

ผู้ที่ไม่ใช่สัมภเวสีในวัฏสงสารนี้คือ พระอรหันต์เท่านั้น
นอกนั้นไม่ว่าจะกำลังเกิดอยู่ในภพชาติใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่
จะกายหยาบกายละเอียด หรือไม่มีกายเลย ก็ไม่เว้น
เพราะยังเป็นผู้ที่ต้องแสวงหาที่เกิดอยู่ คือ ยังต้องเกิดอยู่
ดังนั้น เวลาเอ่ยปากเสียดสีผู้หนึ่งผู้ใด ก็ให้เข้าใจว่า
คำๆ นี้ ก็ไม่พ้นตนเองเช่นกัน ............"สัมภเวสี" s005

Onion_R มีผู้เข้าใจผิดกันอยู่มากว่า
ขณะนี้เรากำลังเกิดอยู่ กำลังเป็นมนุษย์อยู่ ไม่ได้แสวงหาที่เกิดแล้ว
ณ ขณะนี้ ขอบอกว่าไม่เกี่ยว เพราะเราก็ยังต้องตายแล้วเกิดอีกต่อไป
ดังนั้น มนุษย์ก็คือสัมภเวสี เพราะมนุษย์ก็ยังต้องแสวงหาที่เกิดต่อไปอีก
ไม่ใช่ว่าเป็นอรหันต์แล้ว ถึงไม่ต้องแสวงหาที่เกิดค่ะ :b53: :b53: :b53:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2013, 18:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อก่อนนั้นสมัยที่ไม่เคยได้เรียนธรรมะ เคยได้ยินคนเขาพูดบ่อยเรื่องสัมภวสี
จึงคิดว่าคนที่ตายไปแล้วยังหาที่เกิดไม่ได้ ล่องลอยหาที่เกิดอยู่
บางครั้งก็มาเที่ยวหลอกหลอนเขา ที่เรียกกันว่าผีนั่นแหละ
แม้แต่นี้เดี๋ยวนี้ก็เถอะยังมีคนเชื่อแบบนี้ก็มีไม่น้อยเลยที่เดียว
แท้ที่จริงตัวเราก็คือเป็นสัมภวสีอยู่เหมือนกัน?....ฟิ้ว ว ว ว..

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 07:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเป็นสมมุติบัญญัติแล้ว ก็เรียกตัวเองว่ามนุษย์บ้าง สัตว์บ้าง แต่จริงๆแล้ว มีแต่นามรูปที่เกิดดับ เท่านั้น

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
SOAMUSA เขียน:
สั ม ภ เ ว สี


เมื่อก่อนนั้นสมัยที่ไม่เคยได้เรียนธรรมะ เคยได้ยินคนเขาพูดบ่อยเรื่องสัมภวสี
จึงคิดว่าคนที่ตายไปแล้วยังหาที่เกิดไม่ได้ ล่องลอยหาที่เกิดอยู่
บางครั้งก็มาเที่ยวหลอกหลอนเขา ที่เรียกกันว่าผีนั่นแหละ
แม้แต่นี้เดี๋ยวนี้ก็เถอะยังมีคนเชื่อแบบนี้ก็มีไม่น้อยเลยที่เดียว
แท้ที่จริงตัวเราก็คือเป็นสัมภวสีอยู่เหมือนกัน?....ฟิ้ว ว ว ว..


จริงค่ะลุง :b4:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1:


cool

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ถ้าเป็นสมมุติบัญญัติแล้ว ก็เรียกตัวเองว่ามนุษย์บ้าง สัตว์บ้าง แต่จริงๆแล้ว มีแต่นามรูปที่เกิดดับ เท่านั้น


บัญญัติ ก็เป็นปัจจัยแก่ นาม ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b55: เขียน:
สั ม ภ เ ว สี

ผู้ที่ไม่ใช่สัมภเวสีในวัฏสงสารนี้คือ พระอรหันต์เท่านั้น
นอกนั้นไม่ว่าจะกำลังเกิดอยู่ในภพชาติใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่
จะกายหยาบกายละเอียด หรือไม่มีกายเลย ก็ไม่เว้น
เพราะยังเป็นผู้ที่ต้องแสวงหาที่เกิดอยู่ คือ ยังต้องเกิดอยู่
ดังนั้น เวลาเอ่ยปากเสียดสีผู้หนึ่งผู้ใด ก็ให้เข้าใจว่า
คำๆ นี้ ก็ไม่พ้นตนเองเช่นกัน ............"สัมภเวสี" s005:

สงสัยจขกทเอาเหตุมาจากกระทู้อื่น ซึ่งเป็นความเห็นระหว่างจขกทกับผม
ถ้างั้นผมต้องทำความเข้าใจในประเด็นนี้ก่อน แล้วค่อยอธิบายที่มาของ
สัมภเวสีให้ฟังครับ เพราะผมเห็นว่าคุณไปเอาคำอธิบายที่คลาดเคลื่อนกับพระธรรมมาโชว์
ดูสิ่งที่ผมเอามาอ้างอิงแล้วก็ฟังคำอธิบายนะครับ มันแฝงด้วยคำสอนของพระพุทธองค์
โฮฮับ เขียน:
:b55: เขียน:
คุณโฮ คุณนี่อ่อนจริงๆ
ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองไปวันๆ.....ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับการเข้ามาในเวปธรรม
หากเข้ามาหาประโยชน์จริงๆ อาการของคุณจะไม่เป็นเช่นนี้ เพราะดูตามความเก่าแล้ว
คุณก็วนเวียนอยู่เวปนี้มานาน

ถ้าไม่ขวางคลอง ทำแบบคุณเกิดชาติหน้าต้องพิกลพิการจะให้โทษใคร
ผมวนเวียนอยู่ในเว็บนี้มานาน เปรียบก็เหมือนเทพมีที่สิงสถิตย์ครับ
แต่พวกไปๆมาๆนี่จะเรียกอะไรดี สัมมเวสีหรือวิญญาณไม่มีศาล พอได้มั้ยครับ :b13:

คุณจขกทครับ คุณฟังคำพูดของผมที่ผมกล่าวถึงสัมภเวสีแล้ว คุณก็ไปสรุปเอาเองว่า
มันเป็นคำส่อเสียด คุณผิดแล้วครับ พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์
ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ให้ดับเหตุแห่งทุกข์

คุณลองพิจารณาให้ดีว่า ต้นสายปลายเหตุของคำว่า ส่อเสียดมันมาจากไหน
คุณเป็นคนเริ่มกล่าวถึงผมในทางอกุศล หาว่าผมเป็น"จรเข้ขวางคลองไม่เกิดประโยชน์"
นี่แหล่ะครับ ต้นเหตุของคำว่าส่อเสียด
ส่วนคำว่า "สัมภเวสี" มันเป็นผลมาจาก คำส่อเสียดของคุณ ที่ว่าคนอื่นเป็น
"จรเข้ขวางคลองไร้ประโยชน์"

คุณจขกทครับ ถ้าคุณรู้จักการทำวิปัสนากรรมฐาน ดูลงไปที่กายใจตนเอง
คุณจะเห็นตัวทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ของคุณครับ ตัวทุกข์ก็คือ "สัมภเวสี"ที่คุณได้ยินมา
แล้วเอามาปรุงแต่ง ส่วนเหตุแห่งทุกข์มันก็คือ คำกล่าวหาคนอื่นเป็น"จรเข้ขวางคลอง"


คุณฟังผมอธิบายแล้วหวังว่า คงเข้าใจที่พระพุทธองค์
จะดับทุกข์ ต้องดับที่เหตุ คุณพอเห็นหรือยังว่า ใครมันเป็นเหตุแห่งทุกข์
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b55: เขียน:
บัญญัติ ก็เป็นปัจจัยแก่ นาม ค่ะ

ก็คิดแบบนี้ไงเลยเข้าใจว่า
:b55: เขียน:
สั ม ภ เ ว สี

ผู้ที่ไม่ใช่สัมภเวสีในวัฏสงสารนี้คือ พระอรหันต์เท่านั้น
นอกนั้นไม่ว่าจะกำลังเกิดอยู่ในภพชาติใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่
จะกายหยาบกายละเอียด หรือไม่มีกายเลย ก็ไม่เว้น
เพราะยังเป็นผู้ที่ต้องแสวงหาที่เกิดอยู่ คือ ยังต้องเกิดอยู่
ดังนั้น เวลาเอ่ยปากเสียดสีผู้หนึ่งผู้ใด ก็ให้เข้าใจว่า
คำๆ นี้ ก็ไม่พ้นตนเองเช่นกัน ............"สัมภเวสี" s005

Onion_R มีผู้เข้าใจผิดกันอยู่มากว่า
ขณะนี้เรากำลังเกิดอยู่ กำลังเป็นมนุษย์อยู่ ไม่ได้แสวงหาที่เกิดแล้ว
ณ ขณะนี้ ขอบอกว่าไม่เกี่ยว เพราะเราก็ยังต้องตายแล้วเกิดอีกต่อไป
ดังนั้น มนุษย์ก็คือสัมภเวสี เพราะมนุษย์ก็ยังต้องแสวงหาที่เกิดต่อไปอีก
ไม่ใช่ว่าเป็นอรหันต์แล้ว ถึงไม่ต้องแสวงหาที่เกิดค่ะ :b53: :b53: :b53:

ไม่อยากบอกว่าสอน เอาเป็นว่าแนะนำดีกว่า การจะตั้งบัญญัติขึ้นมาสักคำ
เขาต้องพิจารณาจาก อาการความเป็นมาเป็นไปของสิ่งนั้น

อย่างในพระธรรมก็เช่นกัน การจะมีสมมุติสัจจะหรือสมมุติบัญญัติ เราจะต้อง
ยึดหลักของสภาวะธรรมที่เรียกว่า ปรมัตถ์ธรรม

มันไม่ใช่นึกจะตั้งบัญญัติอะไรขึ้นมา แล้วก็ไปทำให้สภาวะธรรมให้ตรงกับบัญญัติ
เขามีแต่มีเหตุจึงมีผล นี่อะไรมีผลอยู่แล้วบอกให้ไปสร้างเหตุของผลอันนี้
จขกทพูดจาไม่มีแก่นสาร พูดกลับตาลปัตร


แล้วเรื่องสัมภเวสี บอกว่าพวกเราก็เป็น สัมภเวสี เพราะพวกเราแสวงหาที่เกิด
คุณจขกทแน่ใจแล้วนะครับว่า คุณจะเอาความหมายที่ว่า
"สัมภเวสี คือผู้ แสวงหาที่เกิด" ถ้าผมแย้งไปก็อย่าพยายามเบียงตัวเบียนข้างฝานะครับ


ผมถามหน่อยครับ ชาวพุทธที่เข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
และรู้จุดมุ่งหมายที่พระพุทธเจ้าบอก มันมีชาวพุทธที่ไหนไปแสวงหาที่เกิดกันครับ
ผมว่ามีแต่คุณล่ะมั้ง


สิ่งที่ชาวพุทธแสวงหาไม่ใช่ที่เกิดครับ แต่เป็นการดับแห่งภพ
ไม่ต้องมาเกิดครับ


แต่ถ้าจขกทจะบอกว่า ตัวเองเป็นสัมภเวสีมันก็ไม่ผิดครับ
เพราะใช่ว่าชาวพุทธทุกคนจะเข้าใจ จุดมุ่งหมายของพระธรรม
มันก็มีบ้างที่ยังมีโมหะยังหลงอยากไปสวรรค์ อยากเกิดเป็นโน้นเป็นนี่
ถ้าอย่างไรก็ขอให้จขกทได้เกิดเป็นนายกหญิงคนที่สองก็แล้วกันครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


มองผ่านๆ ไม่อ่านนะคะ
จัดเต็มเลยค่ะ
จะได้สบายใจ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
:b55: เขียน:
สั ม ภ เ ว สี

ผู้ที่ไม่ใช่สัมภเวสีในวัฏสงสารนี้คือ พระอรหันต์เท่านั้น
นอกนั้นไม่ว่าจะกำลังเกิดอยู่ในภพชาติใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่
จะกายหยาบกายละเอียด หรือไม่มีกายเลย ก็ไม่เว้น
เพราะยังเป็นผู้ที่ต้องแสวงหาที่เกิดอยู่ คือ ยังต้องเกิดอยู่
ดังนั้น เวลาเอ่ยปากเสียดสีผู้หนึ่งผู้ใด ก็ให้เข้าใจว่า
คำๆ นี้ ก็ไม่พ้นตนเองเช่นกัน ............"สัมภเวสี" s005:

สงสัยจขกทเอาเหตุมาจากกระทู้อื่น ซึ่งเป็นความเห็นระหว่างจขกทกับผม
ถ้างั้นผมต้องทำความเข้าใจในประเด็นนี้ก่อน แล้วค่อยอธิบายที่มาของ
สัมภเวสีให้ฟังครับ เพราะผมเห็นว่าคุณไปเอาคำอธิบายที่คลาดเคลื่อนกับพระธรรมมาโชว์
ดูสิ่งที่ผมเอามาอ้างอิงแล้วก็ฟังคำอธิบายนะครับ มันแฝงด้วยคำสอนของพระพุทธองค์
โฮฮับ เขียน:
:b55: เขียน:
คุณโฮ คุณนี่อ่อนจริงๆ
ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองไปวันๆ.....ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับการเข้ามาในเวปธรรม
หากเข้ามาหาประโยชน์จริงๆ อาการของคุณจะไม่เป็นเช่นนี้ เพราะดูตามความเก่าแล้ว
คุณก็วนเวียนอยู่เวปนี้มานาน

ถ้าไม่ขวางคลอง ทำแบบคุณเกิดชาติหน้าต้องพิกลพิการจะให้โทษใคร
ผมวนเวียนอยู่ในเว็บนี้มานาน เปรียบก็เหมือนเทพมีที่สิงสถิตย์ครับ
แต่พวกไปๆมาๆนี่จะเรียกอะไรดี สัมมเวสีหรือวิญญาณไม่มีศาล พอได้มั้ยครับ :b13:

คุณจขกทครับ คุณฟังคำพูดของผมที่ผมกล่าวถึงสัมภเวสีแล้ว คุณก็ไปสรุปเอาเองว่า
มันเป็นคำส่อเสียด คุณผิดแล้วครับ พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์
ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ให้ดับเหตุแห่งทุกข์

คุณลองพิจารณาให้ดีว่า ต้นสายปลายเหตุของคำว่า ส่อเสียดมันมาจากไหน
คุณเป็นคนเริ่มกล่าวถึงผมในทางอกุศล หาว่าผมเป็น"จรเข้ขวางคลองไม่เกิดประโยชน์"
นี่แหล่ะครับ ต้นเหตุของคำว่าส่อเสียด
ส่วนคำว่า "สัมภเวสี" มันเป็นผลมาจาก คำส่อเสียดของคุณ ที่ว่าคนอื่นเป็น
"จรเข้ขวางคลองไร้ประโยชน์"

คุณจขกทครับ ถ้าคุณรู้จักการทำวิปัสนากรรมฐาน ดูลงไปที่กายใจตนเอง
คุณจะเห็นตัวทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ของคุณครับ ตัวทุกข์ก็คือ "สัมภเวสี"ที่คุณได้ยินมา
แล้วเอามาปรุงแต่ง ส่วนเหตุแห่งทุกข์มันก็คือ คำกล่าวหาคนอื่นเป็น"จรเข้ขวางคลอง"


คุณฟังผมอธิบายแล้วหวังว่า คงเข้าใจที่พระพุทธองค์
จะดับทุกข์ ต้องดับที่เหตุ คุณพอเห็นหรือยังว่า ใครมันเป็นเหตุแห่งทุกข์
:b13:


เอาอีกแล้วโฮฮับ ร้อนตัวตลอด ใครเขาตั้งกระทู้อะไรที่ไม่ตรงจริตของตัวเองก็ไปหาว่าเขาพาดพิง
เสียดสี นี่แหละสัมภเวสีของแท้

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 13:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 191


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็เคยได้รู้มาพระท่านสอนว่า คนเรามันโง่ มันถึงได้เกิด ท่านก็บอกว่า ท่านก็โง่เหมือนกันที่เกิด ท่านก็เลยแสวงหา การไม่เกิดอีก รู้สึกว่า ท่านน่าจะสมปรารถนาแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
ผมก็เคยได้รู้มาพระท่านสอนว่า คนเรามันโง่ มันถึงได้เกิด ท่านก็บอกว่า ท่านก็โง่เหมือนกันที่เกิด ท่านก็เลยแสวงหา การไม่เกิดอีก รู้สึกว่า ท่านน่าจะสมปรารถนาแล้ว


tongue
ดิฉันเองก็ยังโง่อยู่เหมือนกัน ไม่ได้หายโง่กันง่ายๆ ค่ะ ก็ยังต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป
หากว่าได้ไปเกิดในสุคติภูมิก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่สัตว์จะเป็นเกิดกันแต่ทุคติภูมิ
เสียส่วนมาก อย่างที่เราเคยอ่านเรื่องเต่าตาบอดกับแอกที่ลอยในทะเล
เรื่องที่อุปมาของเต่าตาบอดนี้ บอกให้เรารู้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากมาก
การเกิดในสุคติภูมิเป็นเรื่องที่ยาก ทุคติภูมิเหมือนบ้านเก่าของเรา ไปไหนๆ มาจนทั่ว
ก็ไม่วายที่จะต้องกลับบ้าน ไม่อยากจะกลับบ้าน แต่ก็ยังมีเหตุให้ต้องกลับบ้าน หนีพ้นยาก
หากยังต้องเกิดอีกต่อไป ไม่มีใครรับประกันได้ว่า เราจะไม่ต้องไปทุคติภูมิ
เป็นพระโสดาบันเมื่อไหร่เมื่อนั้น หมดสิทธิ์กลับบ้านเก่าค่ะ

แล้วเราก็เคยเกิดมากันแล้วนับชาติไม่ถ้วน เรียกว่าถ้านำกระดูกที่เราเคยตายมาแล้ว
มาป่นเป็นผง โปรยไปทั่วปฐพีบนโลกใบนี้ได้ทั่วทุกแห่ง เราเกิดมามากถึงขนาดนี้แล้วค่ะ

หากมีผู้ใดพ้นไปจากวัฏสงสารนี้ได้จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ :b51:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำนินทา เสียดสีใด ๆ จะไม่มีโทษเลย
ถ้าผู้ถูกนินทา ถูกเสียดสี ไม่รับมาแล้วเอามาปรุงแต่งเพิ่มเติม .. :b12:

เหมือนกับ ...
มีผู้ยื่นสิ่งไม่ดี เป็นของสกปรกให้ ถ้าเราไม่รับก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่เมื่อรับมาแล้วจะไปโทษผู้ให้ก็ไม่ถูก ..

โทษตัวเองแหละดีที่สุด .. :b38: :b38: :b53:

:b1: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2013, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
คำนินทา เสียดสีใด ๆ จะไม่มีโทษเลย
ถ้าผู้ถูกนินทา ถูกเสียดสี ไม่รับมาแล้วเอามาปรุงแต่งเพิ่มเติม .. :b12:

เหมือนกับ ...
มีผู้ยื่นสิ่งไม่ดี เป็นของสกปรกให้ ถ้าเราไม่รับก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่เมื่อรับมาแล้วจะไปโทษผู้ให้ก็ไม่ถูก ..

โทษตัวเองแหละดีที่สุด .. :b38: :b38: :b53:

:b1: :b13:


ใช่ค่ะ

อ้อ.. กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อคุยความหมายของ คำว่าสัมภเวสี เพราะว่าผู้พูดส่วนใหญ่
จะเข้าใจความหมายผิดค่ะ แม้แต่เรื่องการเมืองก็นำคำว่า สัมภเวสีมาใช้กัน
แล้วก็ใช้ว่ากัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องขำๆ สำหรับดิฉันนะคะ เพราะดิฉันเห็นใครใช้คำนี้
เสียดสีกัน ว่ากัน ก็ขำๆ นะคะ

ดิฉันก็ว่าไปตามที่เนื้อหา เพราะไปดูในกูเกิ้ล ก็เห็นว่าตามกระทู้ที่ในกูเกิ้ล
ก็ว่าความหมายกันไม่ตรงกับพระอภิธรรม

ก็จึงนำมาทำกระทู้และเป็นคำที่กว้าง มีความหมายครอบคลุมได้ใน 31 ภูมิ
ก็เผื่อจะทำกระทู้อะไรไว้เรื่อยๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้สนใจอ่านก็เท่านั้น
ส่วนเรื่องจะขุ่นเคืองใครไม่ใช่ประเด็น เพราะเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง แค่นี้เฉยๆ ค่ะ
สำหรับดิฉัน สบายใจได้ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แก้ไขล่าสุดโดย SOAMUSA เมื่อ 09 ม.ค. 2013, 16:27, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 165 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร