วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 01:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชา เป็น คู่แท้

เพราะ เขานี่แหละ ที่ทำให้อะไร ๆ โผล่มาก็เป็น คู่เรา ไปเสียทั้งหมดเรย


:b6: :b6: :b6:

:b32: :b12: :b13: :b13: :b12: :b32:

"เราไม่จำเป็นต้องมีคู่(คน)ก็ได้นะ แต่การมีกัลยาณมิตร
เป็นสิ่งที่ดี และเป็นสิ่งจำเป็น... :b4: ...."


:b51: :b54: :b54: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


แล้วคนที่โดนตอน เช่นขันที เป็นต้น
ไม่ทราบยังมีอารมณ์ หรือไม่

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 23:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
แล้วคนที่โดนตอน เช่นขันที เป็นต้น
ไม่ทราบยังมีอารมณ์ หรือไม่


อารมณ์ทางเพศ มันปรากฎ ครอบคลุมถึงอวัยวะร่างกายส่วนไหนบ้างล่ะ

ดังนั้น ขาดส่วนหนึ่งไป
มันก็แค่ขาดส่วนหนึ่งไป

:b12: ..ส่วนอื่นยังมี.. :b12:

ไม่ใช่เหย๋อ.. :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โชคดีแท้....ที่ไม่มีคู่กรรมโผล่มาให้ปวดเฮ้ด.. :b17: :b17: :b17:

อิอิ ... เคยอ่านผ่านกระทู้ท่านโอ๊บ ๆ กระทู้หนึ่ง ความว่า
"ได้พบว่าที่แม่ยาย .. " ประมาณนี้ หรือว่า .. เราจำผิดหว๋า ..
:b32: :b9:
eragon_joe เขียน:
ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของสัตว์ที่แข็งแรง
ฮอร์โมนในด้านการเจริญพันธ์มันก็สูบฉีดดี ... หงิ่ ... :b13: :b4:

ดึ๋งดั๋ง ๆ .. :b9: :b9:
nongkong เขียน:
อ้าวสรุปกระทู้นี้มีแต่คนไม่มีเนื้อคู่ :b17:

ฮิ้ววว .. :b32:

:b20: :b20:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 16:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
อิอิ ... เคยอ่านผ่านกระทู้ท่านโอ๊บ ๆ กระทู้หนึ่ง ความว่า
"ได้พบว่าที่แม่ยาย .. " ประมาณนี้ หรือว่า .. เราจำผิดหว๋า ..

ท่านวิริยะ จำไม่ผิดหรอก เพราะคุนน้องก็จำได้ คิกคิก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2013, 16:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เนื้อคู่ Vs พระปฏิบัติ

จากการศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ ล้วนแต่มีประสบการณ์เคยพบ “เนื้อคู่” ในอดีตทั้งนั้น ถ้าใจไม่แข็งพอ หรือไม่มีอุบาย ก็ต้องสึกหาลาเพศ ออกไปครองเรือน และก่อเวรต่อเนื่องกันไปอีก

ตัวอย่างเช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมภรณ์ จังหวัดสกลนคร ท่านต้องภาวนาอย่างเอาจริงเอาจังติดต่อกันถึง ๗ วัน จึงตัดขาดได้

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ท่านก็เจอคู่บารมีในอดีต เมื่อครั้งอยู่วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ต้องพิจารณาจนเห็นปัญหาที่จะต้องเผชิญในอนาคตอย่างชัดเจน จึงตัดใจได้

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา เมื่อครั้งท่านเป็นเณรใหญ่ อยู่ที่วัดปทุมวนา ราม กรุงเทพฯ เวลานั่งสมาธิ ก็เห็นแต่ใบหน้าของหญิงสาว เวลาบริกรรม ว่า พูทโธ ก็กลายเป็น ว่าชื่อผู้หญิงแทน ท่านจึงตัดสินใจ ใช้ชื่อผู้หญิงเป็นคำบริกรรมแทนคำว่า พุทโธ ก็ทำให้จิตสงบ เกิดสมาธิ ได้เหมือนกัน หลวงพ่อ จึงได้หลักว่า การภาวนา จะใช้คำบริกรรมอะไรก็ได้ เป็นอุบาย หาสิ่งให้ใจมันยึดเกาะ พอจิตสงบ คำบริกรรมนั้น ก็หายไป

ตัวอย่างจาก หลวงปู่ชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี เวลาภาวนา จิตท่านวิตกเกี่ยวกับ เรื่องกาม ท่านก็แก้ได้โดยยกอวัยวะเพศของผู้หญิงขึ้นมาพิจารณา ในสมาธิ พิจารณาให้เห็นธรรมชาติอย่างชัดเจน จึงสามารถตัดขาดได้ คือตัดได้ด้วยปัญญาที่รู้เท่าทัน

มีตัวอย่างจากครูบาอาจารย์ องค์อื่นๆ ให้เห็นอีกมากมาย เราสามารถยกขึ้นมาพิจารณา เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี

ครูบาอาจารย์บางท่าน จะมีสุภาพสตรีมายุ่งเกี่ยว มาจัดการต่างๆ ในวัด ดูไม่เป็นที่สบอัธยาศัย ของพระเณร และญาติโยมคนอื่นๆ แต่ครูอาจารย์ท่าน ก็ทนได้ ตราบที่ไม่เป็นการล่วงวินัย เช่นนี้ ก็มี

ครูบาอาจารย์บางองค์ บางท่าน ต้องพังไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเอาเรื่องอดีตชาติมาพัวพัน ตัดไม่ขาด เช่น มีมเหสีเอก มเหสีรองๆ ตามมา คอยรับใช้ปรนนิบัติ และตามกีดกันหึงหวง อย่างนี้ก็มี

ตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้ ถ้านำมาพิจารณา ก็สามารถใช้เป็นอุปกรณ์เตือนใจตนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพระเณรผู้มุ่งหวังผลในทางธรรมอย่างจริงจัง ต้องสังวรณ์เรื่องดังกล่าวให้มากเป็นพิเศษ


http://www.dharma-gateway.com/monk/monk ... st-006.htm


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2013, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


grin
กระทู้นี้ ดันๆ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2013, 17:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: :b14: :b14:

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2013, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
จากการศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ ล้วนแต่มีประสบการณ์เคยพบ “เนื้อคู่” ในอดีตทั้งนั้น ถ้าใจไม่แข็งพอ หรือไม่มีอุบาย ก็ต้องสึกหาลาเพศ ออกไปครองเรือน และก่อเวรต่อเนื่องกันไปอีก

กามคุณ กามราคะ เป็นของคู่กับสัตว์โลก
เช่นเดียวกับผู้หญิงและผู้ชาย ย่อมอยู่คู่กัน

พระสาวก พระอริยเจ้าทั้งหลาย ทั้งหญิงชาย
ล้วนต้องผ่าน กามราคะนี้ด้วยกันทั้งสิ้น .. :b1:

แม้พระโพธิสัตว์ ก็ต้องอาศัยเนื้อคู่หรือคู่ครองนี้
จนชาติสุดท้ายเช่นกัน จึงตรัสรู้ได้ .. :b8:

กามราคะนี้มีทั้งคุณและโทษ แล้วแต่ใครจะมองมุมไหน ..

ข้าน้อยก็ยังไปไม่พ้นดอก ..อิอิ
:b32:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2013, 22:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลสกามจะดับไปตามเหตุปัจจัยตามมรรคจิตนั้นๆ อย่าไปพยายามกำจัดด้วยความไม่รู้เลย จะยิ่งเป็นการเพิ่มกิเลสด้วยความไม่รู้ตัว การปฎิบัติศิล(5) สมาธิ(ให้ได้ฌานยิ่งดี) ปัญญา(มีความรู้เท่าทันความเป็นจริง) การเสพกามนั้นเพศฆราวาสเสพได้ แต่ขอให้เห็นโทษมัน เปรียบพระสูตรอยู่สูตรหนึ่ง ที่ท่านปรียบว่า เหมือน อุปมาสมณพราหมณ์กับฝูงเนื้อ
[๓๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า เนื้อป่าที่ติดบ่วงนอนทับกองบ่วง พึงทราบ
ว่า เป็นสัตว์ที่ถึงความเสื่อมความพินาศ ถูกพรานกระทำได้ตามต้องการ เมื่อพรานเดินเข้ามา
ก็หนีไปไม่ได้ ตามปรารถนา ฉันใด สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ใฝ่ฝัน ลุ่มหลง ติดพัน
ไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาที่จะคิดนำตนออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้ สมณพราหมณ์พวกนั้น.
บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้ถึงความเสื่อมความพินาศ ถูกมารผู้ใจบาปกระทำได้ตามต้องการ ฉันนั้น

สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งไม่ใฝ่ฝัน ไม่ลุ่มหลง ไม่ติดพัน เห็นโทษ มีปัญญาที่จะคิดนำตน
ออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้ สมณพราหมณ์พวกนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้ไม่ถึงความ
เสื่อมความพินาศไม่ถูกมารผู้ใจบาปกระทำได้ตามต้องการ. เหมือนอย่างว่า เนื้อป่าที่ไม่ติดบ่วง นอน
ทับกองบ่วง
พึงทราบว่า เป็นสัตว์ไม่ถึงความเสื่อมความพินาศ ไม่ถูกพรานกระทำได้ตามต้องการ
เมื่อพรานเดินเข้ามา ก็หนีไปตามปรารถนา ฉันใด สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งไม่ใฝ่ฝัน
ไม่ลุ่มหลง ไม่ติดพัน เห็นโทษ มีปัญญาที่จะคิดนำตนออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2013, 16:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 09:13
โพสต์: 73


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นส่วนตัว
ธรรมกับกิเลส เป็นของแก้กัน อยู่ร่วมกันไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2013, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
ยังไม่พ้น เขียน:
ความเห็นส่วนตัว
ธรรมกับกิเลส เป็นของแก้กัน อยู่ร่วมกันไม่ได้

:b12:
...นอกตำราธรรมกับกิเลสแย่งกันอยู่ที่ไหนน๊า...
...ติ๊กตอก ติ๊กตอก ติ๊กตอก...คำตอบก็คือจิต...
...กิเลสเค้าอยู่ที่ใจมานาน...ธรรมมาทีหลัง...
...มาทีหลังดังกว่าถ้าเมื่อไหร่ธรรมครองใจได้...
:b4: :b4:
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2013, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


“ภิกษุทั้งหลาย กามคุณเหล่านี้มี ๕ อย่าง ห้าอย่างเป็นอย่างไรเล่า ?
ห้าอย่างคือ รูปที่เห็นด้วยตา เสียงที่ฟังด้วยหู...กลิ่นที่ดมด้วยจมูก...
รสที่ลิ้มด้วยลิ้น...และโผฏฐัพพะที่สัมผัสด้วยผิวกาย อันเป็นสิ่งที่น่า
ปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่
แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ภิกษุทั้งหลาย กามคุณมี ๕
อย่างเหล่านี้แล

ภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใด จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม
ติดอกติดใจ สยบอยู่ เมาหมกอยู่ ในกามคุณ ๕ อย่าง เหล่านี้แล้ว
ไม่มองเห็นส่วนที่เป็นโทษ ไม่เป็นผู้รู้แจ่มแจ้งในอุบายเป็นเครื่อง
ออกจากทุกข์ ทำการบริโภคกามคุณทั้ง ๕ นั้นอยู่ ชนเหล่านั้น
อันคนทั้งหลายพึงเข้าใจเถิดว่า เป็นผู้ถึงความพินาศย่อยยับ แล้ว
แต่มารผู้มีบาปต้องการจะทำตามอำเภอใจอย่างใด ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย เปรียบได้ดั่ง เนื้อป่าที่ติดบ่วง นอนจมอยู่ในกองบ่วง
ในลักษณะที่ใครๆ พึงเข้าใจได้ว่า มันจะถึงซึ่งความพินาศย่อยยับ
เป็นไปตามประสงค์ของพรานทุกประการ เมื่อพรานมาถึงเข้า มันจะ
หนีไปไหนไม่พ้นเลย ดังนี้ ฉันใดก็ฉันนั้น

ภิกษุทั้งหลาย ส่วนชนเหล่าใด จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็
ตาม ไม่ติดใจ ไม่สยบอยู่ ไม่เมาหมกอยู่ ในกามคุณ ๕ เหล่านี้แล้ว
มองเห็นสิ่งที่เป็นโทษอยู่ เป็นผู้รู้แจ่มแจ้งในอุบายเป็นเครื่องออกไป
จากทุกข์ บริโภคกามคุณ ทั้ง ๕ นั้นอยู่ ชนเหล่านั้น อันคนทั้งหลายพึง
เข้าใจได้อย่างนี้ว่า เป็นผู้ไม่ถึงความพินาศย่อยยับ ตามความประสงค์
ของมารผู้มีบาปแต่อย่างใด ดังนี้ ภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนเนื้อป่า
ตัวที่ไม่ติดบ่วง แม้นอนจมอยู่บนกองบ่วง มันก็เป็นสัตว์ที่ใครๆ พึงเข้าใจ
ได้ว่า เป็นสัตว์ที่ไม่ถึงความพินาศย่อยยับไปตามความประสงค์ของพราน
แต่อย่างใด เมื่อพรานมาถึงเข้า มันจะหลีกหนีไปได้ตามที่ต้องการ ดังนี้
ฉันใดก็ฉันนั้น

ภิกษุทั้งหลาย (อีกอย่างหนึ่ง) เปรียบเหมือนเนื้อป่า เที่ยวไปในป่ากว้าง
เดินอยู่ก็สง่างาม ยืนอยู่ก็สง่างาม หมอบอยู่ก็สง่างาม นอนอยู่ก็สง่างาม
เพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุว่า เนื้อป่านั้นยัง ไม่มาสู่คลอง
แห่งจักษุของพราน ข้อนี้ฉันใดภิกษุทั้งหลายเข้าถึงซึ่งปฐมฌาน อันมี
วิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้
เรากล่าวว่า ได้ทำมารให้เป็นผู้ตาบอดไม่มีร่องรอย กำจัดเสียแล้วซึ่งจักษุ
แห่งมาร ไปแล้วสู่ที่ที่มารผู้มีบาปมองไม่เห็น

(ต่อไปนี้ได้ตรัสถึงการบรรลุ ทุติยฌาน – ตติยฌาน – จตุตถฌาน – อากา
สานัญจายตนะ – วิญญาณัญจายตนะ – อากิญจัญญายตนะ - เนวสัญญา
นา สัญญายตนะ โดยนัยเดียวกันกับการบรรลุปฐมฌาน เป็นลำดับไป จน
กระทั่งถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ โดยข้อความสืบต่อไปว่า)

ภิกษุทั้งหลาย ยิ่งไปกว่านั้นอีกภิกษุก้าวล่วงเนวสัญญานา สัญญายตนะ
โดยประการทั้งปวง เข้าถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วแล อยู่อนึ่งเพราะ
เห็นแล้วด้วยปัญญา อาสวะทั้งหลายของเธอก็สิ้นไปรอบ ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนี้เรากล่าวว่าได้ทำมารให้เป็นผู้ตาบอดไม่มีร่องรอย กำจัดเสียแล้ว
ซึ่งจักษุแห่งมารไปแล้วสู่ที่ซึ่งมารผู้มีบาปมองไม่เห็น ได้ข้ามแล้วซึ่ง
ตัณหาในโลก ภิกษุนั้นยืนอยู่ก็สง่างาม เดินอยู่ก็สง่างาม นั่งอยู่ก็สง่างาม
นอนอยู่ก็สง่างาม เพราะเหตุใดเล่า ภิกษุทั้งหลายเพราะเหตุว่าภิกษุนั้น
ไม่ได้มาสู่คลองแห่งอำนาจของมารผู้มีบาปดังนี้แล”

:b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

ผู้ใด รู้สำรวมจิตที่ไปไกล เที่ยวไปดวงเดียวไม่มีรูปร่าง
มีถ้ำคือกายเป็นที่อาศัย ผู้นั้นจะพ้นจากเครื่องผูกของมารได้


:b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

ผู้เป็นทาสวิตกจริต มีจิตกำหนัดยินดี ติดอยู่ในสิ่งที่สวยงาม
มีแต่จะพอกความอยากหนา กระชับเครื่องพันธนาการให้แน่นเข้า


:b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

เหล่าสัตว์ ติดกับตัณหา กระเสือกกระสน ดุจกระต่ายติดบ่วง
ฉะนั้น ภิกษุเมื่อหวังให้กิเลสจางคลาย ก็พึงทำลายตัณหาเสีย

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 18:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 09:36
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อารมณ์ทางเพศ ตั้งอยู่บนตัญหา โลภะ โทสะ และโมหะ .....และการปฎิบัติธรรม ทำไปเพื่อ อะไร? ถ้าคำตอบคือ ทำไปเพื่อ ลด ละ เิลิก ตัญหา โลภะ โทสะ และโมหะ... คำตอบมันก็บ่งบอกอยู่แล้ว ครับ .....

การปฎิบัติธรรม ในนิยามของผม คือ การแยก จิตวิญญาณ ออกจากจิตใจ แยกจิตใจ ออกจากความรู้สึก แยกความรู้สึกออกจากกาย ....การแยก ใช้ปัญญาธรรมในการแยก ครับ ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2013, 23:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว่า สัญชาติญาณในทางเพศนั้นไม่หมดไปทันทีที่สิ้นกามราคะ
แต่ความต้องการทางเพศนั้นหมดสิ้นไปได้ในทันที

ส่วนสัญชาติญาณในทางเพศที่ยังคงมี จะค่อยๆเย็นลงไป ตามวันเวลาโดยไม่ต้องละ
เป็นการคงอยู่ที่เยือกเย็น ที่ไม่นึกถึง และคิดถึงมันอีกเลย เมื่อผ่านช่วงเวลามาสักช่วง

อันนี้แค่ความคิด ส่วนตัว

onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 121 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร