วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 13:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2012, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ชีเจียนพานางสาวส้มป่อยมาขอขึ้นกรรมฐานที่กุฏิท่านพระครูตอนห้าโมงเย็น เมื่ออยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว หน้าตาที่ซีดเซียวเพราะถูกโรคร้ายรุมเร้า ดูดีขึ้น ขอกรรมฐานเสร็จ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงพูดขึ้นว่า
"เอาละ ประเดี๋ยวกลับไปที่สำนักชี ให้เขาสอนเดินจงกรมและนั่งสมาธิให้ แม่ชีต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษหน่อยนะ เขาป่วยหนักและมีทุกขเวทนามาก บางครั้งอาจหงุดหงิดฉุนเฉียวแม่ชีต้องเข้าใจ อย่าไปโกรธเคืองเขา เพราะคนที่กำลังป่วยเป็นอย่างนี้ทุกคน เข้าใจหรือเปล่า"
"เข้าใจจ้ะหลวงพ่อ ฉันจะดูแลให้ดีที่สุด และจะคิดว่าเขาก็เหมือนกับลูกหลานของฉันคนหนึ่ง" แม่ชีเจียนรับคำแข็งขัน
"ดีแล้ว นึกว่าสร้างบารมีให้ตัวเอง ด้วยการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ส้มป่อยเอ็งกราบแม่ชีเขาเสียซิ ฝากเนื้อฝากตัวไว้ เพราะเขาจะช่วยดูแลเอ็ง แล้วก็พยายามสงบสติอารมณ์เสียบ้าง เวลาปวดมาก ๆ ก็ให้อดทน อย่าไปเที่ยวอาละวาดระรานคนอื่นเขาล่ะ" ท่านกำชับไว้ก่อน หญิงสาวก้มลงกราบแม่ชีหนึ่งครั้ง
"ดีแล้ว เอาละ เดี๋ยวจะให้ยาไปกิน นี่นะยาแก้มะเร็ง เอาชงดื่มต่างน้ำ ถ้าเอ็งหิวน้ำก็ให้ดื่มยานี้แทน ชงเหมือนชงชานั่นแหละ รสชาติมันขมและเฝื่อน แต่เอ็งก็ต้องฝืนใจดื่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ยานี้จะเข้าไปขับเลือด ขับหนองและของเน่าของเสียออกมา"
"ขับหนอนด้วยหรือเปล่าจ๊ะ หลวงพ่อ" หล่อนถาม
"ด้วยสิ พอมันถูกยาเข้าไป มันก็จะอยู่ไม่ได้"
"มันจะตายใช่ไหมจ๊ะ แล้วหลวงพ่อไม่บาปหรือจ๊ะ"
"บาปสิ ถ้ามันตาย ข้าบาปแน่ ๆ แต่มันไม่ตายหรอก เมื่ออยู่ไม่ได้ มันก็จะพากันหาทางออกมาเอง ไม่ต้องห่วง ถ้าเอ็งอยากหายเร็ว ๆ ก็ต้องขยันกินยาแล้วก็จะหาย ข้ารักษาหายมาหลายรายแล้ว ด้วยยานี้"
"แล้วที่ตาย มีไหมจ๊ะ" หญิงสาวถามอีก
"มี ทำไม่จะไม่มี" ท่านตอบตามตรง
"ว้า งั้นฉันอาจจะตายก็ได้" หล่อนรู้สึกใจหดหู่ขึ้นมาอีก
"ใช่ ถ้าเอ็งไม่ยอมกินยา เอ็งตายแน่ ๆ เพราะคนที่เขาตายนั้น ไม่ใช่เพราะยาไม่ดี แต่เพราะเขาไม่ยอมกินยา ไม่สามารถฝืนใจตัวเอง เพราะเคยชินแต่กับรสที่น่าปรารถนา น่าพอใจ พอมาเจอรสยานี่เข้า เลยทนไม่ได้"
"รสชาติมันรายกาจมาเลยแหละหนู ขนาดลุงเคยกินยาขมมาหลายขนาน ก็ยังไม่ได้ครึ่งของยานี้ หนูลองชิมดูก็ได้" อาจารย์ชิตพูดพร้อมกับส่งถ้วยบรรจุน้ำสีน้ำตาลแกมเหลือง คล้ายกับสีของน้ำชาให้หล่อน
"ขอบใจจ้ะ" หญิงสาวรับถ้วยพลางกล่าวคำขอบใจ ท่านพระครูจึงถือโอกาสสอนว่า "พูดกับคนที่อาวุโสกว่าต้องว่า "ขอบคุณ" ส่วน "ขอบใจ" นั่นใช้กับเพื่อนหรือคนที่อายุน้อยกว่า จำไว้ ทีหลังจะได้พูดได้ถูกต้อง"
"จ้ะ งั้นฉันพูดใหม่ให้ถูกต้องก็ได้" หล่อนหันไปทางอาจารย์ชิตพูดใหม่ว่า "ขอบคุณจ้ะ" แล้วจึงยกถ้วยยาขึ้นดื่ม เพียงลิ้นสัมผัส หล่อนก็รีบวางแล้ววิ่งออกไปบ้วนทิ้งที่หน้ากุฏิ กระนั้นก็ยังรู้สึกว่ารสขมติดปากติดลิ้นอยู่ ท่านพระครูจึงว่า
"นั่นไง เดี๋ยวก็ได้ตายอีกคนหรอก"
"โอย หลวงพ่อ ทำไมมันขมร้ายกาจอย่างนี้ ไม่กินยาไม่ได้หรือจ๊ะ ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียวได้ไหม" หล่อนขอต่อรอง
"ก็ในเมื่อยา เอ็งยังกินไม่ได้ แล้วเอ็งจะไปปฏิบัติได้ยังไง เพราะการปฏิบัติกรรมฐานเพื่อแก้กรรมนั้น มันทุกข์ทรมานยิ่งกว่ากินยาขมหลายเท่านัก ไม่ใช่ปฏิบัติจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ แล้วจะแก้กรรมได้ ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันเชียวละ ท่านเจ้าของกุฏิชี้แจง
นี่ก็แปลว่าฉันต้องทนปวดหน้าอก ทนกินยา แล้วยังต้องทนปฏิบัติกรรมฐานอีก ทำไมมันหนักหนาสาหัสอย่างนี้ล่ะจ๊ะหลวงพ่อ" สตรีวัยยี่สิบเศษนึกท้อ
"เอ็งจะได้เข็ดหลาบยังไงล่ะ ทีหลังจะได้ไม่ก่อกรรมทำเวรอีก เอาเถอะกลับไปได้แล้ว แม่ชีช่วยเป็นหูเป็นตาแทนด้วยนะ" ท่านฝากฝังกับแม่ชีเจียนอีกครั้ง
"จ้ะ หลวงพ่ออย่าได้เป็นห่วงเลย ฉันจะดูแลอย่างดีที่สุด หากมีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงก็จะมากราบเรียนให้หลวงพ่อทราบ ฉันลาละจ้ะ" แม่ชีกราบท่านเจ้าของกุฏิสามครั้ง แล้วชวนนางสาวส้มป่อยกลับสำนักชี หญิงสาวกราบท่านพระครูและกำลังจะลุกตามแม่ชีออกไป ก็พอดีกับท่านเจ้าของกุฏิถามขึ้นว่า
"ส้มป่อยบ้านเอ็งอยู่ติดกับบ้านตาวนไม่ใช่หรือ แกเป็นยังไงบ้าง" ท่านถามถึงเพื่อนบ้านของนางสาวส้มป่อย
"เห็นว่าป่วยมานานแล้วจ้ะ ไอ้ฉันก็ไม่ได้ไปเยี่ยม เพราะลำพังตัวเองก็จะเอาไม่รอด ลูกสาวแกคนที่เป็นเพื่อนกับฉัน บอกว่าเอาไปอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือนก็ไม่หาย แล้วแกก็รบเร้าให้ลูกพากลับบ้าน"
"อ้อ ยังงั้นหรอกหรือ แกป่วยเป็นอะไรล่ะ"
"ก็โรคคนแก่นั่นแหละจ้ะหลวงพ่อ สงสัยอีกไม่นานคงต้องกลับบ้านเก่า นี่ฉันไม่ได้แช่งนะ" หล่อนรีบออกตัว
"เอาละ ๆ ไปได้แล้ว ประเดี๋ยวข้าเห็นจะต้องไปเยี่ยมแกสักหน่อย เรือข้ามฟากยังมีใช่ไหม"
"มีจ้ะ ทุ่มนึงถึงจะหมด นิมนต์หลวงพ่อรีบไปเถอะจ้ะ"
"ถ้ายังงั้น โยมปฏิบัติไปก่อนนะ อาตมาจะไปเยี่ยมไข้เขาสักหน่อย เดี๋ยวกลับมาจะเล่าอะไรให้ฟัง" ท่านบอกอาจารย์ชิต
"ครับ นิมนต์หลวงพ่อเถิดครับ" อาจารย์ชิตว่า รู้สึกดีใจที่จะได้ฟังท่าน "เล่าอะไร"
"สมชาย ขุนทอง หายกันไปไหนหมดล่ะ" ท่านถามหาลูกศิษย์และหลานชาย นายขุนทองกำลังอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ในห้อง ได้ยินท่านเรียกจึงออกมา
"หลวงลุงมีอะไรจะใช้หนูหรือฮะ"
"สมชายไปไหนเสียล่ะ"
"โน่นแหละฮ่ะ บ้านเหนือโน่น" เขาชี้มือประกอบ
"ถ้าอย่างนั้น เอ็งไปเตรียมของเยี่ยมคนป่วยมาหนึ่งชุด จัดใส่ถาดมาให้เรียบร้อย แล้วก็หาซองเปล่ามาหนึ่งซอง" ท่านสั่ง นายขุนทองจึงหายเข้าไปในห้องอีกครั้ง ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถือถาดพลาสติกออกมา ในถาดมีโอวัลตินขนาดกลางหนึ่งกระป๋อง นมข้นตราหมีสามกระป๋องและนมสดอีกหนึ่งโหล ซองเปล่าสีขาววางอยู่บนกระป๋องโอวัลติน ท่านพระครูหยิบธนบัตรใบละร้อยจากย่าม ส่งให้เขาสองใบ
"เอาใส่ในซองนั่น แล้วถือถาดตามข้ามา โยมเฝ้ากุฏิไปก่อนนะ ถ้ามีใครมาก็ช่วยบอกว่า อาตมาไปเยี่ยมไข้ฝั่งโน้น อีกสองชั่วโมงจะกลับ" ท่านสั่งอาจารย์ชิตแล้วจึงเดินนำไปยังท่าน้ำ โดยมีนายขุนทองเดินตาม
ท่านพระครูออกไปไปถึงสิบนาที บุรุษวัยสี่สิบเศษก็เข้ามาถามหาท่าน อาจารย์ชิตบอกเขาตามที่ท่านเจ้าของกุฏิสั่ง และแอบสังเกตว่าดวงตาของบุรุษนั้นแดงช้ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จึงพูดขึ้นว่า
"ดูท่าทางคุณคงมีทุกข์ ระหว่างที่รอหลวงพ่อ หากมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ ก็อย่าเกรงใจนะครับ" เขาเสนอตัว เมื่อมีคนมาแสดงความเห็นอกเห็นใจ บุรุษนั้นก็ร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ พลางรำพึงรำพัน
"ขอบคุณครับ ไม่มีใครช่วยผมได้ ผมมันคนเลย ผมมันไอ้ฆาตกร ต้องตกนรกหมกไหม้" แล้วเขาก็ตีอกชกหัวตัวเอง ต่อหน้าบุรุษสูงวัย
"อย่าทำร้ายตัวเองอย่างนั้นเลยครับ ผมเชื่อว่าหลวงพ่อท่านคงช่วยคุณได้ ท่านมีเมตตาจิตสูง ช่วยให้คนพ้นทุกข์มามากต่อมาก ผมว่าคุณใจเย็นไว้ก่อนดีกว่า"
ผู้มาใหม่หยุดทำร้ายตัวเองเพราะรู้สึกเจ็บ นึกโกรธตัวเองอยู่ครามครัน ทุกข์ใจก็สุดทะทานทนแล้ว ยังต้องมามีอันทุกข์กายเพิ่มขึ้นมาอีก
เมื่อบุรุษนั้นหยุดร้องไห้ อาจารย์ชิตจึงถามขึ้นว่า
"ขอประทานโทษ คุณมาจากไหนหรือครับ"
"จากเพชรบูรณ์ครับ ผมขับรถมา"
"บ้านอยู่ที่นั่นหรือครับ" เขาถามอีก การได้พูดได้คุยทำให้รู้สึกเพลิดเพลินจนสามารถลืมความเจ็บปวดไปได้บ้าง"
"เปล่าครับ ขอโทษนะครับ กรุณาอย่าถามว่าผมไปทำอะไรที่นั่น เพราะประเดี๋ยวผมก็มีอันต้องร้องไห้อีก" บุรุษนั้นขอร้อง ผู้อาวุโสจึงจำต้องนิ่ง ขณะเดียวกันก็คิดว่า บุรุษผู้นี้คงจะได้รับความสะเทือนใจอะไรสักอย่าง มาจากจังหวัดนั้น เงียบกันไปพักหนึ่ง ผู้มาใหม่จึงถามขึ้นว่า
"คุณได้กลิ่นอะไรหรือเปล่าครับ คล้าย ๆ กลิ่นเน่าของสุนัข หรือว่ามีหนูตายอยู่แถวนี้ ผมได้กลิ่นตั้งแต่ตอนเข้ามาโน่นแล้ว" เขาทำจมูกฟุตฟิตพลางก้มลงมองที่ใต้อาสนะเพื่อค้นหา
"อย่าหาเลยครับ แถวนี้ไม่มีหนูตาย ผมรับรองได้" อาจารย์ชิตว่า
"คุณไม่ได้กลิ่นบ้างหรือ เหม็นออกอย่างนั้น" ผู้มาใหม่ถามอีก
"ได้ซีครับแต่ผมชินกับมันเสียแล้ว นี่ไงครับที่มาของกลิ่น" เขาชี้แผลตรงคอบริเวณใต้กกหูข้างขวา บุรุษนั้นจึงรีบกล่าวคำขอโทษ
"ผมต้องขอประทานโทษนะครับ ที่พูดในสิ่งที่อาจทำให้คุณสะเทือนใจ เป็นอะไรหรือครับ"
"มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกหมดอาลัยในชีวิต แต่พอมาพบหลวงพ่อ ผมกลับมีความหวังขึ้น ท่านบอกว่า ผมมีโอกาสหายถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์"
"ครับ ผมขอแสดงความยินดี แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอโทษที่พูดไปเมื่อตะกี้ กรุณายกโทษให้ผมด้วย"
"อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เลยครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แล้วแผลของผมมันก็เหม็นอย่างที่คุณว่ามาจริง ๆ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้ลูกเมียเขาก็ยังรังเกียจผม ถึงเขาไม่แสดงออกมานอกหน้านอกตา แต่ผมก็รู้ ตอนมาที่นี่ใหม่ ๆ ลูกศิษย์วัดเขาก็แสดงกิริยารังเกียจ แต่หลังจากที่หลวงพ่อท่านพูดอบรม พวกเขาก็ปฏิบัติต่อผมดีขึ้น ผมเป็นหนี้บุญคุณหลวงพ่อท่านมากเลยครับ
ผมรู้ว่า ท่านก็ต้องเหม็นกลิ่นเน่าจากแผลของผม แต่ท่านก็มิได้แสดงอาการรังเกียจ ทั้งที่ผมก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับท่าน ในโลกนี้จะหาใครที่มีจิตเปี่ยมด้วยเมตตาเช่นท่าน ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีจริง ๆ"
"คุณไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อนหรือครับ"
"ไม่เคยครับ ผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อน ก็เสี่ยงมายังงั้นเอง ไม่นึกว่าจะมาได้รับความเมตตามากมายถึงปานนี้ นี่ผมก็ตังใจไว้ว่าเมื่อหายก็จะบวชตลอดชีวิต" ผู้อาวุโสพูดอย่างมุ่งมั่น
"ครับ ผมขออนุโมทนา แล้วขอให้หายโดยเร็ว" ผู้มาใหม่แสดงมุทิตาจิต
"คุยกันมาตั้งนาน ผมยังไม่ทราบเลยว่าคุณชื่ออะไร ส่วนผมชื่อชิต เคยเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยเกษตรกรรม จังหวัดเชียงใหม่ แต่ได้ลาออกมาห้าปีแล้ว หลังจากที่รู้ว่าเป็นมะเร็งต่อน้ำเหลือง" อาจารย์ชิตแนะนำตัวเอง
"ผมชื่อจรินทร์ครับ เป็นวิศวกร" ผู้มาใหม่พูดสั้น ๆ เขารู้สึกว่า กลิ่นเน่านั้นรุนแรงจนแทบไม่อยากจะหายใจเข้า จึงพยายามที่จะหายใจออกเพียงอย่างเดียว หากก็ทำอยู่ได้ไม่นานเพราะมันผิดธรรมชาติ ในที่สุดจึงออกอุบายว่า "ผมยังไม่ได้ทานมื้อกลางวันเลย ชักหิวเสียแล้ว เห็นจะต้องไปหาอะไรรองท้องสักหน่อย ขออนุญาตนะครับ" พูดจบก็ลุกเดินออกไปทางโรงครัว ค่อยหายใจโล่งอกเมื่อห่างรัศมีของกุฏิออกมา เขาเดินเรื่อย ๆ ไปจนถึงโรงครัว หากมิได้แวะเข้าไป ความทุกข์ที่กำลังได้รับมันหนักหน่วงเสียจนไม่รู้สึกหิว บุรุษวัยสี่สิบเศษ เดินไปจนถึงศาลาท่าน้ำ แล้วก็เลยถือโอกาสนั่งคอยท่านพระครูอยู่ ณ ที่นั้น
ช่วงเวลาแห่งการรอคอย นายจรินทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในห้วงอเวจี มันร้อนรุ่มกลุ้มกลัดอึดอัดขัดข้อง จนสุดจะพรรณนา นับตั้งแต่จำความได้กระทั่งอายุย่างเข้าปีที่สิบสาม ก็ยังไม่เคยมีความทุกข์ครั้งใดหนักหนาสาหัสเท่าครั้งนี้ เมื่อได้อยู่คนเดียว ภาพเหตุการณ์สยดสยองที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา ได้กลับเข้ามาสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง เขาเห็นร่างของพระอาจารย์สุวินที่นอนจมกองเลือด เพราะน้ำมือของเขา ท่ามกลางความตะลึงงันของบรรดาพระภิกษุและแม่ชีในวัด มันเกิดขึ้นและเป็นไปอย่างรวดเร็วราวกับลมพัดผ่าน แล้วเขาก็กลายเป็นฆาตกรโดยมิได้เจตนา
"โอ๊ย ทนไม่ไหวแล้ว" เขาตะโกนและยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า เพราะไม่ต้องการจะเห็นภาพนั้น ทว่ายิ่งปิดก็ยิ่งดูเหมือนว่ามันชัดเจนมากขึ้น จนเขามิอาจทนนั่ง ณ ที่นั้นได้ จึงลุกขึ้นเดินกลับไปยังกุฏิ คิดว่าทนเหม็นกลิ่นเน่า ก็ยังดีกล่ามาทนอยู่กับความทุกข์ทรมานเช่นนี้
บุรุษวัยสี่สิบเศษเดินกลับมาที่กุฏิอีกครั้ง คิดว่าจะมาพูดคุยกับบุรุษสูงวัย เพื่อคลายความกลัดกลุ้ม ครั้นมาถึงก็เห็นฝ่ายนั้นกำลังเดินจงกรมอยู่อย่างขะมักเขม้น จึงคิดที่จะทำเช่นนั้นบ้าง
นายจรินทร์เคยมาเข้ากรรมฐานที่วัดแห่งนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ได้ฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระครู และได้รับความเมตตาช่วยเหลือจากท่านหลายอย่าง หลายประการ สามปีเต็ม ๆ ที่เขาขับรถไป ๆ มา ๆ ระหว่างสิงห์บุรีกับกรุงเทพฯ โดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือแม้แต่เบื่อหน่าย แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนมีกรรมบันดาลให้เขาต้องเหินห่างจากท่าน เพียงได้รู้จักกับพระอาจารย์สุวิน เขาก็เริ่ม "แปรพักตร์" จากท่านพระครูเจริญ ไปหลงติดใน "อิทธิปาฏิหาริย์" ของพระอาจารย์สุวิน
ดังนั้นแทนที่จะขับรถมาสิงห์บุรีเขาก็ไปเพชรบูรณ์แทน แล้วก็ไปได้ทุกอาทิตย์ จนไม่เป็นอันทำการงานเพราะใจจดจ่อรอให้ถึงวันศุกร์ ภรรยาเขาเคยสะกดรอยตาม ด้วยคิดว่าเขาคงไปมี "ผู้หญิง" ซุกซ่อนไว้ที่นั่น ครั้นเห็นว่าไปหาพระจริง หล่อนก็เลิกตาม กระนั้นก็ยังค่อนแคะกระแนะกระแหนเขาว่า "หลงพระ" ยิ่งกว่าหลงผู้หญิง
ปีที่แล้วนี่เอง ที่ไม่ได้ไปหาท่าน เพราะทางราชการส่งเขาไปดูงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเพิ่งบินมาถึงเมื่อวานตอนเย็น พอตีห้าของวันรุ่งขึ้น เขาก็ขับรถบึ่งไปเพชรบูรณ์ ด้วยความระลึกนึกถึงพระภิกษุรูปนั้น มิได้คาดฝันว่าจะมากลายเป็นฆาตกรไปในที่สุด คิดมาถึงตอนนี้เขาอยากจะตะโกนออกมาดัง ๆ เพื่อระบายความกลัดกลุ้ม หากก็ต้องยับยั้งสติอารมณ์เอาไว้ เพราะเกรงใจคนที่กำลังเดินจงกรมอยู่ข้าง ๆ
บุรุษวัยสี่สิบเศษเริ่มต้นเดินจงกรมบ้าง ตั้งใจว่าจะเดินไปจนกว่าท่านพระครูจะกลับ
อาจารย์ชิตนึกอนุโมทนาเมื่อเห็นผู้มาใหม่เดินจงกรม เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้จิตใจเขาสงบลงได้บ้าง บุรุษสูงวัยเริ่มจะมองเห็นความจริงของชีวิต ว่าล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ ซึ่งแม้จะมาในรูปแบบต่าง ๆ กัน หากก็สรุปลงด้วยทุกข์เหมือนกันหมด เหตุนี้กระมัง พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า "ชีวิตเป็นทุกข์"
ท่านพระครูกลับมาถึงกุฏิ เมื่อเวลาทุ่มครึ่ง ทันทีที่เห็นท่านเดินเข้ามา นายจรินทร์ก็โผเข้าไปกราบที่เท้าท่าน แล้วซบหน้าร้องไห้อยู่ตรงนั้น เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง มิได้พูดว่ากระไร หากยืนก้มหน้านิ่งดูเขาร้องไห้ อาจารย์ชิตกำลังจะนั่งสมาธิ ก็เลยมีอันไม่ได้นั่งเพราะอยากรู้เรื่องราวและสาเหตุแห่งทุกข์ของบุรุษนั้น
"หลวงพ่อครับ ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วย" นายจรินทร์คร่ำครวญ
"ได้ข่าวว่าไปดูงานที่เมืองนอกไม่ใช่หรือ กลับมาเมื่อไหร่ล่ะ" ท่านเจ้าของกุฏิถามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตา
"เมื่อเย็นวานนี้เองครับ" บุรุษวัยสี่สิบเศษเงยหน้าขึ้นตอบ ครั้นเห็นว่าเป็นการไม่สมควรที่จะให้ท่านยืนพูดกับเขาอย่างนั้น จึงถอยออกมาแล้วนิมนต์ท่านเข้าไปนั่งที่อาสนะ นายขุนทองจัดการชงกาแฟมาบริการแขกโดยไม่ต้งอรอให้ท่านสั่ง
"โยมผู้หญิงไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ" ท่านถามถึงภรรยานายจรินทร์
"ไม่ได้มาครับ ผมมาคนเดียวมาจากเพชรบูรณ์" แล้วเขาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
"อ้อ ท่านพระครูรับรู้แล้วมิได้ถามอะไรอีก นายจรินทร์ใช้หลังมือปาดน้ำตาแล้วพูดขึ้นว่า
"หลวงพ่อครับ ผมเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย ผมฆ่าพระตายครับ" พูดจบก็ร้องไห้ต่อ ท่านพระครูจึงปลอบเขาว่า
"ทำใจดี ๆ เข้าไว้ ไม่ต้องกลัว มาวัดนี้แล้วต้องกล้าหาญ อาตมาชอบคนกล้าหาญ เราต้องกล้าเผชิญกับทุกสิ่ง ไม่ว่าดีหรือร้าย เอาละ ตั้งสติให้ดี หายใจลึก ๆ แล้วเล่าไปว่า เกิดอะไรขึ้น" นายจรินทร์คิดว่าท่านคงจะตกใจและตำหนิเขา แต่เมื่อมิได้เป็นเช่นนั้น ก็ใจชื้นขึ้น จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง อาจารย์ชิดกับนายขุนทองก็นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
"เรื่องมันเกิดขึ้นวันนี้เองครับ คือผมขับรถไปเพชรบูรณ์ตอนตีห้า เพื่อจะไปกราบเยี่ยมพระอาจารย์สุวิน ไปถึงสิบเอ็ดโมงเศษ ๆ ก็ตรงไปที่กุฏิของท่าน แม่ชีปราณีบอกผมว่า ท่านเข้าสมาบัติอยู่ในถ้ำน้ำบังบนภูเขามาสามเดือนแล้ว ห้ามใครไปรบกวน กำหนดท่านจะออกจากสมาบัติวันที่ ๑ มีนา ซึ่งครบสามเดือนพอดี ผมก็ถามแม่ชีว่า ทำไมท่านต้องเขานานขนาดนั้น ก็ได้รับคำตอบว่าเพื่อสะเดาะเคราะห์และต่ออายุ หากไม่ทำเช่นนั้น ท่านจะต้องมรณภาพภายในมกราคม ๒๕๑๗ ผมก็ไม่เชื่อที่แม่ชีเล่า เพราะเคยได้ยินมาว่าพระสามารถจะเข้าสมาบัติได้อย่างมากต้องไม่เกินเจ็ดวัน ใช่ไหมครับ" เขาถามท่านเจ้าของกุฏิ
"มันคนละอย่างกัน สมาบัติมีสองประเภท คือ ผลสมาบัติ และ นิโรธสมาบัติ อย่างแรกเข้าเป็นปีก็ได้ แต่อย่างหลังคือนิโรธสมาบัติ หรือชื่อเต็มว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เพราะเป็นสมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนา อันนี้เข้าได้อย่างมากไม่เกินเจ็ดวัน" ท่านพระครูถือโอกาสอธิบาย พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า
"หลวงพ่อองค์หนึ่ง อยู่ที่จังหวัดลำปาง ท่านคุ้นเคยกับอาตมาดี องค์นี้ท่านเข้าผลสมาบัติครั้งหนึ่ง ๆ นานเป็นปี ลูกศิษย์ลูกหามาเยี่ยมก็เลยต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน"
"หลวงลุงน่าจะทำอย่างนั้นบ้างนะฮะ จะได้ไม่ต้องรับแขก หนูจะได้ไม่เหนื่อย" นายขุนทองพูดขึ้น
"ข้าก็อยากจะทำเหมือนกันแหละแต่ทำไม่ได้ เพราะยังไม่หมดหน้าที่ต้องใช้กรรมญาติโยมเขาให้หมดเสียก่อน" ท่านบอกหลานชาย
"อ๋อ เหรอฮะ แล้วจวนหมดหรือยังล่ะฮะ"
"อีกสี่ห้าปี เอาละ เอ็งเลิกถามได้แล้ว ข้าจะฟังโยมเขาเล่าต่อ" นายจรินทร์จึงเล่าต่อไปว่า
"ระหว่างที่แม่ชีเขาสาละวนอยู่กับการจัดอาหารถวายเพลพระ ผมจึงแอบขึ้นไปบนเขาแล้วก็เข้าไปในถ้ำ ก็เห็นพระอาจารย์สุวินท่านนอนหลับอยู่ในมุ้ง ผมจึงเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนไว้ที่ข้างมุ้ง เป็นลายมือของท่านเอง เขียนสั่งไว้ว่า "เจริญพรญาติโยมทั้งหลาย อาตมภาพจะไปเที่ยวป่าหิมพานต์สักสามเดือน ระหว่างนี้ ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน อาตมาไม่ได้มรณภาพ จึงไม่ต้องรดน้ำศพ ไม่ต้องสวดอภิธรรม แล้วก็ไม่ต้องนำร่างไปใส่โลง แล้วอาตมาจะกลับมาในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๗ และที่สำคัญที่สุดคืออย่าให้ใครแตะต้องตัวอาตมาเป็นอันขาด" ท่านเขียนไว้อย่างนี้ครับ แล้วก็ลงวันที่ไว้ด้วย เป็นวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๑๖ พอเห็นข้อความนั้น ผมก็เลยคิดว่า แม่ชีปราณีพูดความจริง แล้วก็เหมือนมีอะไรมาดลใจ ผมคิดว่าวันนี้ก็วันที่ ๒๔ กุมภาแล้ว เหลือเวลาอีกห้าวันเท่านั้น หากผมจะปลุกท่านก็คงไม่เป็นไร เพราะไหน ๆ ก็ผ่านพ้นเดือนมกรามาแล้ว คิดดังนั้นผมจึงเอื้อมมือเข้าไปในมุ้งเพื่อจะจับแขนท่าน ขณะนั้นแม่ชีปราณีตามมาถึงพอดี แกส่งเสียงห้ามว่า "คุณจรินทร์ อย่า" แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะผมยังมือไม่ทัน ครั้นมือผมสัมผัสกับแขนท่าน ก็เกิดเสียงดัง "เพะ" เหมือนข้าวตอกแตก แล้วเลือดก็ไหลท่วมร่างท่านและไหลนองลงมาเต็มพื้นถ้ำ ไม่ทราบว่าทำไมจึงมากมายขนาดนั้น เหม็นคาวคลุ้งเลยครับ ผมก็ตะลึง แม่ชีปราณีก็ตะลึง คนอื่น ๆ ก็ตามมาดูกันทั้งพระและชี
พอหายตะลึง ผมก็ร้องไห้ใหญ่ แม่ชีปราณีก็รำพึงรำพันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า "ไม่น่าเล้ย ไม่น่าเลย พี่บอกแล้วก็ไม่เชื่อ พี่เผลอเดี๋ยวเดียวเกิดเรื่องจนได้" ระหว่างที่พวกเขาช่วยกันนำศพใส่โลงและล้างพื้นถ้ำอยู่นั้น ผมก็บอกว่าจะไปมอบตัวกับตำรวจ ท่านเจ้าอาวาสบอกไม่ต้อง เพราะผมไม่ได้เป็นฆาตกร ท่านไม่ต้องการให้เรื่องนี้รู้ไปถึงหูตำรวจ ท่านยังบอกอีกว่า เป็นกรรมของพระอาจารย์สุวินเอง ท่านจะต้องมรณภาพอยู่แล้ว"
"ถูกต้อง เจ้าอาวาสท่านพูดของท่านถูกแล้ว" ท่านพระครูพูดขึ้น นายจรินทร์ไม่เข้าใจ ถึงถามท่านว่า
"หลวงพ่อหมายความว่าอย่างไรครับ"
"ก็หมายความว่าโยมไม่ได้เป็นผู้ร้ายฆ่าคนอย่างที่โยมคิดน่ะซี สมมุตินะ สมมุติว่าโยมเอามือมาถูกตัวอาตมา แล้วจะเรียกว่าโยมเป็นผู้ร้ายฆ่าคนหรือเปล่าเล่า"
"ไม่เรียกครับ" บุรุษวัยสี่สิบเศษตอบ รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
"นั่นแหละ แบบเดียวกันนั่นแหละ ทีนี้ก็เลิกโศกเศร้าเสียใจได้แล้ว เห็นหรือยังว่า กฎแห่งกรรมนั้นเที่ยงตรงนัก อาตมาก็รู้จักท่านสุวิน ท่านก็เคยมาปรึกษาเรื่องนี้ อาตมาก็ชวนมาเข้ากรรมฐาน ท่านก็ไม่เชื่อ ท่านชอบไปทางฌานสมาบัติ ในที่สุดก็ต้องเป็นไปตามกรรม โยมอย่าลืมนะว่า วิธีที่จะแก้กรรมนั้น ต้องใช้วิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น อย่างอื่นแก้ไม่ได้"
"ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่า ฌานสมาบัติไม่มีประโยชน์หรือครับ" อาจารย์ชิตถาม
"มีสิ ทำไมจะไม่มี แต่ประโยชน์ที่แท้จริงนั้นจะต้องนำมาเป็นบาทฐานของวิปัสสนา ถ้าหากนำไปใช้ในทางให้เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ ถ้อว่าไม่ใช่ประโยชน์ที่แท้ เพราะแก้ทุกข์ไม่ได้ ท่านสุวินท่านมีอิทธิปาฏิหาริย์หลายอย่าง เท่าที่อาตมารู้ แต่เห็นหรือยังว่า ท่านก็ไม่อาจหนีกรรมไปได้ อุตส่าห์หนีไปถึงป่าหิมพานต์ ก็ยังไม่พ้นกรรม"
"แต่ถ้าท่านเชื่อหลวงพ่อ แล้วมาเข้ากรรมฐานที่นี่ ก็จะไม่มรณภาพหรือครับ" นายจรินทร์ถาม
"แน่นอน ข้อนี้อาตมารับรอง เพราะการที่ท่านได้ฌานก็เหมือนกับมีทุนเดิมอยู่แปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว มาทำเพิ่มอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่ไหมเล่า"
"ใช่ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับไปลางานสักเจ็ดวัน แล้วมาเข้ากรรมฐานนะครับ หลวงพ่อครับผมขอปฏิญาณว่า ต่อแต่นี้ไป ผมจะเลิกสนใจเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ จะสนใจแต่วิปัสสนากรรมฐานเพียงอย่างเดียว ผมเข็ดแล้วครับ" บุรุษวัยสี่สิบเศษให้คำมั่นสัญญา
"ดีแล้ว อาตมาขออนุโมทนา เอาละ สบายใจแล้ว ก็ไปที่โรงครัว ไปทานอาหารเสียก่อน แล้วค่อยกลับบ้าน ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันไม่ใช่หรือ"
"ครับ ขอบคุณครับ แหมพอหลวงพ่อพูด ผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันทีเลยครับ" เขากราบท่านสามครั้งแล้วหันไปลาอาจารย์ชิต
"ขอบคุณนะครับอาจารย์ ผมเลยถือโอกาสลาเลย" พูดจบก็ลุกขึ้น เดินมุ่งหน้าไปยังโรงครัวด้วย รู้สึกหิวจนแสบท้อง...
"หลวงพ่อครับ เป็นไปได้หรือครับ ที่คนเราจะอยู่ได้ตั้งสามเดือนโดยไม่ต้องกินอาหาร ผมว่ามันขัดกับหลักวิทยาศาสตร์นะครับ" อาจารย์ชิตเอ่ยถามหลังจากนายจรินทร์ลุกออกไปแล้ว
"ขัดสิโยม ถ้าโยมเอาหลักวิทยาศาสตร์มาตัดสิน มันขันแน่ ๆ แต่สำหรับอาตมาไม่ได้คิดอย่างนั้น อาตมาไม่ได้ยกย่องวิทยาศาสตร์ว่าสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างให้มนุษย์ได้ ทั้งนี้เพราะยังมีอีกหลายอย่างหลายเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังเข้าไม่ถึง เช่น เรื่องของกรรมและเรื่องของจิตวิญญาณเป็นต้น ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ ในกรณีของโยม การที่หมอเขาไม่สามารถรักษาโรคให้โยมได้ เพราะเขาใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่อาตมาจะใช้วิธีการทางจิตรักษาให้หาย อย่าลืมว่าจิตวิญญาณนั้นมีพลังมากว่าสสารหลายเท่านัก การที่ร่างของท่านสุวินไม่เน่าเปื่อยเพราะอาศัยพลังจิตซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ มันเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม"
"ครับ เป็นไปไม่ได้"
"นั่นแหละ อาตมาถึงไม่ยึดเอาวิทยาศาสตร์มาเป็นเกณฑ์ตัดสินในทุกกรณี เพราะมีบางกรณีที่วิทยาศาสตร์ตัดสินไม่ได้ แต่มนุษย์ทุกวันนี้ เขายึดวิทยาศาสตร์เป็นสรณะ เพราะเขาให้ความสำคัญกับร่างกายมากกว่าจิตใจ อะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เขาก็ถือว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เช่น เรื่องจิตวิญญาณเป็นต้น" ท่านกล่าวถึงความเชื่อพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน
"เรื่องฌานสมาบัติที่หลวงพ่อพูดถึงเมื่อตะกี้ ก็เป็นเรืองของจิตใช่ไหมครับ" ผู้อาวุโสถามอีก นายขุนทองรู้สึกว่าฟังไม่รู้เรื่อง จึงขอตัวไปนอน
"ถูกแล้ว เป็นเรื่องของจิตโดยตรงทีเดียว"
"คนธรรมดาจะสามารถเข้าฌานได้หรือเปล่าครับ"
"ได้ หากมีการฝึกจิต"
"ถ้าเช่นนั้น ถ้าหากผมฝึกจิต ผมก็สามารถจะเข้านิโรธสมาบัติได้ใช่ไหมครับ"
"ไม่ได้หรอกโยม บุคคลที่สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้นั้น มีเพียงสองประเภท คือ พระอนาคามีที่ได้สมาบัติ ๘ กับพระอรหันต์ประเภทอุภโตภาควิมุตตะ นอกนั้นเข้าไม่ได้"
"พระโสดาบันและพระสกทาคามี ก็เข้าไม่ได้หรือครับ"
"ไม่ได้ ถึงแม้ท่านจะได้สมาบัติ ๘ แต่ก็ยังเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ เอาละ อาตมาว่า โยมปฏิบัติไปดีกว่า เรื่องเหล่านี้ยังไกลตัว เอาเรื่องใกล้ตัวก่อน เรื่องไกลเอาไว้ทีหลัง" ท่านพระครูพูดตัดบท
"ครับ แต่...หลวงพ่อครับ หลวงพ่อบอกผมตอนก่อนไปว่า กลับมาจะเล่าอะไรให้ฟัง" เขาถือโอกาสทวงสัญญา
"ตกลง เล่าก็เล่า ความลับนะ ห้ามเอาไปพูดต่อ สัญญาได้ไหม"
"ได้ครับ ผมให้สัญญา" คนอยากฟังรับคำหนักแน่น
"เอาละ ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็จะเล่าให้ฟัง" แล้วท่านจึงเล่าว่า
"ที่อาตมาถามถึงตาวนน่ะ เพราะเคยทำกรรมกับแกไว้สมัยที่อาตมาเป็นเด็ก นี่ก็ไปจัดการชดใช้มาเรียบร้อยแล้ว"
"กรรมอะไรครับ" อาจารย์ชิตถาม
"โกงค่าเรือจ้าง สมัยก่อนแกมีอาชีพพายเรือข้ามฟาก เก็บค่าโดยสารเที่ยวละหนึ่งสตางค์ อาตมาตอนนั้นเป็นนักเรียน ต้องข้ามฟากไปเรียนหนังสือฝั่งโน้น ก็ใช้บริการแกทุกวัน พอขึ้นทำก็แกล้งโยนหินก้อนเล็ก ๆ ลงไปที่ท้ายเรือ ทำเป็นว่าจ่ายค่าโดยสาร แกก็ไม่ติดใจสงสัย เพราะผู้โดยสารคนอื่น ๆ เขาก็ทำอย่างนี้"
"โยนก้อนหินลงไปน่ะหรือครับ"
"เปล่า โยนสตางค์จริง ๆ คือพอขึ้นท่า เขาก็จะโยนสตางค์ลงไปที่ท้ายเรือ มีอาตมาคนเดียวที่ใช้ก้อนหิน"
"แกเคยจับได้บ้างไหมครับ" ผู้สูงอายุถามอีก
"มือชั้นนี้แล้ว ถ้าถูกจับได้ก๊อเสียชื่อหมดน่ะซี" ท่านถือโอกาส "คุย"
"หลวงพ่อเก่งจังนะครับ" คนฟังแกล้งชม
"อ้าวเก่งซี ไม่เก่งได้หรือ แต่ขอโทษเถอะ เก่งในทางเลวทั้งนั้น" แล้วท่านก็หัวเราะ คนฟังพลอยหัวเราะตาม จากนั้นท่านเจ้าของกุฏิจึงเล่าอีกว่า
"อาตมาก็โกงแกทุกวัน กระทั่งย้ายโรงเรียน พูดแล้วอย่าหาว่าคุยนะ อาตมานี่ย้ายโรงเรียนเป็นว่าเล่น จังหวัดสิงห์บุรีสมัยนั้นมีโรงเรียนมัธยมอยู่ ๘ แห่ง อาตมาเรียนมาหมดทุกแห่ง แห่งละเดือนบ้าง สองเดือนบ้าง อย่างเก่งไม่เกินหกเดือน เสร็จแล้วก็ย้ายไปอีก"
"ทำไมย้ายบ่อยจังครับ" ถามอย่างสนใจ ท่านพระครูตอบอย่างภาคภูมิว่า
"ก็เขาเชิญออก เรียนได้เดือนสองเดือนเขาก็เชิญออก เพราะอาตมาเก่งเกินไป พวกครูเขาปวดหัว เพราะตามความเก่งกาจของลูกศิษย์ไม่ทัน ก็เลยเชิญให้ออก อาตมาก็ต้องย้ายไปหาที่เรียนใหม่"
"พอครับ ๘ แห่งแล้ว หลวงพ่อทำอย่างไรครับ วนรอบสองหรือเปล่า" คนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองถามอย่างนึกสนุก
"วนสิ วนรอบสอง แต่เขาไม่รับสักแห่งเดียว เขาบอกแค่รอบเดียว ครูก็จะพากันลาออกหมดโรงเรียนแล้ว ถ้าขืนรับอาตมาเข้าเรียนรอบสอง มีหวังภารโรงก็ต้องขอลาออก อาตมาก็เลยต้องไปเรียนที่บางกอกโน่น เอาละ จบเรื่องโรงเรียนก่อนมาเล่าเรื่องตาวนต่อ"
"ครับ ตกลงแกรู้เรื่องที่หลวงพ่อโกงค่าจ้างหรือยังครับ" คนฟังถาม รู้สึกสนุกจนลืมปวดแผล
"รู้แล้ว อาตมาบอกแกเมื่อกี้เอง แต่เชื่อเถอะ แกไม่บอกใครหรอก อาตมารับรองได้
"หลวงพ่อจะแน่ใจได้อย่างไรครับ พอหลวงพ่อลงเรือนมา แกอาจจะบอกลูกเมียแกก็ได้" ผู้อาวุโสคาดการณ์
"แกไม่บอกหรอกโยม เพราะแกนอนพะงาบ ๆ จะไปอยู่แล้ว อาตมาดูแล้วว่า สี่ทุ่มคืนนี้แกไปแน่ เห็นไหมนโยบายของอาตมาใช้ได้หรือเปล่า เลือกสารภาพตอนที่แกพูดไม่ได้แล้ว" ท่านหัวเราะอีก
"แล้วนายขุนทองทราบเรื่องนี้หรือเปล่าครับ" ถามเสียงเบา
"ให้รู้ไม่ได้ซี เจ้าหมอนี่เก็บความลับได้ที่ไหนล่ะ" ท่านวิจารณ์คนมีศักดิ์เป็นหลาน
"พออาตมาไปถึง พวกลูก ๆ เขาดีใจใหญ่ บอก "แหม หลวงพ่อใจดีจัง อุตส่าห์มาเยี่ยม แถมเอาทั้งของทั้งเงินมาให้ พระวัดอื่นเขามีแต่จะเอาของญาติโยม แต่หลวงพ่อวัดนี้กลับเอามาให้ญาติโยม" อาตมาก็นึกขำที่เขาชมต่อหน้า ที่แท้เปล่าหรอก อาตมามาใช้หนี้ต่างหาก เขาก็พาอาตมาเข้าไปหาพ่อเขา อาตมาก็เข้าไปใกล้ ๆ กระซิบข้างหูแก ว่า "ตาวน จำอาตมาได้ไหม ที่เคยโดยสารเรือจ้างโยม เมื่อสามสิบปีก่อนน่ะ" แกก็พยักหน้า อาตมาก็พูดต่ออีกว่า
"โยมรู้หรือเปล่า อาตมาโกงค่าเรือจ้างโยมทุกวัน ไม่เคยให้สตางค์เลย แต่โยนก้อนหินไปแทน นี่นะโยมก็ป่วยหนัก ถ้าอยากได้บุญก็อโหสิกรรมให้อาตมานะ เพราะตอนนี้อาตมาเป็นพระแล้ว และก็นี่เงินสองร้อยบาท อาตมาใช้หนี้ค่าเรือจ้าง ส่วนพวกเครื่องดื่มนี่คิดว่าเป็นดอกเบี้ย แต่โยมห้ามไปบอกลูกหลานนะ สัญญาได้ไหมเล่า ขืนบอกเขาก็จะพากันเลิกนับถืออาตมา" แกก็พยักหน้าอีก
อาตมาก็โล่งใจที่ได้ใช้หนี้ไปอีกหนึ่งราย เสร็จแล้วอาตมาก็เทศน์โปรดแกเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย แกก็ฟังอย่างสงบ ก่อนกลับอาตมาก็สอนกรรมฐานให้ บอกว่าให้แกนอนกำหนดพอง-ยุบ ไปเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องไปห่วงลูกหลานหรือสมบัติ ให้เอาสติไว้ที่ท้องเท่านั้น แกก็พยายามทำตามที่อาตมาสอน ตกลงเรื่องนี้มีแกกับอาตมารู้กันสองคนเท่านั้น" ท่านสรุป รู้สึกโล่งอกโล่งใจเสียนัก
"แต่ตอนนี้สามแล้วนะครับหลวงพ่อ เพราะเพิ่มผมเข้ามาอีกคนหนึ่ง" คนฟังแย้ง
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เหลือสองเท่าเดิม หลังสี่ทุ่มไปแล้วก็เหลือสองเท่าเดิม" ท่านพระครูพูดยิ้ม ๆ อดีตอาจารย์จึงประเมินผลว่า
"ผมว่าเรื่องนี้ นายวนแกได้กำไรนะครับ ที่หลวงพ่อเทศน์โปรดแก แถมยังสอนกรรมฐานให้ กำไรหลายสิบเท่าตัวเชียวแหละ ไม่เหมือนเรื่องเจ๊ลี้ รายนั้นขาดทุนอานไปเลย" พูดแล้วก็หัวเราะ
"เจ๊ลั้งโยม ไม่ใช่เจ๊ลี้ แล้วกันไปเปลี่ยนชื่อให้เขาเสียแล้ว เอาละ ทีนี้โยมก็ปฏิบัติต่อได้แล้ว อย่าลืมดื่มยาบ่อย ๆ นะ ดื่มต่างน้ำเลย จะได้หายเร็ว ๆ เอาละ ให้เดินจงกรมหนึ่งชั่วโมง นั่งหนึ่งชั่วโมง วันนี้จะมีทุกขเวทนามากกว่าทุกวัน อย่าตกใจ ให้ตั้งสติกำหนด "ปวดหนอ ปวดหนอ" ถ้าไม่หายก็ให้กำหนดว่า "อดทนหนอ อดทนหนอ" แล้วก็หันมากำหนด พอง-ยุบ ต่อไป จนกว่าจะครบหนึ่งชั่วโมง อาตมาเห็นจะต้องขึ้นไปทำงานต่อข้างบนละนะ" พูดจบท่านก็ลุกออกไปปิดประตูด้านหน้าและด้านหลังของกุฏิ แล้วจึงขึ้นไปข้างบน นายสมชายมีกุญแจอีกดอกหนึ่ง ที่จะไขเข้ามาเองได้ โดยไม่ต้องตะโกนเรียกคนขี้เซาอย่างนายขุนทองมาเปิดให้เช่นที่แล้ว ๆ มา
เมื่ออยู่คนเดียว อาจารย์ชิตจึงเริ่มเดินจงกรม รู้สึกปวดหนึบ ๆ ที่แผล หากเขาไม่สนใจ พยายามเอาสติจดจ่อกับอาการเคลื่อนไหวของเท้า เหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝา ขณะนั้นเป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง จากนั้นก็จะนั่งไปจนกว่าจะครบหนึ่งชั่วโมง ตามที่หลวงพ่อท่านสั่ง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าหมดเวลา คงจะต้องลืมตาขึ้นดูนาฬิกาเป็นครั้งเป็นคราว ทว่าการกระทำเช่นนั้น จะทำให้สมาธิไม่ต่อเนื่อง บุรุษวัยหากสิบรู้สึกสับสนทางความคิด จนต้องหยุดเดินแล้วตั้งสติกำหนด "สับสนหนอ สับสนหนอ" ยังไม่ทันจะหายสับสน ก็ได้ยินเสียงทุบประตูปัง ๆ พร้อมกับเสียงเรียกเข้ามาว่า
"ท่านพระครูอยู่หรือเปล่าครับ ช่วยเปิดประตูหน่อย" อาจารย์ชิตจึงจำต้องเดินไปที่ประดูเพื่อจะเปิด หากก็ไม่สามารถเปิดได้ เพราะไม่มีลูกกุญแจ จึงหันกลับ เพื่อจะไปปลุกนายขุนทอง พอดีกับนายสมชายไขกุญแจเข้ามาทางประตูด้านหลัง
"มีคนมาเรียกหาหลวงพ่อแน่ะ" เขาบอกศิษย์วัด
"ครับ เดี๋ยวผมเปิดให้เอง" ชายหนุ่มเดินไปหยิบพวงกุญแจที่ห้อยอยู่ตรงบันไดทางขึ้น แล้วจึงไขประตูเปิดให้ผู้ที่อยู่ข้างนอกเข้ามา
"ท่านพระครูจำวัดหรือยัง" ภิกษุวัยเดียวกับเจ้าของกุฏิถาม ท่านมากับฆราวาสสองคน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
"ยังหรอกครับ นิมนต์หลวงพ่อนั่งรอก่อน ประเดี๋ยวผมจะขึ้นไปตามให้" ภิกษุรูปนั้น จึงไปนั่งรอที่หน้าอาสนะ ส่วนผู้ติดตามทั้งสองก็เข้ามานั่งในกุฏิ นายสมชายจัดการชงน้ำชามาประเคนท่าน สำหรับฆราวาสสองคน เขาแถมขนมปังกรอบชิ้นเล็ก ๆ มาให้ด้วย ปริการแขกเสร็จจึงขึ้นไปตามท่านพระครู
อาจารย์ชิตหลบออกไปเดินจงกรมที่ด้านหลังโรงรถ เขาไม่ต้องการนั่งอยู่ ณ ที่นั้น ด้วยเหตุผลสองประการ คือ อาคันตุกะของท่านพระครูจะได้ไม่เหม็นกลิ่นเน่าจากแผลของเขาประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง เขาจะได้ไม่เสียเวลาปฏิบัติกรรมฐาน
เมื่อท่านพระครูเปิดประตูหน้าบันไดออกมา ภิกษุอาคันตุกะยกมือไหว้ทำความเคารพ ท่านรับไหว้ ผู้ติดตามทั้งสองก้มลงกราบท่านเจ้าของกุฏิสามครั้ง
"ผมต้องขอโทษที่มารบกวนท่านพระครูในยามวิกาลเช่นนี้" ภิกษุวัยห้าสิบ เอ่ยขึ้นก่อน
"อย่าถือว่าเป็นการรบกวนเลยครับ วัดป่ามะม่วงยินดีต้อนรับท่านพระครูทุกเวลา" ท่านเจ้าของกุฏิพูดกับภิกษุผู้มีวัยและสมณศักดิ์เสมอกับท่าน
"ผมมีเรื่องด่วนจะมาเรียนปรึกษาท่านพระครู รอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ได้ เลยชวนญาติโยมเขามา คือ เณรลูกวัดผมก่อปัญหาเสียแล้ว"
"ลูกชายผมเองครับ นี่แม่เขา" ฆราวาสที่มาด้วยพูดขึ้น ทั้งเขาและภรรยามีท่าทางทุกข์ร้อน โดยเฉพาะภรรยานั้นมีดวงตาแดงช้ำ แสดงว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
"เกิดอะไรขึ้นกับเณรลูกชายของโยมหรือ" ท่านถามสองสามีภรรยา
"นิมนต์หลวงพ่อเล่าดีกว่าครับ" บุรุษวัยสี่สิบบอกภิกษุผู้เป็นอุปัชฌาย์ของเณรลูกชาย
"คืออย่างนี้ครับท่านพระครู โยมสองคนนี่เขาพาลูกชายมาบวชเณรที่วัดผม ก็บวชมาตั้งแต่อายุสิบสี่จนอายุจะครบบวชพระเข้าปีนี้แล้ว เณรรูปนี้ขยันนั่งสมาธิมาก พอฉันเสร็จก็นั่งสมาธิ ไม่พูดไม่คุยกับใคร เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่บวชใหม่ ๆ นี่สั่งสมาธิข้ามวันข้ามคืนเลย ข้าวปลาอาหารก็ไม่ยอมฉัน" ภิกษุผู้มาเยือนเล่าความ
"ก็ดีแล้วนี่ มีลูกศิษย์ขยันปฏิบัติอย่างนี้ ท่านน่าจะภูมิใจ" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงพูดขัดขึ้น
"ครับ ผมภูมิใจ โยมพ่อโยมแม่เขาก็ภูมิใจ แต่ตอนนี้มันเกิดเรื่องยุ่งแล้วละครับ ท่านพระครู"
"ยุ่งยังไงล่ะ" ท่านเจ้าของกุฏิซัก
"คือตอนหกโมงเย็น เณรเขาออกจากสมาธิ แล้วก็ถือบาตรเดินออกจากวัด จะไปบิณฑบาต"
"บิณฑบาตตอนหกโมงเย็นน่ะหรือ"
"ครับ"
"ทำไมเป็นยังงั้นไปได้"
"นั่นสิครับ เขาถือบาตรออกมาแถมสบงจีวรก็ไม่มี เดินตัวล่อนจ้อนออกมาจากห้อง พระเณรก็พากันตกใจ ถามว่า "เณรจะไปไหน" เขาก็ว่า "ผมไม่ใช่เณรนะ ผมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พวกคุณต้องกราบผมสิ" พูดจบก็ถือบาตรเดินโทง ๆ ไปทางประตูหน้าวัด ผมก็เลยสั่งให้พระเณรช่วยกันจับ เขาก็วิ่งหนี ก็เกิดการไล่จับกันขึ้น ญาติโยมที่บ้านอยู่ใกล้วัดก็พากันมาดู แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าเณรบ้า ผมก็เลยบอกให้โยมผู้ชายช่วยกันจับ กว่าจะได้ก็เล่นหอบไปตาม ๆ กัน"
"แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ"
"อยู่ที่วัดครับ ผมให้เขามัดไว้แล้วไปตามโยมพ่อโยมแม่เขามา เขาก็จำอะไรไม่ได้ พูดแต่ว่า "ผมเป็นพระอรหันต์ ผมเป็นพระอรหันต์ คุณมาจับพระอรหันต์มัดไว้อย่างนี้ จะต้องตกนรก"
"ลูกดิฉันเป็นอะไรไปคะหลวงพ่อ" ผู้เป็นแม่ถามเสียงเครือ
"เท่าที่ฟังเล่ามา อาตมาขอลงความเห็นว่า เขาหลงทางเสียแล้ว แบบนี้ลำบาก แก้ยาก" ท่านส่ายหน้าช้า ๆ
"แล้วจะทำยังไงดีคะ" คราวนี้หล่อนร้องไห้
"ต้องให้สึก เอาเถอะ พอสึกออกมา อีกหน่อยเขาก็มีลูกมีเมีย แล้วก็จะหายไปเอง" ท่านพระครูบอกหนทางแก้ไข
"แต่ดิฉันอยากให้ลูกบวชตลอดชีวิตค่ะ อยากให้เขาบรรลุมรรค ผล นิพพาน" สตรีวัยสี่สิบรำพัน ภิกษุอาคันตุกะ จึงถามขึ้นว่า
"บวชต่อไปไม่ได้หรือครับท่านพระครู โยมแม่เขาอยากให้ลูกบวชตลอดชีวิต"
"ไม่ได้แน่ เขาสร้างบุญบารมีมาแค่นี้ ถ้าไม่ให้สึก รับรองว่ากู่ไม่กลับ เชื่ออาตมาเถอะ"
"แต่ดิฉันทำใจไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ ดิฉันมีลูกชายคนเดียว แล้วก็หวังมากว่าเขาจะได้เป็นพระอรหันต์" คนเป็นแม่รำพัน
"มนุษย์เราไม่ได้อย่างที่ใจหวังไปทุกคนหรอกโยม อาตมาว่า โยมจะต้องทำใจให้ได้ เอาเถอะ อีกหน่อยพอมีหลานมาให้อุ้ม โยมก็จะทำใจได้เองนะโยมนะ" เมื่อพูดถึงหลาน สตรีวัยสี่สิบ รู้สึกอบอุ่นเล็ก ๆ ด้วยสัญชาตญาณของการดำรงเผ่าพันธุ์
"จริงสินะ หากคนบรรลุนิพพานเป็นพระอรหันต์กันหมด เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ก็จะต้องสูญสิ้นไปจากโลกเป็นแน่แท้" หล่อนคิด หารู้ไม่ว่าสิ่งที่คิดนั้นมันเป็นไปไม่ได้
"ต้องพาส่งโรงพยาบาลปากคลองสานหรือเปล่าคะ" หล่อนถามอีก คราวนี้ด้วยความรู้สึกห่วงลูกมากกว่าห่วงมรรค ผล นิพพาน
"ไม่ต้องหรอกโยม ถ้าให้สึก ไม่ต้องส่งโรงพยาบาล แต่ถ้าไม่สึก ถึงจะส่งโรงพยาบาล ก็ไม่มีโอกาสหาย" ท่านพระครูพูดตามที่ "เห็น"
"แต่ถ้าเขาไม่ยอมสึกเล่าครับ" ท่านพระครูผู้เป็นอาคันตุกะยังวิตก
"ท่านก็ต้องเลือกโอกาสพูดกับเขาซีครับ คือเลือกพูดตอนที่เขาสงบแล้ว ตอนกำลังคลั่งอย่าเพิ่งพูด" ท่านเจ้าของกุฏิแนะนำ
"จริงของท่าน แหม ผมก็ลืมข้อนี้ไปเสียสนิทเลย ถ้าอย่างนั้นเห็นจะต้องลาละ ของพระคุณที่ท่านกรุณาแนะนำ" แล้วภิกษุอาคันตุกะหนึ่งรูปกับฆราวาสสองคน ก็ลาท่านเจ้าของกุฏิกลับ ท่านพระครูให้นายสมชายไปเรียกอาจารย์ชิตมาปฏิบัติภายในกุฏิ แล้วจึงขึ้นไปเขียนหนังสือต่อ
เมื่อเดินจงกรมครบหนึ่งชั่วโมง บุรุษวัยหกสิบจึงกำหนดนั่ง เขาไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา เพราะนายสมชายเกิดใจดี นำนาฬิกาปลุกมาให้ยืมพร้อมทั้งตั้งเวลาให้เสร็จสรรพ อาการพองยุบชัดเจนในตอนแรก ๆ ครั้นเวลาผ่านไปชั่วครู่ ความรู้สึกปวดที่แผลทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และน้ำเหลืองก็ออกมามากผิดปกติ จนเสื้อกล้ามเปียกชื้น นึกถึงถ้อยคำของท่านพระครูที่ว่า "วันนี้จะมีทุกขเวทนามากกว่าทุกวัน" จึงไม่ใส่ใจกับมัน เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้
ขณะเผชิญกับเวทนากล้า บุรุษสูงอายุปลุกปลอบใจตนเองด้วยการนึกไปถึงนางสาวส้มป่อย ป่านฉะนี้หล่อนก็คงกำลังทุกข์ทรมานไม่แพ้เขา ความรู้สึกว่า "มีเพื่อน" ทำให้เกิดกำลังใจมาต่อสู้กับทุกขเวทนาที่ได้รับ ถึงอย่างไรก็จะทนนั่งอย่างนี้ตอไปจนกว่าจะหมดเวลา ทั้งจะไม่ยอมเปลี่ยนอิริยาบถเป็นอันขาด
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก หากคราวนี้คนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั่งเฉย เพราะได้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะไม่ขยับลุกไปไหนจนกว่าจะหมดเวลา เสียงนั้นดังขึ้นกว่าเดิม ตามด้วยเสียงเรียกชื่อนายสมชาย คนถูกเรียกอาบน้ำเสร็จพอดี จึงเดินออกมาเปิดประตู
"สมชาย ช่วยไปเรียนหลวงพ่อให้ไปดูส้มป่อยด้วย อาละวาดใหญ่แล้ว ฉันห้ามยังไงก็ไม่ฟัง เล่นเอาคนอื่นไม่เป็นอันได้ปฏิบัติกันละ" แม่ชีเจียนบอกลูกศิษย์วัด เธอมากับเพื่อนชีอีกสองคน เพราะท่านเจ้าของกุฏิเคยสั่งไว้ว่า หากมีธุระด่วน และจำเป็นต้องมาพบท่านในยามวิกาล จะต้องมีเพื่อนมาด้วยสองคนเป็นอย่างน้อย
แม้จะมิได้ลืมตาขึ้นดู หากหูของคนที่กำลังนั่งสมาธิก็ได้ยินเรื่องที่แม่ชีบอกนายสมชาย แล้วใจก็เลยนึกสงสารท่านพระครูที่ต้องถูกผู้คนรบกวนทั้งกลางวันกลางคืน โดยไม่เลือกข้างขึ้นหรือข้างแรม...




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2012, 09:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.. อนุโมทนาแล้วๆๆ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 90 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร