วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 10:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
คุณก็อ้างแต่นางวิสาขาอยู่นั้นแหล่ะครับคุณรู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่พิจารณาเรื่องอย่างนี้คุณรู้เหรอ คุณก็ไม่รู้หรอกว่าท่านคุยอะไรกัน เพราะนางวิสาขาก็บรรลุแค่โสดาบัน ยังต้องเกิดอีกอย่างไรก็ต้องเลิกสิ่งนี้อยู่ดี เข้าใจบ่ พระอริยบุคคลมีตั้งหลายอย่าง และอย่างเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าจะคิดเหมือนกัน แต่เพียงแต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยสถาณการร่วม เช่นครอบครับพ่อ แม่ พี่น้อง สถานะทางสังคม อันนี้ด้วย

จะไม่อ้างได้ไง ก็คุณมาบรรยายสรรพคุณ พรีเซ้นตัวเองเสียเริ่ดหรู่

คุณบอกตัวเองอายุสี่สิบกว่า ไม่ยุ่งกับเมีย แล้วพูดเป็นทำนองว่า
แบบนี้เป็นวิธืหลุดวงจรวัฏฏะ

มันก็เลยเกิดความสงสัยว่า นางวิสาขาบรรลุโสดาบันตั้งแต่เจ็ดขวบ
ท่านย่อมต้องเข้าใจธรรมของพระพุทธ รู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
ถ้าวิธืการแบบคุณเป็นการทำให้หลุดจากวงจร ทำไมนางวิสาขา
ยังถึงต้องมาแต่งงานมีครอบครัว มีลูกหลานมากมายล่ะครับ
bigtoo เขียน:
สิ่งที่ผมพูดนั้นเพียงให้เห็นโทษให้มาก ส่วนใครจะทำอะไรมันไม่ผิดหรอก(บอกตั้งกี่ครั้งแล้วมึนอะไรอยู่เป็นน้องเป็นนุ่งโดยเนี่ยวแล้ว) ขนาดคนไม่ศึกษาธรรมะมันก็ไม่ผิดสิทธิ์ของใครของมัน นาวิสาขาก็มาสนทนากับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นโทษอยู่ตลอด แต่ของแบบนี้มันไม่ได้ลด ละ เลิก กันง่ายๆ แม้แต่อริยบุคคลชั้นต้นๆก็ยังทำไม่ได้เลย และส่วนที่บอกว่าคนที่เขากลัววัฎฎะจนสุดตัวเขาไม่เอาแล้วเรื่องอย่างนี้ เขามีปัญญา และอินทรีย์ภาวนาเขาได้เขาก็ทำ คนทำไม่ได้ก็ฟังๆไว้ ไม่ใช่ว่าเขาเดินทางผิดเข้าใจบ่ และคุณไม่เห็นโทษเรื่องอย่างนี้เลิกกับเมียทำไม หรือเบื่อเมีย หรือเอาธรรมะเป็นข้ออ้าง หาจังหวะอยู่เหรอ ถามเลิกกับเมียเพราะเหตุใดมิทราบขอรับตอบมา

เห็นมีโทษมากหรือ ผมไม่เห็นแบบคุณนี่ครับ ความคิดแบบคุณมันพวกเห็นแก่ตัวครับ
ที่ผมพูดจากระทบกระเทียบไปสงสัยไม่เข้าใจมั้ง มีเมียดันบอกว่าการยุ่งกับเมียมีโทษมาก
มีเมียแล้วยุ่งกับเมียไม่มีโทษ แต่มีเมียแล้วไม่ยุ่งกับเมีย แถมอยู่เป็นไอ้เข้ขวางคลอง
นี่แหล่ะเป็นโทษต่อผู้อื่น ไปๆๆบวชซ่ะ เอาแค่ตาเถรก็ได้ :b32:
การบรรลุโสดาบันก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรได้มากนักหรอกครับ เพียงแค่เห็นอริสัจก็เป็นโสดาบันได้แล้วยังไม่สามารถดับกิเลสได้เลยเพียงแค่มีสัมมาทิฎฐิเท่านั้นครับ และนางวิสาขาก็ยังมีความต้องการของพ่อ แม่ สถานะทางสังคมอีกมากเข้าใจบ่ คิดอย่างผมเห็นแก่ตัวอย่างไร? ถ้าคนเห็นแก่ตัวเขาทำอย่างไรรู้มั้ยครับ? ก็อย่างพี่โฮไงเลิกกับเมียให้เขาไปเผชิญชะตะกรรมกับใครก็ไม่รู้แล้วทำไมไม่ทำหน้าที่สามีให้ดีล่ะ(ทำอย่างว่าแบบปล่อยวางไงชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ)ปล่อยเธอไปทำไม ผมนะเป็นคนพูดเองว่าเลือกทางเดินได้นะตัดสินใจเอา ถ้าอยู่ด้วยกันก้ต้องยอมรับให้ได้นะ เธอก็ยอมรับได้สบายๆ ไม่ได้เป็นไอ้เข้ไอ้โขงอย่างที่คุณเข้าใจหรอกเข้าใจบ่อิๆๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
การบรรลุโสดาบันก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรได้มากนักหรอกครับ เพียงแค่เห็นอริสัจก็เป็นโสดาบันได้แล้วยังไม่สามารถดับกิเลสได้เลยเพียงแค่มีสัมมาทิฎฐิเท่านั้นครับ ๆ

แน่ะ! เก่งกว่าโสดาบันอีก ปรามาสอริยชนเฉยเลย บอกให้โสดาบันดับกิเลสสามต้วแรกได้แล้ว
มิน่าล่ะไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร ถึงได้พูดจาเพื้ยนๆ เหมือนคนเมา :b32:
bigtoo เขียน:
และนางวิสาขาก็ยังมีความต้องการของพ่อ แม่ สถานะทางสังคมอีกมากเข้าใจบ่

ก็นั้นไง เพราะนางวิสาขายังมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ถึงยังบวชไม่ได้
แล้วบิกทู่ละ เจ๋งกว่าพระโสดาบันอีก งานการก็ไม่ต้องทำ ลูกก็ไม่ต้องเลี้ยง
ทำไมไม่ไปบวช หรือกลัวไม่มีคนทำกับข้าวให้เมียกิน คุณไปเถอะไม่ต้องห่วง
แค่สองสามวันขี้คร้านจะมีคน มาต่อแถวทำหน้าที่แทนคุณ สบายจะตายใครก็ชอบ :b32:
bigtoo เขียน:
คิดอย่างผมเห็นแก่ตัวอย่างไร? ถ้าคนเห็นแก่ตัวเขาทำอย่างไรรู้มั้ยครับ? ก็อย่างพี่โฮไงเลิกกับเมียให้เขาไปเผชิญชะตะกรรมกับใครก็ไม่รู้แล้วทำไมไม่ทำหน้าที่สามีให้ดีล่ะ(ทำอย่างว่าแบบปล่อยวางไงชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ)ปล่อยเธอไปทำไม ๆๆ

แล้วไงหรือจะเก็บเมียไว้หาเลี้ยงตัวเอง พุทโธ่!ทำเป็นมาประชด อย่างคุณน่ะจะบอกให้
มันก็แค่คนขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ งานการไม่ทำแล้วก็อ้างว่าตัวเองเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
เพื่อไม่ให้ชาวบ้านเขาด่าว่า เกาะเมียกิน แค่นั้น ที่พูดแบบนี้วิเคราะห์เอาจาก บอกเป็นนักปฏิบัติ
แต่พูดธรรมไม่รู้เรื่องสักอย่าง จะว่าเอาดีทางศีลก็ไม่ได้ เพราะศีลประสาอะไรก็ไม่รู้
มาโม้ว่าถือศีลแบบนักบวช แต่ไม่ยอมห่างเมีย คือไม่ยอมไปอยู่วัด :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
การบรรลุโสดาบันก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรได้มากนักหรอกครับ เพียงแค่เห็นอริสัจก็เป็นโสดาบันได้แล้วยังไม่สามารถดับกิเลสได้เลยเพียงแค่มีสัมมาทิฎฐิเท่านั้นครับ ๆ

แน่ะ! เก่งกว่าโสดาบันอีก ปรามาสอริยชนเฉยเลย บอกให้โสดาบันดับกิเลสสามต้วแรกได้แล้ว
มิน่าล่ะไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร ถึงได้พูดจาเพื้ยนๆ เหมือนคนเมา :b32:
bigtoo เขียน:
และนางวิสาขาก็ยังมีความต้องการของพ่อ แม่ สถานะทางสังคมอีกมากเข้าใจบ่

ก็นั้นไง เพราะนางวิสาขายังมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ถึงยังบวชไม่ได้
แล้วบิกทู่ละ เจ๋งกว่าพระโสดาบันอีก งานการก็ไม่ต้องทำ ลูกก็ไม่ต้องเลี้ยง
ทำไมไม่ไปบวช หรือกลัวไม่มีคนทำกับข้าวให้เมียกิน คุณไปเถอะไม่ต้องห่วง
แค่สองสามวันขี้คร้านจะมีคน มาต่อแถวทำหน้าที่แทนคุณ สบายจะตายใครก็ชอบ :b32:
bigtoo เขียน:
คิดอย่างผมเห็นแก่ตัวอย่างไร? ถ้าคนเห็นแก่ตัวเขาทำอย่างไรรู้มั้ยครับ? ก็อย่างพี่โฮไงเลิกกับเมียให้เขาไปเผชิญชะตะกรรมกับใครก็ไม่รู้แล้วทำไมไม่ทำหน้าที่สามีให้ดีล่ะ(ทำอย่างว่าแบบปล่อยวางไงชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ)ปล่อยเธอไปทำไม ๆๆ

แล้วไงหรือจะเก็บเมียไว้หาเลี้ยงตัวเอง พุทโธ่!ทำเป็นมาประชด อย่างคุณน่ะจะบอกให้
มันก็แค่คนขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ งานการไม่ทำแล้วก็อ้างว่าตัวเองเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
เพื่อไม่ให้ชาวบ้านเขาด่าว่า เกาะเมียกิน แค่นั้น ที่พูดแบบนี้วิเคราะห์เอาจาก บอกเป็นนักปฏิบัติ
แต่พูดธรรมไม่รู้เรื่องสักอย่าง จะว่าเอาดีทางศีลก็ไม่ได้ เพราะศีลประสาอะไรก็ไม่รู้
มาโม้ว่าถือศีลแบบนักบวช แต่ไม่ยอมห่างเมีย คือไม่ยอมไปอยู่วัด :b13:
เอาเวลางานมาเล่นเน็ทถือว่ายักยอกเวลาราชการนะครับผิดศิลนะครับอิๆเอาๆเข้าไปว่าคนอื่นอีกแล้วใครไปดูถูกใคร การละสังโยช ได้สามตัวก็ใช่ว่าจะดับกิเลสได้ เพียงแต่กิเลสเบาบางลงนิดหน่อยเท่านั้นยังไม่ดับเป็นสมุจเฉทสักหน่อย โลภะ โทษะ โมหะก็ยังมีอยู่ไม่น้อย

ผมก็มีภาระอยู่เข้าใจบ่ อีกแค่สองปีกว่าก็จบแล้วล่ะเข้าใจบ่ อย่างผมนะเหรอขี้เกลียด ขอเรียกไอ้น้องทีเถอะ ยังไม่รู้จัผมดี ผมไม่อยากโม้เดี๋ยวชีวิตมันจะดูห่างกันเกินไป กลับไปดูเรื่องนกแก้วไป ฝีมือล้วนๆผมตรวจสอบดูแล้วรายได้กับเงินที่พอมีเก็บอยู่บ้างว่ามันลงตัวพอดีกับวันเวลาเข้าใจบ่ เรื่องเมียว่าไงทำไมไม่ทำหน้าที่ล่ะไหนบอกว่าเสพแบบไม่ยึดติดนะ บอกเลิกเขาทำไม เบื่่อเขาละมั้งอิๆๆ(คุณเคยได้ยินเรื่องนี้บ้างมั้ยที่คนเขาว่าพระไม่ทำอะไรวันๆหนึ่งและพระพุทธเจ้าก็ตอบว่างานของพระก็คือการถากถางกิเลส)

ก็เช่นเดียวกับผมนะครับรู้บ่ เพียงแต่ผมตอนนี้ไม่ได้ใส่ชุดสีเดียวกับพระเท่านั้นเอง ผมถือศิลแปดนะครับพี่ไม่ได้นั่งเสพกิเลสอยู่นะครับ และก็ยังรับผิดชอบลูก เพราะลูกผมใช้เงินเรียนเยอะ ผมเพียงหาความพอดีไม่อยากจะทำอะไรให้มันเกินพอดี เมื่อถึงเวลาลงตัวจะได้ไปแบบสบายๆเข้าใจบ่ คุณล่ะธุระอะไร เมียก็ไม่มี ลูกก็ไม่มีไปบวชได้แล้ว ปฎิบัติธรรมอย่างไรใจไม่น้อมที่จะบวชแต่ดันเลิกกับเมียแปลกจังอิๆๆ :b13: :b13: :b13:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2012, 20:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:

ก็เช่นเดียวกับผมนะครับรู้บ่ เพียงแต่ผมตอนนี้ไม่ได้ใส่ชุดสีเดียวกับพระเท่านั้นเอง ผมถือศิลแปดนะครับพี่ไม่ได้นั่งเสพกิเลสอยู่นะครับ และก็ยังรับผิดชอบลูก เพราะลูกผมใช้เงินเรียนเยอะ ผมเพียงหาความพอดีไม่อยากจะทำอะไรให้มันเกินพอดี เมื่อถึงเวลาลงตัวจะได้ไปแบบสบายๆเข้าใจบ่ คุณล่ะธุระอะไร เมียก็ไม่มี ลูกก็ไม่มีไปบวชได้แล้ว ปฎิบัติธรรมอย่างไรใจไม่น้อมที่จะบวชแต่ดันเลิกกับเมียแปลกจังอิๆๆ :b13: :b13: :b13:


อ่า....อ่า.... :b22: :b22:
คนในดันจะออก.....คนนอกขอเข้าไปดู...ได้ป๊ะ..อิอิ... :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 03:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เอาเวลางานมาเล่นเน็ทถือว่ายักยอกเวลาราชการนะครับผิดศิลนะครับอิๆเอาๆเข้าไปว่าคนอื่นอีกแล้วใครไปดูถูกใคร การละสังโยช ได้สามตัวก็ใช่ว่าจะดับกิเลสได้ เพียงแต่กิเลสเบาบางลงนิดหน่อยเท่านั้นยังไม่ดับเป็นสมุจเฉทสักหน่อย โลภะ โทษะ โมหะก็ยังมีอยู่ไม่น้อย

ไหมล่ะ มันก็สร้างเรื่องแถไปได้เรื่อยๆ ตัวเองก็บอกเองว่า โสดาบันยังละกิเลสไม่ได้
พอเราบอกว่า โสดาบันละกิเลสเบื้องต่ำสามตัวแรกได้ ก็แถเป็นละสังโยชน์ได้
ที่กล้าแถแบบนี้เพราะไม่รู้ว่า สังโยชน์กับกิเลสเป็นตัวเดียวกัน

อีกอย่างการสร้างเรื่องเพื่อเอาตัวรอด ยังพออภัยกันได้ มันเป็นธรรมดาของสัตว์โลก
แต่ไอ้ประเภท สร้างเรื่องกล่าวหาคนอื่น มันสมควรประนามหยามเยียด

หาว่าเราเอาเวลางานมาเล่นเน็ต เก่งเหลือเกินเรื่อง"ดีใส่ตัว ชั่วให้คนอื่นนี่น่ะ"
บริษัทที่ผมทำงาน ถึงจะไม่ใช่ของผมแต่มันเป็น ของครอบครัว
ทำไมต้องยักยอกเวลา แล้วคอมพ์มันก็อยู่ตรงหน้าผม ทำไมผมจะเอา
นิ้วจิ้มไม่ได้ แล้วที่ว่าเล่นเน็ทมันเป็นคุณไม่ใช่ผม ผมเข้ามาเว็บธรรมะ
ไม่ได้เข้ามาเล่น ผมเข้ามาคุยธรรม ไม่เหมือนคุณนี่ครับว่างมาก เลยต้องขนขวาย
หาเว็บโป๊ดู แล้วมาอ้างว่าดูเฉยๆ รู้ก็รู้มันเป็นของสกปรก ยังแถว่าตัวใจกล้าดูแล้ว
ไม่เกิดอารมณ์ มันก็เหมือนนอนห้องเดียวกับเมีย แต่บอกไม่ได้ยุ่งกัน :b32:
bigtoo เขียน:
ผมก็มีภาระอยู่เข้าใจบ่ อีกแค่สองปีกว่าก็จบแล้วล่ะเข้าใจบ่ อย่างผมนะเหรอขี้เกลียด ขอเรียกไอ้น้องทีเถอะ ยังไม่รู้จัผมดี ผมไม่อยากโม้เดี๋ยวชีวิตมันจะดูห่างกันเกินไป

อย่างคุณไม่เรียกขี้เกียจแล้วจะให้เรียกอะไร เอาๆเดี๋ยวจะดูไม่ดี เปลี่ยนให้ใหม่ก็ได้ว่า
"ผู้เมินเฉยต่อหน้าที่การงาน"หรือจะเป็น"ผู้ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ" ดูดีขึ้นบ้างมั้ย :b13:

ไอ้ภาระที่ว่า มันภาระของใครกันแน่ ภาระของเมียหรือของคุณ
เมียหาเงินคนเดียว ยังกล้าพูดมีภาระ (รับรองเดี๋ยวแถกลับมาอีก)
:b32:
bigtoo เขียน:
กลับไปดูเรื่องนกแก้วไป ฝีมือล้วนๆผมตรวจสอบดูแล้วรายได้กับเงินที่พอมีเก็บอยู่บ้างว่ามันลงตัวพอดีกับวันเวลาเข้าใจบ่

ลงตัวแล้ว จะอยู่ทำไมให้ขายขี้หน้าประชาชี ไปบวชเงินทองไม่ต้องใช้
อันที่จริงบวชแล้วเงินทองไม่มีความจำเป็นแล้ว พระวินัยก็ห้ามเรื่องเงินทอง
ยกให้ลูกให้เมียไปเลย จะเก็บไว้แล้วอ้างด้านๆกับชาวบ้านว่ามีภาระ มันไม่เข้าท่า
bigtoo เขียน:
เรื่องเมียว่าไงทำไมไม่ทำหน้าที่ล่ะไหนบอกว่าเสพแบบไม่ยึดติดนะ บอกเลิกเขาทำไม เบื่่อเขาละมั้งอิๆๆ

สงสัยผมคุยอยู่กับหัวหลักหัวตออยู่มั้ง ไอ้เรื่องเสพเมถุนกับเมียน่ะผมสอนคุณว่า
มันไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมเพราะคุณอยู่ในสถานะผู้ครองเรือน แต่ถ้าจะไม่ยุ่งกับเมีย
จะต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองด้วย ไม่ใช่มาอยู่ในสถานะผู้ครองเรือนแบบนี้
คุยกับภรรยาให้เข้าใจแล้วก็แยกย้ายกันต่างคนต่างอยู่
"ไม่ใช่มาอ้างว่า เมียตัวเองเข้าใจ อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้ยุ่งกัน"
ถ้าเข้าใจมันต้อง ปล่อยวางแยกกันแล้วก็ไม่อาฆาตแค้น
ที่บิกทู่เป็นแบบนี้ก็เพราะ ไม่เข้าใจว่า กิเลสมันเกิดที่ใจ
มันไม่ได้เกิดที่กาย กายจะทำดีทำชั่วมันเพราะใจ ยามเมื่อเราตาย
กายที่ทำดีทำชั่ว มันก็กลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ
ดังนั้นการกระทำต้องทำที่ใจ ถ้าใจยังมีกิเลสแล้วใช้ศีลมาบังคับกาย
ถึงจะบังคับได้มันก็ได้แต่กาย แต่กิเลสก็ยังตามติดใจตัวเองอยู่


ส่วนเรื่องของผมกับเมีย คุยอธิบายให้ฟังแล้ว กรุณาอย่าดัดแปลงเรื่องของผม
เพราะจนมุมในคำพูดตัวเอง
bigtoo เขียน:
(คุณเคยได้ยินเรื่องนี้บ้างมั้ยที่คนเขาว่าพระไม่ทำอะไรวันๆหนึ่งและพระพุทธเจ้าก็ตอบว่างานของพระก็คือการถากถางกิเลส)

ใช่ไงงานของพระก็คือการถากถางกิเลส
คุณมากินนอนอยู่กับเมีย แล้วมาบอกชาวบ้านว่ากำลังถากถางกิเลส
ถ้าคุณจะทำอย่างพระ จะต้องไปอยู่ในสถานะพระ ไม่ใช่เป็นฆราวาสผู้ครองเรือน
งานการไม่ทำแล้วมาอ้างว่ากำลังถากถางกิเลส แบบนี้เขาจะด่าเอาได้ว่า...
ขี้เกียจแถมขี้โม้อีกต่างหาก :b32:


เรื่องที่ผมยังไม่บวชก็เพราะ ภาระคำเดียวกับคุณ แต่มันต่างกันที่สาระ
แล้วเรื่องลูก ใครบอกคุณว่าผมไม่มี ผมมีครับ ภาระของผมก็คือ การสอนลูกให้รู้จัก
หน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม อีกอย่างถ้าผมไปแล้วใครจะมาทำหน้าที่แทนผม
ที่ยังอยู่ก็เพื่อให้มีคนมาทำหน้าที่แทน และคนที่จะมาทำแทนเรา เป็นลูกของเรา
เราจะไม่สอนให้เข้าใจแต่ในสิ่งดีๆหรือ จะไม่สอนให้เขารู้จักการแก้ปัญหาหรือ
ถ้าได้อย่างนี้แล้ว เมื่อเราไปบวชจะได้ไม่ต้องมาแก้ปัญหาให้เขา เพราะมันไม่ใช่กิจของสงฆ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยพูดค้างไว้เรื่องของความรักกับความใคร่ ความแตกต่างของกามราคะและรูปราคะ
โดยยกเอาผู้หญิงมาให้ดู เรื่องเอาผู้หญิงมาเป็นตัวอย่างก็เพราะ ผู้หญิงส่วนใหญ่เลือกคู่ครอง
อันเกิดจากรูปราคะ หรือที่เรียกว่า "ความรัก"
แต่ผู้ชายส่วนใหญ่เลือกคู่ครองเพราะ"กามราคะ"หรือเรียกว่า"ความใคร่"

เคยพูดให้ฟังแล้วในกรณีที่ผู้หญิงยอมให้ผู้ชายร่วมเสพเมถุนด้วย
และในกรณีที่ไม่ยอมให้เสพเมถุน

ทีนี้จะมาพูดในกรณีที่ผู้หญิง ยอมให้ผู้ชายเสพเมถุน ที่ไม่ได้เกิดจากความรักและความใคร่
ผู้หญิงพวกนี้ก็คือ ผู้หญิงหากินหรือโสเภณีครับ ความต้องการของคนพวกนี้ก็คือเงินครับ
จึงไม่ได้มีความรักและความใคร่เข้ามาเกี่ยวข้อง ในกรณีนี้ เราอาจคิดว่าโสเภณีไม่มีกิเลส
เรื่องกามราคะและรูปราคะ แต่มันผิดศีล ก็ต้องไปคิดอีกว่า ผิดศีลข้อสามหรือ
มันก็ยังกล่าวได้ไม่เต็มปากเต็มคำ


แต่ผมบอกได้เลยว่า โสเภณีส่วนใหญ่รู้เรื่อง ที่เกี่ยวกับศีลข้อสาม และต้องคิดด้วยว่า
การกระทำของตนมันเกี่ยวกับศีลข้อสาม แสดงว่าเธอรู้เรื่องนี้ดีครับ
รู้แต่ไม่เชื่อว่าศีลจะเป็นจริง นั้นหมายความว่า ไม่เชื่อกฎแห่งกรรมครับ
ไม่เชื่อว่าจะมีโลกอดีตหรือโลกอนาคต เชื่อว่ามนุษย์ตายแล้วสูญประเภทเกิดหนเดียว
ตายหนเดียวนั้นแหล่ะครับ แบบนี้เรียกว่าเป็น มิจฉาทิฐิ
คือไม่สนใจเรื่องศีลครับ


ที่ยกเรื่องเหล่านี้มาพูดให้ฟัง ก็แค่อยากให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าแบ่งความคิดความเชื่อของคน
เป็นสามจำพวก การกระทำอย่างเดียวกัน อาจตีค่าความหมายไปต่างๆ

อย่างเช่นการเสพเมถุน บางคนคิดว่ามันไม่ดีเป็นเพราะ ถูกกิเลสเบื้องต่ำบ่งการ
หลงเข้าใจไปว่าการกระทำนั้นไม่ดี ไม่ได้ดูหรือไม่รู้ตัวกิเลสที่แท้จริง ไม่ได้ดูจิตตัวเอง
นั้นก็คือ เกิดความไม่อยากในอารมณ์ ความหมายของความไม่อยากในอารมณ์
มันหมายความว่า ได้เกิดกิเลสความอยากขึ้นแล้ว กิเลสเกิดขึ้นที่จิตแล้ว แต่ความไม่อยาก
ในอารมณ์หมายถึง ไม่อยากให้เกิดการแสดงออกทางกายหรือวาจา

ส่วนกรณีตรงข้าม คิดว่าการเสพเมถุนเป็นสิ่งดีเพราะถูกกิเลส"รูปราคะ"
หรือความ"รัก"เข้าครอบง้ำ จึงยอมให้ร่วมเสพเมถุน เพราะคิดว่าได้ทำหน้าที่ของเมีย
ที่ยอมยุ่งด้วยไม่ได้เกิดจากความใคร่ เป็นเพราะความรักเป็นกุศลธรรม


ส่วนผู้หญิงโสเพณี ไม่มีความศรัทธาในพุทธศาสนาครับ หรือรู้แต่ไม่เชื่อ


ทั้งสามตัวอย่างที่ยกมา พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละมันทั้งหมด
ไม่ใช่ให้ทำอย่างนี้ได้ แล้วก็ไปดูแคลนคนกระทำอีกอย่าง
เพราะสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นกิเลสครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
เอาเวลางานมาเล่นเน็ทถือว่ายักยอกเวลาราชการนะครับผิดศิลนะครับอิๆเอาๆเข้าไปว่าคนอื่นอีกแล้วใครไปดูถูกใคร การละสังโยช ได้สามตัวก็ใช่ว่าจะดับกิเลสได้ เพียงแต่กิเลสเบาบางลงนิดหน่อยเท่านั้นยังไม่ดับเป็นสมุจเฉทสักหน่อย โลภะ โทษะ โมหะก็ยังมีอยู่ไม่น้อย

ไหมล่ะ มันก็สร้างเรื่องแถไปได้เรื่อยๆ ตัวเองก็บอกเองว่า โสดาบันยังละกิเลสไม่ได้
พอเราบอกว่า โสดาบันละกิเลสเบื้องต่ำสามตัวแรกได้ ก็แถเป็นละสังโยชน์ได้
ที่กล้าแถแบบนี้เพราะไม่รู้ว่า สังโยชน์กับกิเลสเป็นตัวเดียวกัน

อีกอย่างการสร้างเรื่องเพื่อเอาตัวรอด ยังพออภัยกันได้ มันเป็นธรรมดาของสัตว์โลก
แต่ไอ้ประเภท สร้างเรื่องกล่าวหาคนอื่น มันสมควรประนามหยามเยียด

หาว่าเราเอาเวลางานมาเล่นเน็ต เก่งเหลือเกินเรื่อง"ดีใส่ตัว ชั่วให้คนอื่นนี่น่ะ"
บริษัทที่ผมทำงาน ถึงจะไม่ใช่ของผมแต่มันเป็น ของครอบครัว
ทำไมต้องยักยอกเวลา แล้วคอมพ์มันก็อยู่ตรงหน้าผม ทำไมผมจะเอา
นิ้วจิ้มไม่ได้ แล้วที่ว่าเล่นเน็ทมันเป็นคุณไม่ใช่ผม ผมเข้ามาเว็บธรรมะ
ไม่ได้เข้ามาเล่น ผมเข้ามาคุยธรรม ไม่เหมือนคุณนี่ครับว่างมาก เลยต้องขนขวาย
หาเว็บโป๊ดู แล้วมาอ้างว่าดูเฉยๆ รู้ก็รู้มันเป็นของสกปรก ยังแถว่าตัวใจกล้าดูแล้ว
ไม่เกิดอารมณ์ มันก็เหมือนนอนห้องเดียวกับเมีย แต่บอกไม่ได้ยุ่งกัน :b32:
bigtoo เขียน:
ผมก็มีภาระอยู่เข้าใจบ่ อีกแค่สองปีกว่าก็จบแล้วล่ะเข้าใจบ่ อย่างผมนะเหรอขี้เกลียด ขอเรียกไอ้น้องทีเถอะ ยังไม่รู้จัผมดี ผมไม่อยากโม้เดี๋ยวชีวิตมันจะดูห่างกันเกินไป

อย่างคุณไม่เรียกขี้เกียจแล้วจะให้เรียกอะไร เอาๆเดี๋ยวจะดูไม่ดี เปลี่ยนให้ใหม่ก็ได้ว่า
"ผู้เมินเฉยต่อหน้าที่การงาน"หรือจะเป็น"ผู้ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ" ดูดีขึ้นบ้างมั้ย :b13:

ไอ้ภาระที่ว่า มันภาระของใครกันแน่ ภาระของเมียหรือของคุณ
เมียหาเงินคนเดียว ยังกล้าพูดมีภาระ (รับรองเดี๋ยวแถกลับมาอีก)
:b32:
bigtoo เขียน:
กลับไปดูเรื่องนกแก้วไป ฝีมือล้วนๆผมตรวจสอบดูแล้วรายได้กับเงินที่พอมีเก็บอยู่บ้างว่ามันลงตัวพอดีกับวันเวลาเข้าใจบ่

ลงตัวแล้ว จะอยู่ทำไมให้ขายขี้หน้าประชาชี ไปบวชเงินทองไม่ต้องใช้
อันที่จริงบวชแล้วเงินทองไม่มีความจำเป็นแล้ว พระวินัยก็ห้ามเรื่องเงินทอง
ยกให้ลูกให้เมียไปเลย จะเก็บไว้แล้วอ้างด้านๆกับชาวบ้านว่ามีภาระ มันไม่เข้าท่า
bigtoo เขียน:
เรื่องเมียว่าไงทำไมไม่ทำหน้าที่ล่ะไหนบอกว่าเสพแบบไม่ยึดติดนะ บอกเลิกเขาทำไม เบื่่อเขาละมั้งอิๆๆ

สงสัยผมคุยอยู่กับหัวหลักหัวตออยู่มั้ง ไอ้เรื่องเสพเมถุนกับเมียน่ะผมสอนคุณว่า
มันไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมเพราะคุณอยู่ในสถานะผู้ครองเรือน แต่ถ้าจะไม่ยุ่งกับเมีย
จะต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองด้วย ไม่ใช่มาอยู่ในสถานะผู้ครองเรือนแบบนี้
คุยกับภรรยาให้เข้าใจแล้วก็แยกย้ายกันต่างคนต่างอยู่
"ไม่ใช่มาอ้างว่า เมียตัวเองเข้าใจ อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้ยุ่งกัน"
ถ้าเข้าใจมันต้อง ปล่อยวางแยกกันแล้วก็ไม่อาฆาตแค้น
ที่บิกทู่เป็นแบบนี้ก็เพราะ ไม่เข้าใจว่า กิเลสมันเกิดที่ใจ
มันไม่ได้เกิดที่กาย กายจะทำดีทำชั่วมันเพราะใจ ยามเมื่อเราตาย
กายที่ทำดีทำชั่ว มันก็กลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ
ดังนั้นการกระทำต้องทำที่ใจ ถ้าใจยังมีกิเลสแล้วใช้ศีลมาบังคับกาย
ถึงจะบังคับได้มันก็ได้แต่กาย แต่กิเลสก็ยังตามติดใจตัวเองอยู่


ส่วนเรื่องของผมกับเมีย คุยอธิบายให้ฟังแล้ว กรุณาอย่าดัดแปลงเรื่องของผม
เพราะจนมุมในคำพูดตัวเอง
bigtoo เขียน:
(คุณเคยได้ยินเรื่องนี้บ้างมั้ยที่คนเขาว่าพระไม่ทำอะไรวันๆหนึ่งและพระพุทธเจ้าก็ตอบว่างานของพระก็คือการถากถางกิเลส)

ใช่ไงงานของพระก็คือการถากถางกิเลส
คุณมากินนอนอยู่กับเมีย แล้วมาบอกชาวบ้านว่ากำลังถากถางกิเลส
ถ้าคุณจะทำอย่างพระ จะต้องไปอยู่ในสถานะพระ ไม่ใช่เป็นฆราวาสผู้ครองเรือน
งานการไม่ทำแล้วมาอ้างว่ากำลังถากถางกิเลส แบบนี้เขาจะด่าเอาได้ว่า...
ขี้เกียจแถมขี้โม้อีกต่างหาก :b32:


เรื่องที่ผมยังไม่บวชก็เพราะ ภาระคำเดียวกับคุณ แต่มันต่างกันที่สาระ
แล้วเรื่องลูก ใครบอกคุณว่าผมไม่มี ผมมีครับ ภาระของผมก็คือ การสอนลูกให้รู้จัก
หน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม อีกอย่างถ้าผมไปแล้วใครจะมาทำหน้าที่แทนผม
ที่ยังอยู่ก็เพื่อให้มีคนมาทำหน้าที่แทน และคนที่จะมาทำแทนเรา เป็นลูกของเรา
เราจะไม่สอนให้เข้าใจแต่ในสิ่งดีๆหรือ จะไม่สอนให้เขารู้จักการแก้ปัญหาหรือ
ถ้าได้อย่างนี้แล้ว เมื่อเราไปบวชจะได้ไม่ต้องมาแก้ปัญหาให้เขา เพราะมันไม่ใช่กิจของสงฆ์
555 ผมมีสมองหาเงินได้พอสมควรไม่ได้แบมือขอเงินเมียใช้สักหน่อยนะเข้าใจบ่ คนมีสมองเรียกว่าเมินเฉยต่อหน้าที่การงานเหรอจ๊ะ เงินมันอยู่ในอากาศ ใครมีปัญญาก็ไคว่คว้ามาได้

ผมนะทำมาเยอะแล้วตั้งแต่ข้างถนน ใส่สูทผูกเน็คไท นั่งประชุมกับระดับนายพลเอกตระกูลมหาเศรษษฐีระดับ1ของประเทศไทยผมยังเคยเลย และเวลาผมถอดหัวโขนออก ยังกล้ามาขายของริมถนนยังไม่อายเลยจนเพี่อนๆบอกยอมรับว่ะทำไมไม่อายล่ะ ผมบอกว่าจะอายทำไมผมไม่ไดทำผิดกฎหมายนี่ และสาวๆในบริษัทยังมาอุดหนุนผมเลยเข้าใจบ่ นี่ต่างหากของแท้

ทำงานให้ครอบครัวก็ต้องกินเงินเดือน จะมายักยอกหน้าที่ในเวลางานไม่ได้ถือว่าไม่ตรงต่อหน้าที่อิๆๆ นั้นเห็นหนังโป๊ะเป็นของสกปรกมันต้องผม ผมถึงเลิกเสพ ไม่ใช่สกปรกแต่ปากอิๆ ผมใช้เป็นเครื่องมืดทดสอบผมกำลังของผมเข้าใจบ่ ถ้าดูเพื่อความสนุกต้องทำน้องร้องไห้ด้วยเข้าใจบ่ และใครว่าการเสพเมถุนกับเมียมันผิดศิลล่ะครับหัวหลักหัวต่อเหรอไงบอกหลายครั้งแล้วเข้าใจบ่

และการที่ผมอยู่กับภรรยาผม ผมไม่ยุ่งกัน มันผิดตรงไหน จำเป็นต้องเปลี่ยนสถานะด้วยเหลือยึดติดรูปแบบไปป่าว ไหนบอกเข้าใจไงท่านมหา ออ!มีลูกกับเขาเหมือนกันเหรอ มีภาระเหมือนกันเหรอ ที่เราอธิบายว่าการเสพเมถุนนั้นมันนำมาซึ่งภาระนั้นไง ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เห็นโทษหรือยัง มันไม่ใช่เรื่องผิดหรือไม่ผิดมันเป็นเรื่องของปัญญษเข้าใจบ่

แล้วเลิกกับเมียทำไมบอกมาหน่อยซิอยากรู้เหตุผล ของผมนะบอกไปแล้วว่าหมดรักเขา ของคุณล่ะเมียไม่สวยเหรอ ยกตัวอย่างมาสักข้อสองข้อสิเผื่ออยากเลิกกับเมียอีกสักครั้งอิๆๆ หรือปฎิบัติธรรมบรรลุเลยเลิกกับเมียเลยอิๆๆ พูดดูสวยหรูสั่งสอนให้ลูกให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม แท้ๆก็ทำเพื่อตัวเอง พ่อคนดี อะไรก็อ้างสังคม เคยบริจาคเงินเยอะๆบ้างมั้ยครับเพื่อสังคมนะ ถามจริงเคยตักบาตรพระบ้างมั้ยอิๆๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2012, 04:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เคยพูดค้างไว้เรื่องของความรักกับความใคร่ ความแตกต่างของกามราคะและรูปราคะ
โดยยกเอาผู้หญิงมาให้ดู เรื่องเอาผู้หญิงมาเป็นตัวอย่างก็เพราะ ผู้หญิงส่วนใหญ่เลือกคู่ครอง
อันเกิดจากรูปราคะ หรือที่เรียกว่า "ความรัก"
แต่ผู้ชายส่วนใหญ่เลือกคู่ครองเพราะ"กามราคะ"หรือเรียกว่า"ความใคร่"

เคยพูดให้ฟังแล้วในกรณีที่ผู้หญิงยอมให้ผู้ชายร่วมเสพเมถุนด้วย
และในกรณีที่ไม่ยอมให้เสพเมถุน

ทีนี้จะมาพูดในกรณีที่ผู้หญิง ยอมให้ผู้ชายเสพเมถุน ที่ไม่ได้เกิดจากความรักและความใคร่
ผู้หญิงพวกนี้ก็คือ ผู้หญิงหากินหรือโสเภณีครับ ความต้องการของคนพวกนี้ก็คือเงินครับ
จึงไม่ได้มีความรักและความใคร่เข้ามาเกี่ยวข้อง ในกรณีนี้ เราอาจคิดว่าโสเภณีไม่มีกิเลส
เรื่องกามราคะและรูปราคะ แต่มันผิดศีล ก็ต้องไปคิดอีกว่า ผิดศีลข้อสามหรือ
มันก็ยังกล่าวได้ไม่เต็มปากเต็มคำ


แต่ผมบอกได้เลยว่า โสเภณีส่วนใหญ่รู้เรื่อง ที่เกี่ยวกับศีลข้อสาม และต้องคิดด้วยว่า
การกระทำของตนมันเกี่ยวกับศีลข้อสาม แสดงว่าเธอรู้เรื่องนี้ดีครับ
รู้แต่ไม่เชื่อว่าศีลจะเป็นจริง นั้นหมายความว่า ไม่เชื่อกฎแห่งกรรมครับ
ไม่เชื่อว่าจะมีโลกอดีตหรือโลกอนาคต เชื่อว่ามนุษย์ตายแล้วสูญประเภทเกิดหนเดียว
ตายหนเดียวนั้นแหล่ะครับ แบบนี้เรียกว่าเป็น มิจฉาทิฐิ
คือไม่สนใจเรื่องศีลครับ


ที่ยกเรื่องเหล่านี้มาพูดให้ฟัง ก็แค่อยากให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าแบ่งความคิดความเชื่อของคน
เป็นสามจำพวก การกระทำอย่างเดียวกัน อาจตีค่าความหมายไปต่างๆ

อย่างเช่นการเสพเมถุน บางคนคิดว่ามันไม่ดีเป็นเพราะ ถูกกิเลสเบื้องต่ำบ่งการ
หลงเข้าใจไปว่าการกระทำนั้นไม่ดี ไม่ได้ดูหรือไม่รู้ตัวกิเลสที่แท้จริง ไม่ได้ดูจิตตัวเอง
นั้นก็คือ เกิดความไม่อยากในอารมณ์ ความหมายของความไม่อยากในอารมณ์
มันหมายความว่า ได้เกิดกิเลสความอยากขึ้นแล้ว กิเลสเกิดขึ้นที่จิตแล้ว แต่ความไม่อยาก
ในอารมณ์หมายถึง ไม่อยากให้เกิดการแสดงออกทางกายหรือวาจา

ส่วนกรณีตรงข้าม คิดว่าการเสพเมถุนเป็นสิ่งดีเพราะถูกกิเลส"รูปราคะ"
หรือความ"รัก"เข้าครอบง้ำ จึงยอมให้ร่วมเสพเมถุน เพราะคิดว่าได้ทำหน้าที่ของเมีย
ที่ยอมยุ่งด้วยไม่ได้เกิดจากความใคร่ เป็นเพราะความรักเป็นกุศลธรรม


ส่วนผู้หญิงโสเพณี ไม่มีความศรัทธาในพุทธศาสนาครับ หรือรู้แต่ไม่เชื่อ


ทั้งสามตัวอย่างที่ยกมา พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละมันทั้งหมด
ไม่ใช่ให้ทำอย่างนี้ได้ แล้วก็ไปดูแคลนคนกระทำอีกอย่าง
เพราะสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นกิเลสครับ :b13:
น่าน....ไป แพร่ เลย ไปถึงผู้หญิงหากินเลยเขามีกรรมของเขาไม่มีใครอยากเป็นหรอกครับคุณก็บอกอยู่นี่ไงเรื่องการที่ผู้หญิงจะยอมเสพเมถุนจะต้องมีความรักไง(รักแบบที่เข้าใจผิดว่าเป็นความรัก)คนเราถ้าเขาไม่มีกรรมแล้วไม่มีใครหรอกครับอยากทำอาชีพนี้เพราะกรรมของเขาทำให้เขาไม่มีปัญญา ไม่ใช่ว่าเขาเห็นแก่เงิน ลองไปถามเขาดูซิว่าเขาอยากทำมั้ย ถึงดูเหมือนเขาจะเห็นแก่เงินก็เพราะกรรมนั้นแหล่ะที่ปิดบังปัญญาเขาเพราะเขาต้องได้รับกรรมที่ได้กระทำมาแต่อดีตชาติทำให้เขาไมมีปัญญาเข้าใจบ่ ยังๆยังไม่เข้าใจอีกรักแท้มันไม่มีหรอกสำหรับปุถุชนเข้าใจบ่ ลองเจาะลงไปลึกๆดูแล้วจะรู้ว่ามันกิเลสทั้งนั้น มันจะเป็นรูปราคะหรืออะไรไม่ต้องเรียกให้ปวดหัวหรอกพ่อหนุม มันโทษทั้งนั้นแหละ ละเสียก็จบ ง่ายๆเข้าใจบ่ ใครไปดูถูกดูแคลนใคร เราคุยกันมันก็ต้องยกตัวอย่างคุณเป็นคนแรงมาก่อนผมก็ตอบกลับ จะได้รู้ตัวเองบ้างเข้าใจบ่ ไม่ใช่ข้าแน่อยู่คนเดียว โถๆเด็กน้อย ไม่ยากบอกว่ากบอยู่ในกะลา(เดี๋ยวพี่กบเขาจะว่าเอาเกรงใจพี่กบเขา)อิๆๆออกไปดูโลกภายนอกบ้างจะได้รู้ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง จะได้มีเพื่อนเยอะๆจะได้รู้จริงๆไม่ได้นั่งคิดเอาเข้าใจบ่

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
น่าน....ไป แพร่ เลย ไปถึงผู้หญิงหากินเลยเขามีกรรมของเขาไม่มีใครอยากเป็นหรอกครับ

นี่ขนาดพูดธรรมเหมือนแต่งเรียงความ มันยังใช้คำผิดๆถูก
กรรมมันมีความหมายว่า....การกระทำ
กรรมมันมีสามอย่างคือ มโนกรรม กายกรรมและวจีกรรม

กายกรรมและวจีกรรมไม่ใช่ความอยาก กายกรรมและวจีกรรมเป็นผลมาจากมโนกรรม
ความอยากเกิดที่มโนกรรม จีงทำให้เกิดกายกรรมและวจีกรรมขึ้น

ดังนั้นกรรมที่เกิดขึ้นทางกายและวาจา ไม่ใช่ความอยากหรือไม่อยาก
แต่มันเป็นผลมาจากความอยากหรือไม่อยาก

ความอยากและไม่อยากล้วนเป็นกิเลส เมื่อมันเกิดกิเลสตัวไหนขึ้นใจก็จะไป
บ่งการให้กายและวาจาทำตาม ใจอยากในเงินทองทรัพย์สมบัติ ใจก็จะไปบ่งการ
กายให้ยอมเสพเมถุน สาเหตุเพราะใจอยากได้เงิน

ถ้าผู้หญิงเกิดความไม่อยากได้เงินทองมาในลักษณะนี้ ใจจะเกิดความไม่อยาก
ใจก็จะไปบ่งการให้กายปฏิเสธการกระทำดังว่า

สอนบิกทู่ ยกตัวอย่างในเรื่องกรรมให้ดู เช่น
การที่บิกทู่ชอบผู้หญิงที่สาวและสวย อันนี้เรียกกิเลสตัณหา จากนั้นบิกทู่ก็เอาผู้หญิงนั้นมา
ทำเมีย อันนี้เรียกว่า..กรรม(การกระทำ) แล้วการที่บิกทู่ต้องมาทำกับข้าวให้เมียกินนี่เขาเรียก...
วิบาก(ผลของการกระทำ) ถ้าจะให้พูดแนวหนังผีก็คือ .....
บิกทู่กับเมียเป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกัน :b32:

bigtoo เขียน:
คุณก็บอกอยู่นี่ไงเรื่องการที่ผู้หญิงจะยอมเสพเมถุนจะต้องมีความรักไง(รักแบบที่เข้าใจผิดว่าเป็นความรัก)

ไม่มีสติสตังพิจารณาธรรมก็เลยตามเลยเถอะ ขี้เกียจย้อนเสียเวลา
ไปงมหอยโข่งกับเพื่อนคุณเถอะ
bigtoo เขียน:
คนเราถ้าเขาไม่มีกรรมแล้วไม่มีใครหรอกครับอยากทำอาชีพนี้เพราะกรรมของเขาทำให้เขาไม่มีปัญญา ไม่ใช่ว่าเขาเห็นแก่เงิน ลองไปถามเขาดูซิว่าเขาอยากทำมั้ย ถึงดูเหมือนเขาจะเห็นแก่เงินก็เพราะกรรมนั้นแหล่ะที่ปิดบังปัญญาเขาเพราะเขาต้องได้รับกรรมที่ได้กระทำมาแต่อดีตชาติทำให้เขาไมมีปัญญาเข้าใจบ่

พูดจาอะไรหว่า! พูดไปได้เรื่อย ฟุ้งบัญญัติไม่ได้เรื่อง
เอาแค่กรรมก็พูดผิดพูดถูกแล้ว กรรมคือการกระทำในภพชาติปัจจุบัน
ส่วนผลของกรรมในอดีต เขาเรียก..วิบาก
และความหมายของวิบากในพุทธศาสนา หมายถึงการที่ต้องมาเกิดแล้วเกิดอีก เข้าใจมั้ย

ถ้าพูดถึงชาติปัจจุบัน ก็คือ จิตเกิดความอยากอันนี้เป็นเป็นกรรม
มันส่งผลให้เกิดวิบากกรรมก็คือ กายต้องมาขายตัว

แล้วก็อย่าพูดมั่วว่า การกระทำของโสเภณีเป็นกรรมปิดบังปัญญา
โสเภณีเป็นโสดาบันเป็นพระอรหันต์ตั้งหลายองค์ งมโข่งจริงๆ

bigtoo เขียน:
ยังๆยังไม่เข้าใจอีกรักแท้มันไม่มีหรอกสำหรับปุถุชนเข้าใจบ่ ลองเจาะลงไปลึกๆดูแล้วจะรู้ว่ามันกิเลสทั้งนั้น มันจะเป็นรูปราคะหรืออะไรไม่ต้องเรียกให้ปวดหัวหรอกพ่อหนุม มันโทษทั้งนั้นแหละ ละเสียก็จบ ง่ายๆเข้าใจบ่ ใครไปดูถูกดูแคลนใคร เราคุยกันมันก็ต้องยกตัวอย่างคุณเป็นคนแรงมาก่อนผมก็ตอบกลับ จะได้รู้ตัวเองบ้างเข้าใจบ่ ไม่ใช่ข้าแน่อยู่คนเดียว โถๆเด็กน้อย ไม่ยากบอกว่ากบอยู่ในกะลา(เดี๋ยวพี่กบเขาจะว่าเอาเกรงใจพี่กบเขา)อิๆๆออกไปดูโลกภายนอกบ้างจะได้รู้ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง จะได้มีเพื่อนเยอะๆจะได้รู้จริงๆไม่ได้นั่งคิดเอาเข้าใจบ่


ที่บิกทู่บอก"รักแท้ไม่มีหรอก"น่ะ ถึงถามไงว่า เกิดและโตที่บ้านเด็กกำพร้าหรือไง
และลูกสาวเก็บได้ใช่มั้ย เคยเห็นพ่อแม่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะให้ลูกมั้ย เคยเห็นพ่อแม่บุก
เข้าช่วยลูกในกองเพลิง จนตัวเองตายแทนมั้ย ที่พ่อแม่ทำแบบนี้เพราะอะไรไม่รู้หรือทู่

แล้วแบบนี้เรื่องของผัวเมียก็มี ถ้าอยากรู้ต้องไปดูคนที่อยู่ด้วยกันสองคนตายาย
ก็จะเห็นความเอื้ออาทรต่อกัน

ที่บิกทู่บอกไม่มีความรักแบบนี้ เพราะบิกทู่เอาตัวเองหลัก บิกทู่ไม่รู้จัก..
คำว่าเสียสละ ก็เลยไม่เข้าใจคำว่าความรัก (ไม่ต้องโม้กลับมาน่ะขี้เกียจฟัง) :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 05:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
น่าน....ไป แพร่ เลย ไปถึงผู้หญิงหากินเลยเขามีกรรมของเขาไม่มีใครอยากเป็นหรอกครับ

นี่ขนาดพูดธรรมเหมือนแต่งเรียงความ มันยังใช้คำผิดๆถูก
กรรมมันมีความหมายว่า....การกระทำ
กรรมมันมีสามอย่างคือ มโนกรรม กายกรรมและวจีกรรม

กายกรรมและวจีกรรมไม่ใช่ความอยาก กายกรรมและวจีกรรมเป็นผลมาจากมโนกรรม
ความอยากเกิดที่มโนกรรม จีงทำให้เกิดกายกรรมและวจีกรรมขึ้น

ดังนั้นกรรมที่เกิดขึ้นทางกายและวาจา ไม่ใช่ความอยากหรือไม่อยาก
แต่มันเป็นผลมาจากความอยากหรือไม่อยาก

ความอยากและไม่อยากล้วนเป็นกิเลส เมื่อมันเกิดกิเลสตัวไหนขึ้นใจก็จะไป
บ่งการให้กายและวาจาทำตาม ใจอยากในเงินทองทรัพย์สมบัติ ใจก็จะไปบ่งการ
กายให้ยอมเสพเมถุน สาเหตุเพราะใจอยากได้เงิน

ถ้าผู้หญิงเกิดความไม่อยากได้เงินทองมาในลักษณะนี้ ใจจะเกิดความไม่อยาก
ใจก็จะไปบ่งการให้กายปฏิเสธการกระทำดังว่า

สอนบิกทู่ ยกตัวอย่างในเรื่องกรรมให้ดู เช่น
การที่บิกทู่ชอบผู้หญิงที่สาวและสวย อันนี้เรียกกิเลสตัณหา จากนั้นบิกทู่ก็เอาผู้หญิงนั้นมา
ทำเมีย อันนี้เรียกว่า..กรรม(การกระทำ) แล้วการที่บิกทู่ต้องมาทำกับข้าวให้เมียกินนี่เขาเรียก...
วิบาก(ผลของการกระทำ) ถ้าจะให้พูดแนวหนังผีก็คือ .....
บิกทู่กับเมียเป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกัน :b32:

bigtoo เขียน:
คุณก็บอกอยู่นี่ไงเรื่องการที่ผู้หญิงจะยอมเสพเมถุนจะต้องมีความรักไง(รักแบบที่เข้าใจผิดว่าเป็นความรัก)

ไม่มีสติสตังพิจารณาธรรมก็เลยตามเลยเถอะ ขี้เกียจย้อนเสียเวลา
ไปงมหอยโข่งกับเพื่อนคุณเถอะ
bigtoo เขียน:
คนเราถ้าเขาไม่มีกรรมแล้วไม่มีใครหรอกครับอยากทำอาชีพนี้เพราะกรรมของเขาทำให้เขาไม่มีปัญญา ไม่ใช่ว่าเขาเห็นแก่เงิน ลองไปถามเขาดูซิว่าเขาอยากทำมั้ย ถึงดูเหมือนเขาจะเห็นแก่เงินก็เพราะกรรมนั้นแหล่ะที่ปิดบังปัญญาเขาเพราะเขาต้องได้รับกรรมที่ได้กระทำมาแต่อดีตชาติทำให้เขาไมมีปัญญาเข้าใจบ่

พูดจาอะไรหว่า! พูดไปได้เรื่อย ฟุ้งบัญญัติไม่ได้เรื่อง
เอาแค่กรรมก็พูดผิดพูดถูกแล้ว กรรมคือการกระทำในภพชาติปัจจุบัน
ส่วนผลของกรรมในอดีต เขาเรียก..วิบาก
และความหมายของวิบากในพุทธศาสนา หมายถึงการที่ต้องมาเกิดแล้วเกิดอีก เข้าใจมั้ย

ถ้าพูดถึงชาติปัจจุบัน ก็คือ จิตเกิดความอยากอันนี้เป็นเป็นกรรม
มันส่งผลให้เกิดวิบากกรรมก็คือ กายต้องมาขายตัว

แล้วก็อย่าพูดมั่วว่า การกระทำของโสเภณีเป็นกรรมปิดบังปัญญา
โสเภณีเป็นโสดาบันเป็นพระอรหันต์ตั้งหลายองค์ งมโข่งจริงๆ

bigtoo เขียน:
ยังๆยังไม่เข้าใจอีกรักแท้มันไม่มีหรอกสำหรับปุถุชนเข้าใจบ่ ลองเจาะลงไปลึกๆดูแล้วจะรู้ว่ามันกิเลสทั้งนั้น มันจะเป็นรูปราคะหรืออะไรไม่ต้องเรียกให้ปวดหัวหรอกพ่อหนุม มันโทษทั้งนั้นแหละ ละเสียก็จบ ง่ายๆเข้าใจบ่ ใครไปดูถูกดูแคลนใคร เราคุยกันมันก็ต้องยกตัวอย่างคุณเป็นคนแรงมาก่อนผมก็ตอบกลับ จะได้รู้ตัวเองบ้างเข้าใจบ่ ไม่ใช่ข้าแน่อยู่คนเดียว โถๆเด็กน้อย ไม่ยากบอกว่ากบอยู่ในกะลา(เดี๋ยวพี่กบเขาจะว่าเอาเกรงใจพี่กบเขา)อิๆๆออกไปดูโลกภายนอกบ้างจะได้รู้ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง จะได้มีเพื่อนเยอะๆจะได้รู้จริงๆไม่ได้นั่งคิดเอาเข้าใจบ่


ที่บิกทู่บอก"รักแท้ไม่มีหรอก"น่ะ ถึงถามไงว่า เกิดและโตที่บ้านเด็กกำพร้าหรือไง
และลูกสาวเก็บได้ใช่มั้ย เคยเห็นพ่อแม่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะให้ลูกมั้ย เคยเห็นพ่อแม่บุก
เข้าช่วยลูกในกองเพลิง จนตัวเองตายแทนมั้ย ที่พ่อแม่ทำแบบนี้เพราะอะไรไม่รู้หรือทู่

แล้วแบบนี้เรื่องของผัวเมียก็มี ถ้าอยากรู้ต้องไปดูคนที่อยู่ด้วยกันสองคนตายาย
ก็จะเห็นความเอื้ออาทรต่อกัน

ที่บิกทู่บอกไม่มีความรักแบบนี้ เพราะบิกทู่เอาตัวเองหลัก บิกทู่ไม่รู้จัก..
คำว่าเสียสละ ก็เลยไม่เข้าใจคำว่าความรัก (ไม่ต้องโม้กลับมาน่ะขี้เกียจฟัง) :b13:
คุณเคยได้ยินเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปติเตียนภิกษุณีมั้ยที่ต้องเกิดเป็นหญิงโสเภณีตั้งหลายร้อยชาติมั้ย มันเกิดแต่แรงกรรมทั้งนั้น แต่เรื่องกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอะไรที่คุณว่านั้นมันเป็นสัขขารขันต์ที่ปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยในปัจจุบันที่จะเป็นผลสืบต่อไปในอนาคต ส่วนเรื่องทำกับข้าวอะไรนั้นไม่ต้องคุยให้ปวดหัวหรอก มนุษย์มันก็ทำทั้งนั้นนั้นแหล่ะไม่ทำอันนี้ก็ไปทำอันอื่น ไม่ต่างกัน ส่วนเรื่องความรักยังไม่เข้าใจอีกเหรอ รักแท้ในปุถุชนไม่มี สิ่งที่พ่อ แม่ทำให้ลูกนั้นก็ไม่ใช่คำว่ารักเพราะลูกฉัน ลูกของฉัน ฉันทำได้ และลูกคนอื่นทำได้มั้ยล่ะ มันก็ไม่ใช่รักแท้อยู่ดี มันแค่เป็นการปรารถนาเพื่อของตนเองแอบแฝงด้วยโมหะ คุณกลับไปตีความหมายใหม่ดีกว่า ความเมตตา กรุณานั้นแหล่ะคือความบริสุทธิ์ที่แท้จริงเข้าใจบ่

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำความเข้าใจเพิ่มเติม เดี๋ยวจะหาว่าBigtooเป็นคนพิกลพิการวิปริตผิดมนุษย์ ผมก็มีความรักเหมือนกับทุกๆท่านนั้นแหละครับ แต่ความรักของผมก็ยังไม่ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่แท้จริง ความรักพ่อของของแม่นั้นดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดๆในโลก แต่มันก้เป็นได้เฉพาะลูกของตนเองเท่านั้น

ซึ่งยังถือว่าเป็นโมหะที่ละเอียดอ่อนมากอยากที่จะเข้าใจได้ จนเป็นความโง่ที่มองเห็นยากมากๆจึงเป็นสิ่งที่แน่นเหนียวเกี่ยวดึงมนุษย์ให้หลุดออกจากวัฎฎะสงสารได้ยาก แม้กระทั้งผมเองก็ยังไม่สามารถแกะสิ่งนี้ได้ในขณะนี้ เพราะสภาวธรรมนั้นยังไม่ถึง แต่ก็พิจารณาเรื่องอย่างนี้มากทีเดียว สถานะทางครอบครัวยังมีแต่หวงใย แต่ความผูกพันมีกันน้อยมากเพราะต้องการฝึกกันทั้งหมด ไม่ให้เกี่ยวพันพูกพันกันมากนัก เพียงทำหน้าที่ให้สมบูรณ์เท่านั้น

แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ยังมือบอดกันอยู่ยังตีความรักแบบนี้เป็นสิ่งที่ดี มันอาจจะดีบ้างแต่มองในแง่วัฎฎะแล้วมันโหดร้ายที่สุด ไม่ต่างจาก ยาพิษปนน้ำผึ้งเพียงหยดช่างรุนแรงเหมือนกรดลดราดบนดวงชีวี :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 11:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเช้าตอนกำลังจะเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามถนนไปเข้าที่ทำงาน
(อิอิ ขนาดวันหยุดยังต้องไปทำงาน :b9: )
ก็เดินผ่านรถเข็นขายขนุน
ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งก็แต่งตัวเซอร์ ๆ เสื้อสีหมอง ๆ กางเกงยีนส์มอม ๆ
อายุประมาณ สี่สิบกว่า ๆ
พอเขาจอดมอไซค์เสร็จเขาก็เดินอ้อมมาทางด้านหลังแม้ค้า
แล้วหยิบขนุนเข้าปากชิ้นนึง แล้วพูด "เอ้อ หวานดีนี่"
(คงจะรู้จักกันกับแม่ค้านั่นล่ะ)
แล้วเขาก็บอกแม่ค้า
"งั๊นเอาไว้ให้ถุงนึงนะ เอาสวยๆนะ จะเอาไปให้เมียกิน"

น่ารักนะ จะซื้อขนุนไปฝากเมีย
ยังต้องชิมก่อน หวานถึงจะซื้อ
แถมยังกำชับให้แม่ค้าเลือกสวยให้อีก

คือจริง ๆ มันดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่เรื่องเล็กน้อย จะให้เมียกิน เขาก็ยังเอาใจใส่ที่จะให้เมียกินของดี ๆ
และตอนที่เขาพูด ก็เหมือนกับว่ามันเป็นธรรมชาติของเขา

เอกอนก็มองหน้าเขายิ้ม ๆ แล้วแซว ๆ
"หึ หึ เอาไปให้เมียกิน ต้องสวย ๆ ด้วยนะ"
เขาก็ยิ้ม ๆ และหัวเราะตอบกลับมา
"555 ถ้าไม่สวยเดี๋ยวมันด่า 555"

:b32: :b32: :b32:

เขาน่ารักดี

อย่างป๊ะป๋าเอกอน สมัยที่ยังมีชีวิต
เวลาไปไหนกลับมา ยังไม่เคยซื้ออะไรกลับมาฝากลูกฝากเมียเลย

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เมื่อเช้าตอนกำลังจะเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามถนนไปเข้าที่ทำงาน
(อิอิ ขนาดวันหยุดยังต้องไปทำงาน :b9: )
ก็เดินผ่านรถเข็นขายขนุน
ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งก็แต่งตัวเซอร์ ๆ เสื้อสีหมอง ๆ กางเกงยีนส์มอม ๆ
อายุประมาณ สี่สิบกว่า ๆ
พอเขาจอดมอไซค์เสร็จเขาก็เดินอ้อมมาทางด้านหลังแม้ค้า
แล้วหยิบขนุนเข้าปากชิ้นนึง แล้วพูด "เอ้อ หวานดีนี่"
(คงจะรู้จักกันกับแม่ค้านั่นล่ะ)
แล้วเขาก็บอกแม่ค้า
"งั๊นเอาไว้ให้ถุงนึงนะ เอาสวยๆนะ จะเอาไปให้เมียกิน"

น่ารักนะ จะซื้อขนุนไปฝากเมีย
ยังต้องชิมก่อน หวานถึงจะซื้อ
แถมยังกำชับให้แม่ค้าเลือกสวยให้อีก

คือจริง ๆ มันดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่เรื่องเล็กน้อย จะให้เมียกิน เขาก็ยังเอาใจใส่ที่จะให้เมียกินของดี ๆ
และตอนที่เขาพูด ก็เหมือนกับว่ามันเป็นธรรมชาติของเขา

เอกอนก็มองหน้าเขายิ้ม ๆ แล้วแซว ๆ
"หึ หึ เอาไปให้เมียกิน ต้องสวย ๆ ด้วยนะ"
เขาก็ยิ้ม ๆ และหัวเราะตอบกลับมา
"555 ถ้าไม่สวยเดี๋ยวมันด่า 555"

:b32: :b32: :b32:

เขาน่ารักดี

อย่างป๊ะป๋าเอกอน สมัยที่ยังมีชีวิต
เวลาไปไหนกลับมา ยังไม่เคยซื้ออะไรกลับมาฝากลูกฝากเมียเลย

:b16: :b16: :b16:
เอกอน เคยเห็นตอนมันเล่นแม่ไม้มวยไทยใส่เมียเขามั้ยล่ะอิ
:b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 18:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เอกอน เคยเห็นตอนมันเล่นแม่ไม้มวยไทยใส่เมียเขามั้ยล่ะอิ
:b12:

:b32: :b32: :b32:

อ่านแล้วรู้สึกว่าเขาดูจะเอาใจเมีย ราวกับว่าเพิ่งก่อคดีอะไรเอาไว้กับเมียใช่ป่าว

:b32: :b32: :b32:

อิอิ ไม่รู้สิ่
แต่เท่าที่เคยได้ฟังสาว ๆ ที่มีสามีเขาคุยกัน
ถ้าวันไหนสามีลุกขึ้นมาทำอะไรเอาใจเมีย แสดงว่า อาจจะต้องมีลับลมคมใน

อาจจะแบบว่า ซื้อขนุนไปฝากเมีย
พอเมียกินอิ่มอร่อยเสร็จ
ก็ "ที่รักจ๋า พี่ขอยืมตังค์สัก 1 แสน"

555


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2012, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
เอกอน เคยเห็นตอนมันเล่นแม่ไม้มวยไทยใส่เมียเขามั้ยล่ะอิ
:b12:


:b32: :b32: :b32:

อ่านแล้วรู้สึกว่าเขาดูจะเอาใจเมีย ราวกับว่าเพิ่งก่อคดีอะไรเอาไว้กับเมียใช่ป่าว

:b32: :b32: :b32:

อิอิ ไม่รู้สิ่
แต่เท่าที่เคยได้ฟังสาว ๆ ที่มีสามีเขาคุยกัน
ถ้าวันไหนสามีลุกขึ้นมาทำอะไรเอาใจเมีย แสดงว่า อาจจะต้องมีลับลมคมใน

อาจจะแบบว่า ซื้อขนุนไปฝากเมีย
พอเมียกินอิ่มอร่อยเสร็จ
ก็ "ที่รักจ๋า พี่ขอยืมตังค์สัก 1 แสน"

555


:b32: :b32: :b32:
รู้ทันไปหมด ยังไม่เคยมีแฟนสักหน่อยรู้ได้ไง555 :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 126 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron