วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 17:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2012, 22:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ไว้เห็นมันจริงๆก่อนเถอะ มันจะลดลงเอง แล้ว จะไม่บ้าไปเชื่อมัน

:b8:
อยากเห็นทุกข์จังๆไมไปที่โรงพยาบาลไปที่ตึกอุบัติเหตุนะจะได้เห็นจังๆเลย จะได้เบื่อไวๆ วัฎฎะนะมันโหดร้ายสุดๆแล้ว โกยกันเถอะอย่าช้าเลย



กระผมว่า วัฏฏะ ภายในมันโหดร้ายกว่า น่า....

ความคิดเห็นส่วนจิตและตัว อิอิ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 02:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับจัง ลองบอกทุกข์ตามที่ตัวเองพูดถึงดิ ว่าปายยยยย :b1:

กองทุกข์ทั้งหมดทั้งมวล อยู่ในปฏิจจสมุบาท ถ้าเราเรียกชีวิตเป็นปฏิจจสมุบาท กองทุกข์ก็คือ
ชีวิตด้วยเช่นกัน

ทั้งปฏิจจสมุบาทหรือชีวิต มันมีเหตุปัจจัยหนื่งที่ทำให้เกิดทุกข์
นั้นก็คือ อุปาทานขันธ์

มีบางคนเข้าใจผิดคิดว่า ขันธ์ห้าคือชีวิต...ผิดครับ
ส่วนที่เป็นชีวิตหรือปฏิจจ์ เขาเรียกว่า อุปาทานขันธ์

อุปาทานขัน เป็นการรวมกันหรือเป็นปัจจัยร่วมระหว่าง อุปาทานในปฏิจจ์กับขันธ์ห้า
พระพุทธองค์สอนให้รู้การมีอยู่ของขันธ์ห้า ก็เพื่อให้แยกขันธ์ห้าออกมาจากปฏิจจ์
เมื่อแยกขันธ์ห้าออกมาจากปฏิจจ์แล้ว ปฏิจจ์หรือชีวิตก็เป็นส่วนหนึ่ง ขันธ์ห้าก็เป็นส่วนหนึ่ง

พอจะเรียกได้ว่า ปฏิจจ์หรือชีวิตเป็นทุกข์ ขันธ์ห้าเป็นผู้รู้ทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 03:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
bigtoo เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ไว้เห็นมันจริงๆก่อนเถอะ มันจะลดลงเอง แล้ว จะไม่บ้าไปเชื่อมัน

:b8:
อยากเห็นทุกข์จังๆไมไปที่โรงพยาบาลไปที่ตึกอุบัติเหตุนะจะได้เห็นจังๆเลย จะได้เบื่อไวๆ วัฎฎะนะมันโหดร้ายสุดๆแล้ว โกยกันเถอะอย่าช้าเลย



กระผมว่า วัฏฏะ ภายในมันโหดร้ายกว่า น่า....

ความคิดเห็นส่วนจิตและตัว อิอิ :b12:
ก็น่า..นแหละเราถึงต้องใช้มันให้ออกให้ไวที่สุด

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 03:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
ผมเจ็บเล็บขบ


ทุกข์อะไร? แล้วทำไงจึงหาย :b1:


ขนาดนี้พี่ว่าผมไม่เห็นทุกข์เหรอ เล็บขบนะมันสุดๆแล้ว ทำบุญตักบาตร รักษาศิล ลด ละ เลิกกิเลส ตัณหา นั่งสมาธิ เจริญปัญญาไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็หายครับ



ไม่รู้จะร้องเพลงอะไร เห็นแล้วเวทนาจริงๆ :b1:

เล็บขบก็ตัดเล็บตรงที่มันแทงเนื้อออกเสียก็หาย หรือเป็นมากหน่อยก็ไปหาหมอให้หมอตัดเล็บตรงนั้นออก ก็หาย

สองคนนี้คุยกัน เหมือนคนหูตึงทักทายกัน ดูแล้วชวนหัวดีครับ :b32:

กรัชกายถามบิกทู่"จะไปไหน" บิกทู่ตอบว่า.."กินแล้ว"
กรัชกายตอบ...."เหรอ! นึกว่าจะไปตลาด" เอ้า..ฮา เชิญยิ้มดูโอ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลงหลักศาสนาให้ดูกันเอง


คำว่าทุกข์ มีความสำคัญ และมีบทบาทมากในพุทธธรรม แม้ในหลักธรรมสำคัญอื่นๆ เช่น ไตรลักษณ์ และอริยสัจ ก็มีคำว่า ทุกข์ เป็นองค์ประกอบสำคัญ จึงควรเข้าใจคำว่าทุกข์กันให้ชัดเจน
เมื่อจะศึกษาคำว่า “ทุกข์” ในพุทธธรรม ให้สลัดความเข้าใจแคบๆในภาษาไทยทิ้งเสียก่อน และพิจารณาใหม่ตามความหมายในพุทธพจน์ ที่แบ่งทุกขตา (ภาวะแห่งทุกข์) เป็น ๓ อย่าง ดังนี้

๑. ทุกขทุกขตา ทุกข์ที่เป็นความรู้สึกทุกข์ คือ ความทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่สบาย เจ็บปวด เมื่อยขบ โศกเศร้า เป็นต้น อย่างที่เข้ากันโดยสามัญ ตรงตามชื่อ ตามสภาพ ที่เรียกกันว่า ทุกขเวทนา (ความทุกข์อย่างปกติทีเกิดขึ้น เมื่อประสบอนิฏฐารมณ์ หรือสิ่งที่กระทบกระทั่งบีบคั้น)


๒. วิปริณามทุกขตา ทุกข์เนื่องด้วยความผันแปร หรือทุกข์ที่แฝงอยู่ในความผันแปรของสุข คือความสุขที่กลายเป็นความทุกข์ หรือทำให้เกิดทุกข์ เพราะความแปรปรวนกลับกลายของมันเอง (ภาวะที่ตากปกติ ก็สบายดีเฉยอยู่ ไม่รู้สึกทุกข์อย่างใดเลย แต่ครั้นได้เสวยความสุขบางอย่าง พอสุขนั้นจางลงหรือหายไป ภาวะเดิมที่เคยรู้สึกสบายเป็นปกตินั้น กลับกลายเป็นทุกข์ไป เสมือนเป็นทุกข์แฝง ซึ่งจะแสดงตัวออกมาในทันทีที่ความสุขนั้นจืดจาง หรือ เลือนรางไป ยิ่งสุขมากขึ้นเท่าใด ก็กลับกลายเป็นทุกข์รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น เสมือนว่าทุกข์ที่แฝงขยายตัวตามขึ้นไป
ถ้าความสุขนั้นไม่เกิดขึ้น ทุกข์เพราะสุขนั้นก็ไม่มี แม้เมื่อยิ่งเสวยความสุขอยู่ พอนึกว่าสุขนั้นอาจจะต้องสิ้นสุดไป ก็ทุกข์ด้วยหวาดกังวล ใจหายไหวหวั่น ครั้นกาลเวลาแห่งความสุขผ่านไปแล้ว ก็หวนระลึกด้วยความละห้อยหาว่า เราเคยมีสุขอย่างนี้ๆ บัดนี้ สุขนั้นไม่มีเสียแล้วหนอ)

๓. สังขารทุกขตา ทุกข์ตามสภาพสังขาร คือ สภาวะของตัวสังขาร หรือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดจากเหตุปัจจัยได้แก่ ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ คือ เป็นสภาพที่ถูกบีบคั้นด้วยปัจจัยที่ขัดแย้ง มีการเกิดขึ้น และการสลายหรือดับไป ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง อยู่ในกระแสแห่งเหตุปัจจัย จึงเป็นสภาพซึ่งพร้อมที่จะก่อให้เกิดทุกข์ (ความรู้สึกทุกข์หรือทุกขเวทนา) แก่ผู้ไม่รู้เท่าทันต่อสภาพและกระแสของมัน และเข้าไปฝืนกระแสอย่างทื่อๆ ด้วยความอยากความยึด (ตัณหาอุปาทาน) อย่างโง่ๆ (อวิชชา) ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องและปฏิบัติต่อมันด้วยปัญญา

ทุกข์ข้อสำคัญข้อที่ ๓ แสดงถึงสภาพของสังขารทั้งหลายตามที่มันเป็นของมันเอง แต่สภาพนี้จะก่อให้เกิดความหมายเป็นภาวะในทางจิตวิทยาขึ้นได้ ในแง่ที่ว่า มันไม่อาจให้ความพึงพอใจโดยสมบูรณ์ และสามารถก่อให้เกิดทุกข์ได้เสมอ แก่ผู้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอวิชชาตัณหา อุปาทาน
ความที่กล่าวมานี้ก็คือบอกให้รู้ว่า ทุกข์ข้อที่ ๓ นี้ กินความกว้างขวางครอบคลุม ตรงตามความหมายของทุกข์ในไตรลักษณ์ (ที่ว่าสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์) ซึ่งอาจจะโยงต่อไปเป็นทุกข์ในอริยสัจ โดยเป็นที่ก่อให้เกิดผลของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ทำให้ขันธ์ ๕ ในธรรมชาติ กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ของคนขึ้นมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าจับเอาเวทนา ๓ (สุข ทุกข์ อุเบกขา) ซึ่งเป็นเรื่องของความสุข ความทุกข์อยู่แล้ว มาจัดเข้าในทุกขตา ๓ ข้อนี้ บางคนจะเข้าใจชัดขึ้นหรือง่ายขึ้น ดังจะเห็นว่า
ทุกขเวทนานั้นเข้าตั้งแต่ข้อแรก คือเป็นทุกขทุกข์
สุขเวทนา เจอตั้งแต่ข้อ ๒ คือเป็นวิปริณามทุกข์
ส่วนอุเบกขาเวทนา รอดมาได้สองข้อ แต่ก็มาจอดที่ข้อ ๓ คือเป็นสังขารทุกข์ หมายความว่า แม้แต่อุเบกขาก็คงอยู่เรื่อยไปไม่ได้ ต้องแปรปรวนผันแปร ขึ้นต่อเหตุปัจจัยของมัน ถ้าใครชอบใจติดใจอยากเพลินอยู่กับอุเบกขา ก็พ้นทุกข์ไปไม่ได้ เพราะมาเจอข้อที่ ๓ คือ สังขารทุกขตานี้ (อรรถกถาไขความว่า อุเบกขาเวทนา และบรรดาสังขารในไตรภูมิ เป็นสังขารทุกข์ เพราะถูกบีบคั้นด้วยการเกิดสลาย)

เป็นอันว่า เวทนาทั้ง ๓ ไม่ว่าสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เป็นทุกข์ในความหมายนี้หมดทั้งนั้น

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=2208.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ใครจะเรียกอะไรว่าเป็นอย่างไร ก็คงได้เล่าเรียนกันมามากฟังกันมามากแล้ว ลงมือปฎิบัติกันแบบจริงจังดังที่พระศาสดาทรงบบอกเถอะ อาตีปี สัมปชาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง สุปจบตรงนี้บทอธิฐานความเพียรนั้นแหล่ะดีที่สุด พวกเราพวกเนยบุคคลทั้งนั้นแหล่ะครับ ลุย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนออกเดินทาง หรือ ตลุยไปข้างหน้า ตอบตนเองก่อนว่า จะไปไหน ไปทำอะไร (เป็นเบื้องตนของสัมมาทิฐิ)
อ้าวนี่พูดจริงๆนะ ฟังๆดูเหมือนตลก เอาง่ายๆ สมมติว่าเราจะออกจากบ้าน ก็ต้องรู้แล้วว่าจะไปทำอะไรที่ไหน แล้วก็ไปทำสิ่งนั้นที่นั่นให้สำเร็จ

มิใช่ลงบันไดเดินดุ่ยๆ มีคนเดินสวนทางมา ถามว่า "คุณจะไปไหนครับ?" "ไม่รู้เหมือนกัน" ไปมันเรื่อยๆเงี้ย เดี๋ยวถึงเอง !!!!!!!!!!!!!!!!!!!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ก่อนออกเดินทาง หรือ ตลุยไปข้างหน้า ตอบตนเองก่อนว่า จะไปไหน ไปทำอะไร (เป็นเบื้องตนของสัมมาทิฐิ)
อ้าวนี่พูดจริงๆนะ ฟังๆดูเหมือนตลก เอาง่ายๆ สมมติว่าเราจะออกจากบ้าน ก็ต้องรู้แล้วว่าไปทำอะไรที่ไหน แล้วก็ไปทำสิ่งนั้นที่นั่นให้สำเร็จ

มิใช่ลงบันไดเดินดุ่ยๆ มีคนเดินสวนทางมา ถามว่า "คุณจะไปไหนครับ?" "ไม่รู้เหมือนกัน" ไปมันเรื่อยๆเงี้ย เดี๋ยวถึงเอง !!!!!!!!!!!!!!!!!!!
การเดินทางของผมไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่มีความเห็นว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งทั้งหลายไม่ควรยึด ปล่อยว่างแต่(ไม่ใช่ไม่ยึดแบ.....บอร่อยๆๆวา่งๆๆอร่อยๆๆๆอุ้ยเสีย....วๆๆๆว่างๆๆๆๆดีๆๆๆๆ) 555

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ใครจะเรียกอะไรว่าเป็นอย่างไร ก็คงได้เล่าเรียนกันมามากฟังกันมามากแล้ว ลงมือปฎิบัติกันแบบจริงจังดังที่พระศาสดาทรงบบอกเถอะ อาตีปี สัมปชาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง สุปจบตรงนี้บทอธิฐานความเพียรนั้นแหล่ะดีที่สุด พวกเราพวกเนยบุคคลทั้งนั้นแหล่ะครับ ลุย

ไม่ต้องมาบอกเขาหรอกครับ เรื่องปฏิบัติเขาปฏิบัติกันนานแล้ว
แล้วเขาก็ไปกันไกลแล้ว ไม่ได้มางมโข่งอ้างศีลผิดๆถูกหรอกครับ

ความเพียรมันต้องเพียรตลอดเวลา การปฏิบัติธรรมแม้ในเวลางานก็ปฏิบัติได้
เขาไม่มาอ้างโน้นนี่หรอกครับ ขี้เกียจทำงานอ้างเพราะจะปฏิบัติธรรม
อยากไปเที่ยวชมวิว ก็อ้างไปเข้าคอร์ดปฏิบัติธรรม

เอาคำพูดท่านพุทธทาสมาโม้ ถามหน่อยรู้จักคำสอนของท่านอีกประโยคมั้ยครับว่า..
"การทำงานคือการปฏิบัติธรรม"เคยได้ยินมั้ย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2012, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ก่อนออกเดินทาง หรือ ตลุยไปข้างหน้า ตอบตนเองก่อนว่า จะไปไหน ไปทำอะไร (เป็นเบื้องตนของสัมมาทิฐิ)
อ้าวนี่พูดจริงๆนะ ฟังๆดูเหมือนตลก เอาง่ายๆ สมมติว่าเราจะออกจากบ้าน ก็ต้องรู้แล้วว่าไปทำอะไรที่ไหน แล้วก็ไปทำสิ่งนั้นที่นั่นให้สำเร็จ

มิใช่ลงบันไดเดินดุ่ยๆ มีคนเดินสวนทางมา ถามว่า "คุณจะไปไหนครับ?" "ไม่รู้เหมือนกัน" ไปมันเรื่อยๆเงี้ย เดี๋ยวถึงเอง !!!!!!!!!!!!!!!!!!!
การเดินทางของผมไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่มีความเห็นว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งทั้งหลายไม่ควรยึด ปล่อยว่างแต่(ไม่ใช่ไม่ยึดแบ.....บอร่อยๆๆวา่งๆๆอร่อยๆๆๆอุ้ยเสีย....วๆๆๆว่างๆๆๆๆดีๆๆๆๆ) 555

ทู่นี่มันทู่สมชื่อจริงๆ กระแน่ะกระแหน่แบบทู่ๆ เขาเอาพระสูตรมาให้อ่านก็ไม่สำเหนียก
สงสัยต้องละลายน้ำให้กินวันละสามเวลามั้ง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2012, 17:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 20:59
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าตีความจากการอ่านก็ จบ
ถ้าตีความจากการปฏิบัติ ก็แจ้ง

ความเข้าใจในแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ
คิดทำในสิ่งที่ให้พ้นทุกข์ เพียงแต่จะช้า หรือ เร็ว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 206 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร