วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 20:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


การศึกษาธรรมะมันแสนยากที่จะเข้าใจ เพราะในอรรถนั้นมันมีความหมายว่า ที่สุดแล้วไม่ให้ยึดทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่จิตใจเจาะลงไปไม่ลึกถึงอนุสันกิเลส ก็มักจะใช้คำนี้ง่ายๆ ดูหลายสิ่งหลายอย่างง่ายไปเสียหมด จนลืมเข้าไปลดกิเลสของตนจริงๆ และสิ่งนี้นั้นมันเป็นเพียงความคิด จะลดละกิเลสแท้จริงไม่ได้เลย พวกนี้จะเป็นปรัซญาชีวิตเท่านั้น

คนที่เจาะลงลงไปสู่จิตใต้สำนึกนั้นจะลดละกิเลสอย่างหยายๆได้ไปเรื่อยๆจนถึงละเอียดที่สุด ตรงนี้เองที่มีการถกเถียงกันในเชิงปรัชญากันมากมาย ผมถึงบอกอยู่ตลอดว่าการตีความหมายนั้นมันเป็นความคิดของตัวเองทั้งนั้น

และไม่มีใครรู้เลยว่ามันเป็นกิเลส แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ตาม ฉะนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้าทำตามที่พระพุทธองค์ทรงทำนั้น ก็เพื่อป้องกันความคิดของเรามันอาจจะผิดพลาด พระพระศาสดาไม่อยู่กับเราแล้วเราจะไปถามใคร และอะไรจะเป็นการสั่งสอนเราได้ดีกว่านี้อีกเล่า โอวาทปาติโมกข์ไง ซึ่งรวมความทั้งหมดลงที่ ไม่ทำบาปทั้งบวง ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ขาวรอบ ตรงนี้เองที่ตีความหมายกันง่ายเกินไป

สำหรับนักปฎิบัติบางคน เอาแต่ทำใจให้ชาวรอบอย่างเดียว เราลืมอะไรกันไปหรือเปล่า ลืมสองข้อแรกไปหรือเปล่า ชีวิตเราถึงวกวลทำอยู่กับสิ่งเก่าๆและเราก็ว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง สิ่งที่ผมกล่าวไปนั้นบางทีมันอาจจะดูว่าผมอวดตนว่าเก่งกว่าคนอื่น ที่จริงแล้วหาใช่เช่นนั้นเลย

ผมพยามยกตัวอย่างในชีวิตจริงที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ที่มีทั้งความเลวและความดีที่สร้างให้เกิดในจิตใจจริงขึ้นมาได้ และก็เห็นความแตกต่างทางความคิดคนในเรื่องๆเดียวกัน เห็นมั้ยว่ามันมีคนที่คิดผิดและคิดถูก ฉะนั้นเราจะเชื่อความคิดเราเองว่าถูกฝ่ายเดียวได้อย่างไร ความคิดที่หลายท่านคิดกันว่าสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึด ผมก็คิดได้ สบายจะตายแบบนั้น แต่ผมก็จะไม่ปล่อยความคิดผมเป็นสิ่งวัดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกที่สุด ผมจึงน้อมนำข้อปฎิบัติเข้ามาในตนเท่าที่จะทำได้ ตามเหตุปัจจัย ชีวิตสถานะความเป็นอยู่ที่แท้จริงในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด

ส่วนเรื่องความคิดมันไม่มีอะไร มันว่างทุกสิ่งจักรวาลทั้งจักรวาลมันไม่มีอะไรมันเป็นเพียง"มายา" จงเชื่อในพระปัญญาของพระศาสดา จริงอยู่ชีวิตมันมีหลากหลายก็จริง แต่สิ่งที่พระศาสดาทรงกระทำและปฎิบัตินั้นย่อมเป็นสิ่งที่เลิศที่สุด และให้ผลได้ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่สมควรทำตามที่สุด ตรงนี้แล้วแต่ปัญญาที่จะพิจารณาให้เห็นตามจริงนั้น ด้วยความปรารถนาดี BIGTOO

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 09 ก.ย. 2012, 20:08, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ขณะจิต เขียน:
:b1: ยิ่งศึกษามาจนป่านนี้ยิ่งเชื่อมั่นว่ายุคนี้ยังไม่ขาดธรรมะที่แท้จริง ครู-อาจารย์ผู้รู้ธรรมก็มีมากมาย

แต่ทำไมเข้าถึงธรรมกันยากเหลือเกิน หรือเป็นเพราะยุคนี้ผู้คนล้วนหนาด้วยแสงแห่งโฆษณา ของวัตถุนิยม

และมาร(ผู้ขาย)ผู้มีกิเลสตัณหาบังตา :b11: ลูกหลาน รวมถึงเราถูกแย่งพื้นที่ในสมอง

ด้วยโฆษณาแห่งกิเลสตัณหาจากที่วี สื่อต่างๆ :b22: แม้ในบ้าน ในวัด โรงเรียน

จนหลงเชื่อจนเป็นทาสกันหมด ทั้งที่ที่พิจารณาจริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์เลย

ยุคมืดแห่งแสงสว่างบังตา น่ากลัวจริงๆ :b23:

ต้องขอโทษที่จะบอกว่า อาการของจขกทนี่แหล่ะครับเรียกว่า...คนเข้าถึงธรรมได้ยาก
ลักษณะนี้เป็นลักษณะของการหาเหตุ ที่ไม่ใช่เหตุแห่งทุกข์ มันเป็นการหาเหตุเพื่อปรุงแต่งธรรม
มันเลยออกมาในลักษณะ เหมือนยกตนให้เหนือกว่าเขา แล้วว่ากล่าวผู้อื่น

ดูให้ดีๆแล้ว การที่จขกทคิดว่า คนอื่นหลงไปกับสื่อหรือทีวี แล้วสรุปว่าสิ่งเหล่านั้น
เป็นกิเลสตัณหา มันผิดถนัดครับ มันเป็นตัวจขกทเองที่กำลังหลงคิดว่า คนอื่นกำลัง
ถูกกิเลสเล่นงาน แท้จริงแล้ว จขกทกำลังถูกกิเลสเล่นงานครับ


การมองสิ่งนอกกายใจ จะต้องมองทุกสรรพสิ่งให้เป็นธรรมชาติ
การเห็น คน สัตว์ สิ่งของมันก็เป็นเพียงธรรมชาติ มันเป็นเพียงแค่ไป
รับรู้ในลักษณะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและธัมมารมณ์ มันเป็นสังขารธรรม
มันเกิดแล้วดับไป
การมองของจขกทเป็นการมองแล้วยึด มองสิ่งภายนอก
แล้วทำให้มันเป็นตัวตนขึ้นมา ไอ้ตัวตนนี่แหล่ะเรียกว่ากิเลส
เมื่อตัวตนเป็นกิเลส กิเลสที่ว่าจึงเป็นกิเลสของเรา
เพราะเราไปยึดมันมาเป็นตัวตนเอง :b13:



อันนี้อย่าดูถูกอำนาจการล่อลวงแห่งกิเลสตัณหาอุปปาทานเชียวนา

ผู้สร้างกิเลสขายเขาปรุงแต่งวัตถุต่างๆออกมาล่อลวงจิต

ด้วยความวิจิตรปราณีตเหลือหลายขนาดเมื่อก่อนเรายังติดตังแทบตาย

แล้วลูกหลานเราผู้ไม่เคยฝึกคุ้มครองทวารอินทรีย์ทั้งหลาย

ดูซีวันนึงเราหมดทรัพย์ไปกับของเล่น ของกินที่ไม่จำเป็นตามเซเว่นตามห้างเท่าไหร่

ลูกหลานอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆยังไม่ฟังเท่าไหร่ลับหลังก็ไปมัวเมา

เราได้แต่อยู่ให้เห็นเย็นให้ดูเท่านั้น ถ้ายังไม่เปลี่ยนนิสัย

เรามองเห็นแต่ความทุกข์เป็นอันมากที่รออยู่ข้างหน้า เหมือนที่เราผ่านมา :b2:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 10:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขุนพลน้อย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แต่ตอนนี้....กึ่งพุทธกาล...การบรรลุธรรมจะคล้าย ๆ สมัยพุทธกาล...

นาทีนี้....จึงเป้นนาทีทอง...อิอิ..

พวกเราที่มาเกิดช่วงนี้....ก็เพื่อสิ่งนี้แหละ...เอิ๊ก...เอิ๊ก...

:b13:


เรื่องจริงเหรอครับ


ขึ้นอยู่กับตัวเราแล้วละครับ...
เร่งเพียรให้มากโดยเร็วไว...ด้วย...อย่าประมาทว่าเดียวค่อยทำ...
เพาะบ่มอินทรีย์...พละ...เหมือนเตรียมสัมภาระอาวุธให้ครบครัน...เมื่อถึงวันนั้นก็มีใช้ได้ทันที..อิอิ..
จะไปไหน...จะหมู่หรือจ่า...ก็ทำเอา...แต่ถ้าอาวุธไม่พร้อม...ก็เป็นเหยื่อของวัฏฏะ..ต่อไป

หรือจะไปก่อนวันวิกฤติ.ได้ก็ยิ่งดี....ไม่ต้องมาเดือดร้อนเป็นไฟลนก้น...เอิ๊ก...เอิ๊ก....

อีกไม่กี่ปีนี้แล้ว.....
:b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 10:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b2: :b2:


:b34: :b34: :b34:

นี่แนะ

ทำเป็นออกอาการ

:b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณขณะจิตเขียน

อ้างคำพูด:
:b1: ยิ่งศึกษามาจนป่านนี้ยิ่งเชื่อมั่นว่ายุคนี้ยังไม่ขาดธรรมะที่แท้จริง ครู-อาจารย์ผู้รู้ธรรมก็มีมากมาย

แต่ทำไมเข้าถึงธรรมกันยากเหลือเกิน หรือเป็นเพราะยุคนี้ผู้คนล้วนหนาด้วยแสงแห่งโฆษณา ของวัตถุนิยม

และมาร(ผู้ขาย)ผู้มีกิเลสตัณหาบังตา :b11: ลูกหลาน รวมถึงเราถูกแย่งพื้นที่ในสมอง

ด้วยโฆษณาแห่งกิเลสตัณหาจากที่วี สื่อต่างๆ :b22: แม้ในบ้าน ในวัด โรงเรียน

จนหลงเชื่อจนเป็นทาสกันหมด ทั้งที่ที่พิจารณาจริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์เลย

ยุคมืดแห่งแสงสว่างบังตา น่ากลัวจริงๆ :b23:






ความคิดส่วนตัวของเราน่ะค่ะ ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมนั้น ส่วนที่สำคัญคือต้องมีสัญญาเก่าติดมาด้วยค่ะ
บุญเก่าหนุน-บุญใหม่เสริม ต้องเข้าใจน่ะคนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ

บางคนสะสมบุญ-บารมีมาหลายๆชาติ พอเกิดใหม่จิตก็ยังจับอยู่กับสัญญาเก่าอยู่
พอได้ยินได้ฟังก็เกิดศรัทธาในธรรม ก็เข้าถึงธรรมได้ง่าย แต่จะช้าหรือเร็ว
ก็เกี่ยวกับจิตของผู้นั้นปฎิบัติธรรมมากี่ภพกี่ชาติแล้ว

ขอดูความคิดเห็นของท่านอื่นก่อนน่ะค่ะ :b8:
:b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
อันนี้อย่าดูถูกอำนาจการล่อลวงแห่งกิเลสตัณหาอุปปาทานเชียวนา

ผู้สร้างกิเลสขายเขาปรุงแต่งวัตถุต่างๆออกมาล่อลวงจิต

ด้วยความวิจิตรปราณีตเหลือหลายขนาดเมื่อก่อนเรายังติดตังแทบตาย

แล้วลูกหลานเราผู้ไม่เคยฝึกคุ้มครองทวารอินทรีย์ทั้งหลาย

ดูซีวันนึงเราหมดทรัพย์ไปกับของเล่น ของกินที่ไม่จำเป็นตามเซเว่นตามห้างเท่าไหร่

ลูกหลานอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆยังไม่ฟังเท่าไหร่ลับหลังก็ไปมัวเมา

เราได้แต่อยู่ให้เห็นเย็นให้ดูเท่านั้น ถ้ายังไม่เปลี่ยนนิสัย

เรามองเห็นแต่ความทุกข์เป็นอันมากที่รออยู่ข้างหน้า เหมือนที่เราผ่านมา :b2:

ที่เป็นแบบนี้เป็เพราะคุณ ไปเอาเรื่องของคนอื่นมาใส่ใจตัวเอง
พระพุทธองค์สอนให้ปฏิบัติที่กายใจตนเอง ธรรมที่พระพุทธเจ้าพบ
ก็เป็นธรรมที่รู้ได้เฉพาะตน ดังนั้นการที่เราไปเที่ยวให้คนอื่นทำตามใจตน
แบบนี้เขาเรียกกิเลสเราไม่ใช่กิเลสเขา

ที่สำคัญเด็กมันอาจไม่เชื่อในศาสนาพทธ หรือไม่มีศรัทธาในคำสอน
อย่าลืมนะครับ การที่คนจะมาปฏิบัติมันต้องเกิดจากความเชื่อ
ต้องมีศรัทธา(ปัญญา)

สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำก็คือ ทำให้เด็กเกิดความเชื่อ
และศรัทธาในพุทธศาสนาเสียก่อน ไม่ใช่เอะอะก็จะให้เด็กทำแบบโน้นแบบนี้
ศาสนาพุทธเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ ถ้าขื่นให้มันตามอย่างใจเราไม่ใช่ใจเขา
เด็กมันก็เป็นได้แค่หุ่นยนต์ครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 15:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b2: :b2:


:b34: :b34: :b34:

นี่แนะ

ทำเป็นออกอาการ

:b6: :b6: :b6:

s002 s002 ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ขณะจิต เขียน:
:b2:

ที่เป็นแบบนี้เป็เพราะคุณ ไปเอาเรื่องของคนอื่นมาใส่ใจตัวเอง
พระพุทธองค์สอนให้ปฏิบัติที่กายใจตนเอง ธรรมที่พระพุทธเจ้าพบ
ก็เป็นธรรมที่รู้ได้เฉพาะตน ดังนั้นการที่เราไปเที่ยวให้คนอื่นทำตามใจตน
แบบนี้เขาเรียกกิเลสเราไม่ใช่กิเลสเขา

ที่สำคัญเด็กมันอาจไม่เชื่อในศาสนาพทธ หรือไม่มีศรัทธาในคำสอน
อย่าลืมนะครับ การที่คนจะมาปฏิบัติมันต้องเกิดจากความเชื่อ
ต้องมีศรัทธา(ปัญญา)

สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำก็คือ ทำให้เด็กเกิดความเชื่อ
และศรัทธาในพุทธศาสนาเสียก่อน ไม่ใช่เอะอะก็จะให้เด็กทำแบบโน้นแบบนี้
ศาสนาพุทธเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ ถ้าขื่นให้มันตามอย่างใจเราไม่ใช่ใจเขา
เด็กมันก็เป็นได้แค่หุ่นยนต์ครับ :b13:



:b35: :b35: :b35: ถูกของท่านโฮครับ ผมจะพยายามปลูกโพธิแก่เด็กเท่าที่ปลูกได้

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ขณะจิต เขียน:
:b2:

ที่เป็นแบบนี้เป็เพราะคุณ ไปเอาเรื่องของคนอื่นมาใส่ใจตัวเอง
พระพุทธองค์สอนให้ปฏิบัติที่กายใจตนเอง ธรรมที่พระพุทธเจ้าพบ
ก็เป็นธรรมที่รู้ได้เฉพาะตน ดังนั้นการที่เราไปเที่ยวให้คนอื่นทำตามใจตน
แบบนี้เขาเรียกกิเลสเราไม่ใช่กิเลสเขา

ที่สำคัญเด็กมันอาจไม่เชื่อในศาสนาพทธ หรือไม่มีศรัทธาในคำสอน
อย่าลืมนะครับ การที่คนจะมาปฏิบัติมันต้องเกิดจากความเชื่อ
ต้องมีศรัทธา(ปัญญา)

สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำก็คือ ทำให้เด็กเกิดความเชื่อ
และศรัทธาในพุทธศาสนาเสียก่อน ไม่ใช่เอะอะก็จะให้เด็กทำแบบโน้นแบบนี้
ศาสนาพุทธเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ ถ้าขื่นให้มันตามอย่างใจเราไม่ใช่ใจเขา
เด็กมันก็เป็นได้แค่หุ่นยนต์ครับ :b13:



:b35: :b35: :b35: ถูกของท่านโฮครับ ผมจะพยายามปลูกโพธิแก่เด็กเท่าที่ปลูกได้
ไม้ต้องพยายามสั่งสอนอะไรเขามากหรอกครับ เราจะสู่เกมส์หรือเน็ตได้เหรอ แค่เราเปลี่ยนแปลงตัวเอให้มากๆ จนเขาสงสัยแล้วเขาจะเข้ามาหาเราเอง ผมขอยกตัวอย่างชีวิตผมสักหน่อยคงไม่ว่าผมคุยนะ ผมเลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจว่า ชีวิตคนนั้นยอมเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาแต่อดีตหรือเรียกอีกอย่างเป็นไปตามกรรมนั้นเอง

ทุกชีวิตเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ สะเดาก็จะขม อ้อยก็จะหวาน ธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเราไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้นักหรอก นอกจากเราได้แต่ประครองดูแลรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยให้เขาก็พอ อย่างไรเล่าเรียกว่ารดน้ำพรวนดิน ผมเลี้ยงลูกผมมาผมเคยดีลูกคร้งเดียวตอนนั้นเขาอาย3ขวบ ผมยังไม่ได้หันหน้าเข้าหาธรรมะ ผมตีลูกสุดแรงเลยก็ว่าได้ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยตีลูกอีกเลย

และผมถามเขาว่าพ่อเคยตีหนูมั้ยเขาบอกว่าไม่เคย ดีนะที่เขาจำไม่ได้ ถ้าเขาจำได้เขาคงจะเกลียดเราน่าดูเลย ผมเลี้ยงลูกด้วยการดูเขาไปเรื่อยๆไม่บ่นเขาเวลาเขาทำผิด ไม่ดุ จะใช้วิธีสงข้อความทางมือถือบ้าง ข้อความสั้นดีๆเช่นทุกคนรักหนูนะโตแล้วอันไหนดีอันไหนไม่ดีเลือกกระทำเอานะ พอวันวาเลนไทน์ ก็ส่งข้อความว่า ความรักทำให้เกิดทุกข์ เราพยายามสอดแทรกความรู้ทางพุทธศาสนาให้เขาตลอดพร้อมกับการกระทำที่แตกต่างจากอดีตที่เราเคยทำสิ่งไม่ดีมา อย่างเช่นเคยกิเหล้า เที่ยว ฯ

จนเขาโตมาเขาเริ่มเห็นความแตกต่างในตัวพ่อเขา เขาถามผมว่า พ่อทำไมพ่อไม่เหมือนพ่อคนอื่นๆ ผมถามต่อว่าไม่เหมือนตรงไหน ล.เขาบอกว่าไม่รู้สิหนูรู้สึกอย่างนั้น ผม.เป็นอย่างไรรู้สึกอย่างนั้น ลูก.ทำไม่พ่ออะไรๆพ่อก็ไม่อยากได้ เที่ยวก็ไม่เที่ยว หนูทำความผิดพ่อรู้พ่อก็ไม่ว่าหนู ผม.ถ้าพ่อดุหนูจะทำตามมั้ยล่ะ พ่อนะไม่ชอบใจอะไรที่หนูทำเยอะเลย แต่พอเข้าใจว่าตัวหนู่ชีวิตหนูก็น่าให้หนูได้ทดลองอะไรด้วยตัวหนูองบ้างมันจะได้เป็นประสบการณ์ที่แท้จริงมันคงไม่ถึงตายมั้ง ถ้าตายก็จบเรื่อง

พอถึงตอนนั้นตอนที่เขาสนใจในตัวเราเห็นความแตกต่างเราค่อยๆสนทนากับเขาเรื่องธรรมะส่วนดีของธรรมะ เริ่มด้วยเหตุผล ทำอย่างนี้ผลออกมาอย่างนี้ รักษาศิลผลเป็นอย่างไร ไม่รักษาผลเป็อย่างไร จนมีอยู่วันหนึ่งเขาโทรมาบอกว่า หนูรักษาศิลห้าได้แล้วนะ เราคิดในใจไม่อยากบอกลูกว่า แหมๆๆไม่ต้องคุยมันจะได้กี่วัน แต่เราไม่ได้พูดอกไปนะ เพียงคิดในใจ และเราก็บอกต่อลูกว่ามันดีกับตัวหนูเองทำดีก็ได้ดี ทำไปเรื่อยๆๆ นี่เป็นตัวอย่างเฉยๆนะครับ ไม่ได้ถือว่าเป็นที่สุดของการสั่งสอนลูก และผมเขาใจอย่างนีว่าอะไรก็ไม่เท่าทำตัวให้เขาดูดีกว่าคำพูดเยอะครับ ยกตัวอย่างมาคุยเล่นกันสนุกสนาน บันเทิงใจครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s007 พยายามทำอยู่ครับแต่ไม่รู้ว่าจะได้แค่ใหน ลูกไม่ได้อยู่กับผมแต่เล็กมาอยู่ตอนโตแล้ว พยายามทำให้ดีที่สุดตามเหตุปัจจัย

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
s007 พยายามทำอยู่ครับแต่ไม่รู้ว่าจะได้แค่ใหน ลูกไม่ได้อยู่กับผมแต่เล็กมาอยู่ตอนโตแล้ว พยายามทำให้ดีที่สุดตามเหตุปัจจัย
คิง่ายๆสบายสัตว์โลกเป็นไปตามกรรมจบเรื่องดี ผมใช่แบบนี้แหล่ะ เราทำหน้าที่ให้ดีก็จบ คือส่งเรียนอย่างน้อยป.ตรี จบเรื่องเราแล้วทีนี้ตัวใครตัวเผือก ปิดมือถือเข้าวัดเลยจบเรื่อง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 23:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุที่พยายามสร้างไม่ตรงกับผลที่อยากได้หรือเปล่าครับ

เช่นอยากเข้าถึงธรรม แต่ใจจริงยังเพลินกับอารมณ์อยู่ เป็นต้น

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 04:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ไม้ต้องพยายามสั่งสอนอะไรเขามากหรอกครับ เราจะสู่เกมส์หรือเน็ตได้เหรอ

อันนี้เข้าใจครับ ลูกมันสู้เกมส์หรือเน็ทไม่ได้หรอกครับ ขนาดคนเป็นพ่อยังทำไม่ได้เลย
ปากบอกตัดเรื่องกามถือศีลแปด ยังชอบเข้าเว็บโป๊บ่อยๆนับปะสาอะไร
ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น :b32:
bigtoo เขียน:
แค่เราเปลี่ยนแปลงตัวเอให้มากๆ จนเขาสงสัยแล้วเขาจะเข้ามาหาเราเอง ผมขอยกตัวอย่างชีวิตผมสักหน่อยคงไม่ว่าผมคุยนะ

ไม่มีใครว่าบิกทู่คุยหรอกครับ เห็นมีแต่เขาว่า ไอ้ขี้โม้ครับ :b13:
bigtoo เขียน:
ผมเลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจว่า ชีวิตคนนั้นยอมเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาแต่อดีตหรือเรียกอีกอย่างเป็นไปตามกรรมนั้นเอง

ผมเชื่อแล้วครับว่าลูกคุณมีกรรมแต่อดีต กรรมที่ว่าก็คือ การที่ได้มาอยู่กับคุณ
แทนที่จะได้อยู่กับแม่แท้ๆ
อยู่กับพ่อก็พอทำเนา แต่ที่ทนไม่ได้ก็คือ ต้องมาดู
แม่เลี้ยงทำงานหาเลี้ยงตัวเองกับพ่อ อย่างนี้ภาษาบ้านผมว่า กรรมไม่ยอมแบครับ :b9:
bigtoo เขียน:
ทุกชีวิตเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ สะเดาก็จะขม อ้อยก็จะหวาน ธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเราไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้นักหรอก นอกจากเราได้แต่ประครองดูแลรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยให้เขาก็พอ อย่างไรเล่าเรียกว่ารดน้ำพรวนดิน ผมเลี้ยงลูกผมมาผมเคยดีลูกคร้งเดียวตอนนั้นเขาอาย3ขวบ ผมยังไม่ได้หันหน้าเข้าหาธรรมะ ผมตีลูกสุดแรงเลยก็ว่าได้ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยตีลูกอีกเลย

คนใส่ปุ๋ยไม่สำคัญเท่าคนหาปุ๋ยหรอกครับ พ่อไปทางแม่ไปทาง เอาลูกมาอยู่ด้วย
แทนที่จะทำตัวอย่างในการดำรงชืวิตให้ลูกดู กลับงอมืองอเท้า ปล่อยให้ลูกดูแม่เลี้ยงทำงานงกๆ
คุณคงไม่รู้หรอกว่า เด็กมันจะเอาแม่เลี้ยงไปเปรียบกับแม่แท้ๆของตัวเองอย่างไร ที่แน่ๆคง
ไม่สรรเสริญแม่แท้ๆตัวเองหรอกครับ

ที่บอกเคยตีลูกครั้งเดียว นอกนั้นเตะถึบใช่มั้ยครับ
เมื่อไรจะเลิกเสียทีไอ้วิธีการคุยแบบยกตนข่มท่าน ขี้โม้ขี้โอ่ทู่เอ๋ยทู่ :b6:
bigtoo เขียน:
และผมถามเขาว่าพ่อเคยตีหนูมั้ยเขาบอกว่าไม่เคย ดีนะที่เขาจำไม่ได้ ถ้าเขาจำได้เขาคงจะเกลียดเราน่าดูเลย ผมเลี้ยงลูกด้วยการดูเขาไปเรื่อยๆไม่บ่นเขาเวลาเขาทำผิด ไม่ดุ จะใช้วิธีสงข้อความทางมือถือบ้าง ข้อความสั้นดีๆเช่นทุกคนรักหนูนะโตแล้วอันไหนดีอันไหนไม่ดีเลือกกระทำเอานะ พอวันวาเลนไทน์ ก็ส่งข้อความว่า ความรักทำให้เกิดทุกข์ เราพยายามสอดแทรกความรู้ทางพุทธศาสนาให้เขาตลอดพร้อมกับการกระทำที่แตกต่างจากอดีตที่เราเคยทำสิ่งไม่ดีมา อย่างเช่นเคยกิเหล้า เที่ยว ฯ

ก็ตัวเองมันเป็นอย่างนี่นี้เอง รู้อยู่แก่ใจแท้ๆยังทำเป็นเสแสร้งถามลูกอีกแน่ะ
อยากคุยโม้ให้ชาวบ้านฟัง แต่ดันเพลอบอกความไม่สุจริตประจานตัวเอง

ก็รู้อยู่ว่าเด็กมันโตแล้ว แทนที่จะสอนในเรื่องธรรมชาติของคน
แนะนำวิธีไม่ให้เกิดปัญหาตามมา ธรรมะมันต้องสอนตอนที่เด็กมันมีปัญหาตอนมันเป็นทุกข์
แต่สิ่งที่เด็กมันกำลังจะทำเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่ไปห้ามโดยเอาศาสนาเป็นเครื่องมือ
มันต้องแนะนำว่า ทำได้แต่ต้องทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหา
บิกทู่ชอบสร้างปัญหาให้ตัวเองไม่มีใครสนหรอก
ขออย่างเดียวอย่าไปสร้างปัญหาให้เด็ก แถมอย่าทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า
ศาสนาไม่เข้าใจตน แท้จริงแล้วพ่อของตนนั้นแหล่ะเป็นตัวการ

bigtoo เขียน:

จนเขาโตมาเขาเริ่มเห็นความแตกต่างในตัวพ่อเขา เขาถามผมว่า พ่อทำไมพ่อไม่เหมือนพ่อคนอื่นๆ ผมถามต่อว่าไม่เหมือนตรงไหน ล.เขาบอกว่าไม่รู้สิหนูรู้สึกอย่างนั้น ผม.เป็นอย่างไรรู้สึกอย่างนั้น ลูก.ทำไม่พ่ออะไรๆพ่อก็ไม่อยากได้ เที่ยวก็ไม่เที่ยว หนูทำความผิดพ่อรู้พ่อก็ไม่ว่าหนู ผม.ถ้าพ่อดุหนูจะทำตามมั้ยล่ะ พ่อนะไม่ชอบใจอะไรที่หนูทำเยอะเลย แต่พอเข้าใจว่าตัวหนู่ชีวิตหนูก็น่าให้หนูได้ทดลองอะไรด้วยตัวหนูองบ้างมันจะได้เป็นประสบการณ์ที่แท้จริงมันคงไม่ถึงตายมั้ง ถ้าตายก็จบเรื่อง

ผมว่าคุณกำลังเข้าใจผิดหรือเปล่า ที่เด็กมันบอกว่า บิกทู่ไม่เหมือนพ่อคนอื่น
พอคุณถามว่าไม่เหมือนตรงไหน คุณไม่สังเกตุหรือว่าเด็กมันบ่ายเบียงไม่กล้าตอบ
ในใจมันอาจคิดว่า....ทำไมพอตัวเองไม่มีความรับผิดชอบ งานการไม่ทำ ไม่เหมือนพ่อคนอื่น
คนอื่นเขามีลูกติดมา เห็นเขาทำงานหาเลี้ยงลูก แถมเลี้ยงเมียใหม่ด้วย ทำไมพ่อตัวเอง
ถึงให้เมียเลี้ยงตัวเองแถมลูกติดอีกคน เวรกรรมของเด็กแท้ๆ :b13:
bigtoo เขียน:
ผม.เป็นอย่างไรรู้สึกอย่างนั้น ลูก.ทำไม่พ่ออะไรๆพ่อก็ไม่อยากได้ เที่ยวก็ไม่เที่ยว หนูทำความผิดพ่อรู้พ่อก็ไม่ว่าหนู ผม.ถ้าพ่อดุหนูจะทำตามมั้ยล่ะ พ่อนะไม่ชอบใจอะไรที่หนูทำเยอะเลย แต่พอเข้าใจว่าตัวหนู่ชีวิตหนูก็น่าให้หนูได้ทดลองอะไรด้วยตัวหนูองบ้างมันจะได้เป็นประสบการณ์ที่แท้จริงมันคงไม่ถึงตายมั้ง ถ้าตายก็จบเรื่อง

มิน่าล่ะ บิกทู่เห็นคนอื่นสอนเด็กให้ประพฤติตัวดีๆ กลับมองไปในทางอกุศล
ที่ผมบอกว่า บิกทู่ชอบให้ลูกเมียใส่เสื้อโชว์หน้าอก มันก็ไม่ผิดไปจากความจริง
ฟังจากที่พูดมาก็รู้แล้วว่า ลูกตัวเองยังไม่สนใจที่จะสั่งสอน นับปะสาอะไรกับลูกชาวบ้าน :b9:
bigtoo เขียน:

พอถึงตอนนั้นตอนที่เขาสนใจในตัวเราเห็นความแตกต่างเราค่อยๆสนทนากับเขาเรื่องธรรมะส่วนดีของธรรมะ เริ่มด้วยเหตุผล ทำอย่างนี้ผลออกมาอย่างนี้ รักษาศิลผลเป็นอย่างไร ไม่รักษาผลเป็อย่างไร จนมีอยู่วันหนึ่งเขาโทรมาบอกว่า หนูรักษาศิลห้าได้แล้วนะ เราคิดในใจไม่อยากบอกลูกว่า แหมๆๆไม่ต้องคุยมันจะได้กี่วัน แต่เราไม่ได้พูดอกไปนะ เพียงคิดในใจ และเราก็บอกต่อลูกว่ามันดีกับตัวหนูเองทำดีก็ได้ดี ทำไปเรื่อยๆๆ นี่เป็นตัวอย่างเฉยๆนะครับ ไม่ได้ถือว่าเป็นที่สุดของการสั่งสอนลูก และผมเขาใจอย่างนีว่าอะไรก็ไม่เท่าทำตัวให้เขาดูดีกว่าคำพูดเยอะครับ ยกตัวอย่างมาคุยเล่นกันสนุกสนาน บันเทิงใจครับ

ที่บอกว่าลูกสาวมาบอกว่า"หนูรักษาศีลห้าได้แล้ว" มันต้องดูให้ดีก่อนว่า
เด็กมันเป็นพวกเชื้อไม้ทิ้งแถวหรือเปล่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นหรือไม่
คุณบิกทู่อาจคิดว่าดีซิที่ลูกมีนิสัยเหมือนตน นั้นมันเพียงควมคิดของบิกทู่ฝ่ายเดียวครับ
เพราะคนอื่นเขาไม่มองแบบนั้น เขามองคุณทู่เป็นคนขี้โม้ขี้โอ่ โม้ซะจนลืมตัวหลงพูด
ว่าเคยแสดงอาการ วจีทุจริตกับลูกสาวต้วเอง วจืทุจริตที่ว่าก็คือ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสแสร้ง
แกล้งถามลูกว่า เคยตีลูกมั้ย ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเคยตีลูก ลูกบอกไม่เคยแทนที่จะเล่า
ความจริงให้ลูกฟัง กลับทำเนียนเฉย เพราะอยากให้ลูกเข้าใจไปว่าตัวเองดีเลิศประเสริญศรี

ฉะนั้นที่ว่าให้ดูว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว ก็คือลูกบิกทู่อาจโกหกบิกทู่เหมือนที่บิกทู่โกหกแกก็ได้ครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ขณะจิต เขียน:
s007 พยายามทำอยู่ครับแต่ไม่รู้ว่าจะได้แค่ใหน ลูกไม่ได้อยู่กับผมแต่เล็กมาอยู่ตอนโตแล้ว พยายามทำให้ดีที่สุดตามเหตุปัจจัย
คิง่ายๆสบายสัตว์โลกเป็นไปตามกรรมจบเรื่องดี ผมใช่แบบนี้แหล่ะ เราทำหน้าที่ให้ดีก็จบ คือส่งเรียนอย่างน้อยป.ตรี จบเรื่องเราแล้วทีนี้ตัวใครตัวเผือก ปิดมือถือเข้าวัดเลยจบเรื่อง

ถามจริงทำหน้าที่แล้วจริงๆหรือครับ พูดผิดพูดใหม่ได้นะครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว




images (3).jpg
images (3).jpg [ 11.25 KiB | เปิดดู 2417 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:


ขออย่างเดียวอย่าไปสร้างปัญหาให้เด็ก แถมอย่าทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า
ศาสนาไม่เข้าใจตน แท้จริงแล้วพ่อของตนนั้นแหล่ะเป็นตัวการ[/b]
bigtoo เขียน:
น้องโฮพี่ดูแล้วน้อง เห็นที่จะหมดหนทางแก้แล้วล่ะ ต้องปล่อยเป็นไปตามกรรมแล้วล่ะ ปล่อยให้ตายเปล่าๆไปชาติหนึ่ง ไม่ต้องกินยานอนหลับล่ะ ยังมีประโยชน์อยู่เหมือนกัน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 134 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร