ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=44011 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | พุทธวจน บางบัวทอง [ 07 ธ.ค. 2012, 13:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท เพราะอาศัยตัณหา (ความอยาก) จึงมี การแสวงหา (ปริเยสนา); เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมี การได้ (ลาโภ); เพราะอาศัยการได้ จึงมี ความปลงใจรัก (วินิจฺฉโย); เพราะอาศัยความปลงใจรัก จึงมี ความกำหนัดด้วย ความพอใจ (ฉนฺทราโค); เพราะอาศัยความกำหนัดด้วยความพอใจ จึงมี ความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ); เพราะอาศัยความสยบมัวเมา จึงมี ความจับอกจับใจ (ปริคฺคโห); เพราะอาศัยความจับอกจับใจ จึงมี ความตระหนี่ (มจฺจริยํ); เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงมี การหวงกั้น (อารกฺโข); เพราะอาศัยการหวงกั้น จึงมี เรื่องราวอันเกิดจาก การหวงกั้น (อารกฺขาธิกรณํ); กล่าวคือ การใช้อาวุธไม่มีคม การใช้อาวุธมีคม การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวคำหยาบว่า “มึง ! มึง !” การพูดคำส่อเสียด และ การพูดเท็จ ทั้งหลาย : ธรรมอันเป็นบาปอกุศลเป็นอเนก ย่อมเกิดขึ้นพร้อม ด้วยอาการอย่างนี้. มหา. ที. ๑๐/๖๗/๕๘. |
เจ้าของ: | asoka [ 07 ธ.ค. 2012, 20:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
![]() ผมว่า...."ความเห็นต่าง".......(ทิฐิ).....มากกว่า....ที่จะเป็นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทนะครับ ![]() ดูตัวอย่างการเมืองเมืองไทยนี้ หรือการเมืองของประเทศต่างๆทั่วโลกก็ได้นะครับ....เพราะเห็นต่างจึงแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เป็นพรรค เป็นสี เป็นพวก เป็นกลุ่ม เป็นลัทธิ เป็นนิกาาย กันไม่รู้จบ ![]() |
เจ้าของ: | พุทธวจน บางบัวทอง [ 10 ธ.ค. 2012, 11:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
asoka เขียน: :b16: ผมว่า...."ความเห็นต่าง".......(ทิฐิ).....มากกว่า....ที่จะเป็นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทนะครับ ![]() ดูตัวอย่างการเมืองเมืองไทยนี้ หรือการเมืองของประเทศต่างๆทั่วโลกก็ได้นะครับ....เพราะเห็นต่างจึงแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เป็นพรรค เป็นสี เป็นพวก เป็นกลุ่ม เป็นลัทธิ เป็นนิกาาย กันไม่รู้จบ ![]() *** คงไม่ใช่ครับ เพราะนี่คือ คำกล่าวของพระศาสดาครับ ถ้าใครเห็นต่างก็แสดงว่า มีความเห็นคัดง้างพระศาสดา ซึ่งเป็นผู้บัญญัติคำสอน... |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 10 ธ.ค. 2012, 12:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
asoka เขียน: :b16: ผมว่า...."ความเห็นต่าง".......(ทิฐิ).....มากกว่า....ที่จะเป็นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทนะครับ ![]() ดูตัวอย่างการเมืองเมืองไทยนี้ หรือการเมืองของประเทศต่างๆทั่วโลกก็ได้นะครับ....เพราะเห็นต่างจึงแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เป็นพรรค เป็นสี เป็นพวก เป็นกลุ่ม เป็นลัทธิ เป็นนิกาาย กันไม่รู้จบ ![]() ความเห็นต่าง....มันก็มีเหตุ... เหตุ....ก็คือ...คิดว่า...ความเห็นนั้น...มันดี ในโลกนี้...อะไรละดี... ลาภ....ยศ....สรรเสริญ....สุข ปุถุชน...จะเห็นสิ่งเหล่านี้..ดีได้...ต้องปรากฎแก่ใคร... ปรากฎแก่...เรา...ตัวเรา....แม้จะอยากให้เกิดมีแก่คนรอบข้าง...ก็ล้วนเพื่อความสุขของตนในท้ายสุด...ทั้งนั้น ความปราถณาใน ลาภ...ยศ...สรรเสริญ....สุข....เป็น...ตัณหา ความคิดความเห็นต่าง ๆ นานา...ก็เพื่อให้ได้มาเพื่อสิ่งเหล่านี้....เมื่อมีใครเห็นต่าง...จึงเกิดความขัดแย้ง...เมื่อมีความขัดแย้งมากขึ้น...จนกระทั้งสิ่งที่คิดอยากได้...มันจะไม่ได้อย่างใจ...จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกัน ความคิดความเห็นต่าง ๆ นานาเหล่านี้....จึงล้วนแต่มีตัณหา..เป็นเหตุ การทะเลาะวิวาทเพราะมีตัณหาเป็นเหตุ.....จึงไม่ผิดแม้แต่น้อยเลย |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 10 ธ.ค. 2012, 13:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
ไปเจอพระสูตรที่แปลก Quote Tipitaka: กลหวิวาทสูตรที่ ๑๑ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า [๔๑๘] ความทะเลาะ ความวิวาท ความร่ำไร ความเศร้าโศก กับ ทั้งความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่นผู้อื่น และทั้งคำ ส่อเสียด เกิดจากอะไร ธรรมเครื่องเศร้าหมองเหล่านั้นเกิด จากอะไร ขอเชิญพระองค์จงตรัสบอกเนื้อความที่ข้าพระองค์ ถามนั้นเถิด ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ความทะเลาะ ความวิวาท ความร่ำไร ความเศร้าโศก กับ ทั้งความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่นผู้อื่น และทั้งคำ ส่อเสียด เกิดจากของที่รัก ความทะเลาะ ความวิวาท ประกอบเข้าแล้วด้วยความตระหนี่ ก็เมื่อความวิวาทเกิดแล้ว คำส่อเสียดย่อมเกิด ฯ พระพุทธนิมิตตรัสถามต่อไปว่า ความรักในโลกเล่ามีอะไรเป็นเหตุ แม้อนึ่ง ชนเหล่าใดมี กษัตริย์เป็นต้น มีความโลภ เที่ยวไปในโลก ความโลภของ ชนมีกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น มีอะไรเป็นเหตุ ความหวังและ ความสำเร็จของนรชนซึ่งมีในสัมปรายภพมีอะไรเป็นเหตุ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ความรักในโลกมีความพอใจเป็นเหตุ แม้อนึ่ง ชนเหล่าใดมี กษัตริย์เป็นต้น มีความโลภเที่ยวไปในโลก ความโลภของ ชนมีกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น มีความพอใจเป็นเหตุ ความ หวังและความสำเร็จของนรชน ซึ่งมีในสัมปรายภพ มีความ พอใจนี้เป็นเหตุ ฯ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า ความพอใจในโลกเล่ามีอะไรเป็นเหตุ แม้การวินิจฉัย คือ ตัณหาและทิฐิก็ดี ความโกรธ โทษแห่งการกล่าวมุสา และ ความสงสัยก็ดี ที่พระสมณะตรัสแล้ว เกิดจากอะไร ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวสุขเวทนาและทุกขเวทนาใดว่า เป็น ความยินดีและความไม่ยินดีในโลก ความพอใจย่อมเกิด เพราะอาศัยสุขเวทนาและทุกขเวทนานั้น สัตว์ในโลก เห็น ความเสื่อมไปและความเกิดขึ้นในรูปทั้งหลายแล้ว ย่อม กระทำการวินิจฉัย ความโกรธ โทษแห่งการกล่าวมุสา และ ความสงสัยธรรมแม้เหล่านี้ เมื่อความยินดีและความไม่ยินดี ทั้งสองอย่างนั่นแหละมีอยู่ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ บุคคลผู้มีความ สงสัยพึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ ท่านผู้เป็นสมณะรู้แล้ว จึง กล่าวธรรมทั้งหลาย ฯ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า ความยินดีและความไม่ยินดี มีอะไรเป็นเหตุ เมื่อธรรมอะไร ไม่มี ธรรมเหล่านี้จึงไม่มี ขอพระองค์จงตรัสบอกอรรถ คือ ทั้งความเสื่อมไปและทั้งความเกิดขึ้น (แห่งความยินดีและ ความไม่ยินดี) นี้ว่า มีสิ่งใดเป็นเหตุแก่ข้าพระองค์เถิด ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ความยินดี ความไม่ยินดี มีผัสสะเป็นเหตุ เมื่อผัสสะไม่มี ธรรมเหล่านี้จึงไม่มี เราขอบอกอรรถ คือ ทั้งความเสื่อมไป และทั้งความเกิดขึ้นนี้ ว่ามีผัสสะนี้เป็นเหตุแก่ท่าน ฯ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า ผัสสะในโลกเล่า มีอะไรเป็นเหตุ อนึ่ง ความหวงแหนเกิด จากอะไร เมื่อธรรมอะไรไม่มี ความถือว่าสิ่งนี้เป็นของเราจึง ไม่มี เมื่อธรรมอะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่ถูกต้อง ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ผัสสะอาศัยนามและรูปจึงเกิดขึ้น ความหวงแหนมีความ ปรารถนาเป็นเหตุ เมื่อความปรารถนาไม่มี ความถือว่าสิ่งนี้ เป็นของเราจึงไม่มี เมื่อรูปไม่มี ผัสสะจึงไม่ถูกต้อง ฯ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า เมื่อบุคคลปฏิบัติอย่างไร รูปจึงไม่มี อนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี อย่างไรจึงไม่มี ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอาการที่รูปและสุข ทุกข์นี้ไม่มีแก่ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์มีใจดำริว่า เราควรรู้ ความข้อนั้น ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า บุคคลเป็นผู้ไม่มีสัญญาด้วยสัญญาเป็นปรกติ เป็นผู้ไม่มี สัญญาด้วยสัญญาอันผิดปรกติ เป็นผู้ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เป็น ผู้มีสัญญาว่าไม่มีก็มิใช่ เมื่อบุคคลปฏิบัติแล้วอย่างนี้ รูปจึง ไม่มี เพราะว่าธรรมเป็นส่วนแห่งความเนิ่นช้า มีสัญญา เป็นเหตุ ฯ พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า ข้าพระองค์ได้ถามความข้อใดกะพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรง แสดงความข้อนั้นแก่ข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ขอถามความ ข้ออื่นกะพระองค์ ขอเชิญพระองค์ตรัสบอกความข้อนั้นเถิด ก็สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตพวกหนึ่งในโลกนี้ ย่อมกล่าว ความบริสุทธิ์ของสัตว์ว่าเป็นยอดด้วยเหตุเพียงเท่านี้ หรือว่า ย่อมกล่าวความบริสุทธิ์อย่างอื่นอันยิ่งไปกว่ารูปสมาบัตินี้ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ก็สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยง พวกหนึ่ง (มีความถือตัวว่า) เป็นบัณฑิตในโลกนี้ ย่อมกล่าวอรูปสมาบัตินี้ว่า เป็นความ บริสุทธิ์ของสัตว์แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สมณพราหมณ์ผู้มี วาทะว่าขาดสูญพวกหนึ่ง เป็นผู้มีวาทะว่าตนเป็นคนฉลาดใน อนุปาทิเสสนิพพาน ย่อมโต้เถียงสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่า เที่ยงเหล่านั้นแหละ ส่วนท่านผู้เป็นมุนี รู้บุคคลเจ้าทิฐิเหล่า นั้นว่า เป็นผู้อาศัยสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิ ท่านผู้เป็นมุนีนั้น เป็นนักปราชญ์ พิจารณารู้ผู้อาศัยทิฐิทั้งหลายแล้ว รู้ธรรม โดยลักษณะมีความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์เป็นต้น หลุดพ้น แล้ว ย่อมไม่ทะเลาะวิวาทกับใคร ย่อมไม่มาเพื่อความเกิด บ่อยๆ ฯ จบกลหวิวาทสูตรที่ ๑๑ พระพุทธนิมติ คือ ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 10 ธ.ค. 2012, 20:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
![]() พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ก็สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยง พวกหนึ่ง (มีความถือตัวว่า) เป็นบัณฑิตในโลกนี้ ย่อมกล่าวอรูปสมาบัตินี้ว่า เป็นความ บริสุทธิ์ของสัตว์แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สมณพราหมณ์ผู้มี วาทะว่าขาดสูญพวกหนึ่ง เป็นผู้มีวาทะว่าตนเป็นคนฉลาดใน อนุปาทิเสสนิพพาน ย่อมโต้เถียงสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่า เที่ยงเหล่านั้นแหละ ส่วนท่านผู้เป็นมุนี รู้บุคคลเจ้าทิฐิเหล่า นั้นว่า เป็นผู้อาศัยสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิ ท่านผู้เป็นมุนีนั้น เป็นนักปราชญ์ พิจารณารู้ผู้อาศัยทิฐิทั้งหลายแล้ว รู้ธรรม โดยลักษณะมีความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์เป็นต้น หลุดพ้น แล้ว ย่อมไม่ทะเลาะวิวาทกับใคร ย่อมไม่มาเพื่อความเกิด บ่อยๆ ฯ จบกลหวิวาทสูตรที่ ๑๑ ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 11 ธ.ค. 2012, 02:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
พุทธวจน บางบัวทอง เขียน: asoka เขียน: :b16: ผมว่า...."ความเห็นต่าง".......(ทิฐิ).....มากกว่า....ที่จะเป็นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทนะครับ ![]() ดูตัวอย่างการเมืองเมืองไทยนี้ หรือการเมืองของประเทศต่างๆทั่วโลกก็ได้นะครับ....เพราะเห็นต่างจึงแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เป็นพรรค เป็นสี เป็นพวก เป็นกลุ่ม เป็นลัทธิ เป็นนิกาาย กันไม่รู้จบ ![]() *** คงไม่ใช่ครับ เพราะนี่คือ คำกล่าวของพระศาสดาครับ ถ้าใครเห็นต่างก็แสดงว่า มีความเห็นคัดง้างพระศาสดา ซึ่งเป็นผู้บัญญัติคำสอน... กรุณาอย่าเอาพระพุทธองค์มาอ้างในทำนองนี่เลยครับ มันไม่เหมาะไม่ควร ในเรื่องที่คุณบอกความเห็นของคุณโสกะ ไปคัดง้างความเห็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่หรอกครับ ผมเห็นว่า คุณโสกะตอบไปอย่างนั้น เขาเอามาจากความเห็นของคุณครับ ความหมายก็คือ คุณไม่มีปี่มีขลุ่ย คุณโสกะร้องลิเกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย วงเลยแตกครับ ![]() อันที่จริงการโพสพุทธพจน์โดยไม่มีสาเหตุ มันจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เสมอ คือ.....ไปไหนมาสามวาสองศอก คนสองคนเจอและทักทายกันด้วยคำที่ว่า "กินข้าวหรือยัง "อีกคนตอบว่า"จะไปตลาด" ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 11 ธ.ค. 2012, 02:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
asoka เขียน: onion พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ก็สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยง พวกหนึ่ง (มีความถือตัวว่า) เป็นบัณฑิตในโลกนี้ ย่อมกล่าวอรูปสมาบัตินี้ว่า เป็นความ บริสุทธิ์ของสัตว์แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สมณพราหมณ์ผู้มี วาทะว่าขาดสูญพวกหนึ่ง เป็นผู้มีวาทะว่าตนเป็นคนฉลาดใน อนุปาทิเสสนิพพาน ย่อมโต้เถียงสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่า เที่ยงเหล่านั้นแหละ ส่วนท่านผู้เป็นมุนี รู้บุคคลเจ้าทิฐิเหล่า นั้นว่า เป็นผู้อาศัยสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิ ท่านผู้เป็นมุนีนั้น เป็นนักปราชญ์ พิจารณารู้ผู้อาศัยทิฐิทั้งหลายแล้ว รู้ธรรม โดยลักษณะมีความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์เป็นต้น หลุดพ้น แล้ว ย่อมไม่ทะเลาะวิวาทกับใคร ย่อมไม่มาเพื่อความเกิด บ่อยๆ ฯ จบกลหวิวาทสูตรที่ ๑๑ ![]() ![]() ![]() ![]() กำลังหาเรื่องวิวาทกับเขาอยู่ยังมาทำเนียน แบบนี้เขาเรียกจิ๊กกาโล่ใส่สูท ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 11 ธ.ค. 2012, 13:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
พระพุทธนิมิต คือ อะไร ![]() |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 11 ธ.ค. 2012, 13:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
eragon_joe เขียน: พระพุทธนิมิต คือ อะไร ![]() ในช่วงที่พระองค์แสดงยมกปาฏิหารย์ .. มั้ง ที่พระองค์เนรมิตรพระพุทธเจ้าเป็นสองพระองค์ ถามตอบปัญหากันนะ .. พระพุทธเจ้า ๑ พระพุทธนิมิต ๑ อย่างนี้แหละ .. ใช่ม่ะ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 11 ธ.ค. 2012, 16:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
วิริยะ เขียน: eragon_joe เขียน: พระพุทธนิมิต คือ อะไร ![]() ในช่วงที่พระองค์แสดงยมกปาฏิหารย์ .. มั้ง ที่พระองค์เนรมิตรพระพุทธเจ้าเป็นสองพระองค์ ถามตอบปัญหากันนะ .. พระพุทธเจ้า ๑ พระพุทธนิมิต ๑ อย่างนี้แหละ .. ใช่ม่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 11 ธ.ค. 2012, 19:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความอยาก (ตัณหา) คือ ต้นเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท |
asoka เขียน: onion พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ก็สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยง พวกหนึ่ง (มีความถือตัวว่า) เป็นบัณฑิตในโลกนี้ ย่อมกล่าวอรูปสมาบัตินี้ว่า เป็นความ บริสุทธิ์ของสัตว์แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สมณพราหมณ์ผู้มี วาทะว่าขาดสูญพวกหนึ่ง เป็นผู้มีวาทะว่าตนเป็นคนฉลาดใน อนุปาทิเสสนิพพาน ย่อมโต้เถียงสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่า เที่ยงเหล่านั้นแหละ ส่วนท่านผู้เป็นมุนี รู้บุคคลเจ้าทิฐิเหล่า นั้นว่า เป็นผู้อาศัยสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิ ท่านผู้เป็นมุนีนั้น เป็นนักปราชญ์ พิจารณารู้ผู้อาศัยทิฐิทั้งหลายแล้ว รู้ธรรม โดยลักษณะมีความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์เป็นต้น หลุดพ้น แล้ว ย่อมไม่ทะเลาะวิวาทกับใคร ย่อมไม่มาเพื่อความเกิด บ่อยๆ ฯ จบกลหวิวาทสูตรที่ ๑๑ ![]() ![]() ![]() ![]() สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยง พวกหนึ่ง (มีความถือตัวว่า) สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าขาดสูญพวกหนึ่ง เป็นผู้มีวาทะว่าตนเป็นคนฉลาดใน อนุปาทิเสสนิพพาน ทั้ง 2 พวกนี้...เป็นผู้หมดตัณหา...แล้วรึยัง??? ![]() ![]() ![]() อะไรทำให้...คนที่มีทิฐิต่างกัน...หันมาทะเลาะกัน...ทำไมไม่เดินหนีกันไปซะในเมื่อรู้แล้วว่าเขาคิดไม่เหมือนเรา...อิอิ ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |