ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41772
หน้า 1 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  ให้ทาง [ 15 เม.ย. 2012, 06:05 ]
หัวข้อกระทู้:  อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร เพราะอะไร :b4:
สาธุ :b8:

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 15 เม.ย. 2012, 07:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

ให้ทาง เขียน:
อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร เพราะอะไร :b4:
สาธุ :b8:

ขออนุญาตสนทนาธรรมตามกาล
อุเบกขาเวทนา ก็เป็นเวทนาอีกเวทนาหนึ่ง คือไม่สุข ไม่ทุกข์
หมายถึงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสุขเวทนาและทุกขเวทนานั้นเอง จึงเรียกว่าอทุกขมสุขเวทนา=อุเบกเวทนา แต่ก็ยังมีคำว่าตัตตรมัชฌัตตาเจตสิก ซึ่งแปลว่า เฉยๆ หรืออุเบกขา แต่มิได้หมายความว่าอุเบกขาเวทนา คือเป็นคำกลางๆไม่เกี่ยวกับกายและจิต ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักธรรมของพรหมวิหาร ๔

เจ้าของ:  ลูกพระป่า [ 16 เม.ย. 2012, 18:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

ให้ทาง เขียน:
อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร เพราะอะไร :b4:
สาธุ :b8:

สวัสดีครับพี่ให้ทาง :b8:
คำถามนี้ฟังดูสั้นๆง่ายๆ แต่จะตอบให้สั้นๆและอธิบายให้เข้าใจง่ายๆนั้นยากพอดูเลยครับ...ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนว่าเข้ามาเพียงร่วมเสนอความเห็นส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ...สำหรับผมแล้วอุเบกขาเป็นมากกว่าการวางเฉย คือ "ความเป็นปกติของใจ" เมื่อมีสิ่งภายนอกเข้ามากระทบแล้วใจเรามั่นคงไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งเหล่านั้น ยังคงความเป็นปกติของใจตั้งอยู่อย่างเดิม...การที่เราจะฝึกใจของเราให้มีความมั่นคงได้นั้น มันก็ต้องอาศัยการพิจารณา กำหนดรู้เวทนา...จากนั้นจึงสาวย้อนไปถึงต้นเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดเวทนาขึ้นมา...หลังจากนั้นก็ยกเอาธรรมเหล่านั้นมาพิจารณาและหาอุบายธรรมเครื่องแก้ จนเป็นที่ลงใจและหายหลง...ในกระบวนการเหล่านี้เราต้องหมั่นทำซ้ำๆอยู่เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอครับ แล้วผลที่ได้มันจะค่อยๆเจริญขึ้นๆเป็นลำดับๆ
ขอบคุณครับ :b8:

เจ้าของ:  ขณะจิต [ 16 เม.ย. 2012, 21:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

ให้ทาง เขียน:
อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร เพราะอะไร :b4:
สาธุ :b8:


ผมเห็นว่า การวางเฉย คือการที่จิตไม่ไปจับต้องสิ่งนั้น (ธรรมนั้น) อารมณ์นั้น ความรู้สึกนั้น รู้อยู่ เห็นอยู่แต่ไม่ถือเอาปรุงแต่งจิต

มีสองลักษณะคือ

1.วางเฉยเพราะรู้ คือการรู้จักสิ่ง(ธรรม)นั้นดี ว่าเป็นอย่างนั้น มีอาการอย่างนั้น ต้องเป็นไปอย่างนั้นๆ เกิดจากการสัมผัสสิ่งนั้น ใคร่ครวญเห็นแจ้ง จนปล่อยวาง จึงวางเฉยได้

2.วางเฉยเพราะไม่เข้าไปจับ แค่กำหนดรู้สิ่งนั้นด้วยการวางจิตเป็นกลาง(อุเบกขา)

ผมเห็นอย่างนี้ครับ :b25:

เจ้าของ:  asoka [ 17 เม.ย. 2012, 08:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

:b8:
อุเบกขาที่แท้จริงจะเกิดอย่างไร คุณให้ทางลองพิจารณา ค้นหาดูจากข้อความต่อไปนี้นะครับ
:b27:
..........จากนั้นมาดูตามบาลีของสติปัฎฐาน 4
กาเยกายานุปัสสีวิหารติ = เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ ตรงนี้มีมรรคตัวไหนมาทำงานบ้าง?
1.สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย
2.ปัญญาสัมมาสังกัปปะ สังเกต พิจารณาอาการของกาย
3.ปัญญาสัมมาทิฐิ เห็น ดู รู้อาการของกาย
4.สัมมาสมาธิ และวิริยะ คือความ เฝ้า และเนืองๆ คือตั้งมั่นจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับการรู้ เห็น สังเกต
พิจารณา อาการของกาย

อาตาปี = มีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละ เป็น สัมมาสมาธิ และ สัมมาวายามะ ตรงๆเลยทีเดียว

สัมปฌาโณ = ความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นตัวปัญญามรรคทั้ง 2 ข้อ ทำงานเฝ้าดู สังเกต พิจารณา วิเคราะห์วิจัยธรรม เพื่อค้นหาสมุทัย เหตุทุกข์ เพื่อจะเอาออกเสียให้ได้ซึ่งเหตุทุกข์

สติมา = สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย ระลึกได้ว่าจะต้องรักษากายใจให้เดินอยู่บนทางแห่งมรรค 8 ไม่ลืมที่จะกำกับกายใจให้เจริญอยู่ในสติปัฏฐานทั้ง 4

วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง = เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ข้อนี้เป็นการร่วมกันทำงานของมรรคทั้ง 8 ตัวโดยมีปัญญานำหน้า ค้นหาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดความยินดียินร้าย เมื่อหยุดเหตุหรือทำลายเหตุได้ ความยินดียินร้ายเขาก็จะดับไปเองตามธรรม เกิดเป็น อุเบกขา ๆ เพิ่มมากขึ้นๆ จนถึง "สังขารุเปกขาญาณ ก็จะได้ถึงเหตุใกล้ หรือปัจจัย ที่จะทำให้ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ นิพพาน และปัจจเวกขณญาณเกิดขึ้นในที่สุด
:b37:

เจ้าของ:  nongkong [ 18 เม.ย. 2012, 22:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

asoka เขียน:
:b8:
อุเบกขาที่แท้จริงจะเกิดอย่างไร คุณให้ทางลองพิจารณา ค้นหาดูจากข้อความต่อไปนี้นะครับ
:b27:
..........จากนั้นมาดูตามบาลีของสติปัฎฐาน 4
กาเยกายานุปัสสีวิหารติ = เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ ตรงนี้มีมรรคตัวไหนมาทำงานบ้าง?
1.สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย
2.ปัญญาสัมมาสังกัปปะ สังเกต พิจารณาอาการของกาย
3.ปัญญาสัมมาทิฐิ เห็น ดู รู้อาการของกาย
4.สัมมาสมาธิ และวิริยะ คือความ เฝ้า และเนืองๆ คือตั้งมั่นจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับการรู้ เห็น สังเกต
พิจารณา อาการของกาย

อาตาปี = มีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละ เป็น สัมมาสมาธิ และ สัมมาวายามะ ตรงๆเลยทีเดียว

สัมปฌาโณ = ความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นตัวปัญญามรรคทั้ง 2 ข้อ ทำงานเฝ้าดู สังเกต พิจารณา วิเคราะห์วิจัยธรรม เพื่อค้นหาสมุทัย เหตุทุกข์ เพื่อจะเอาออกเสียให้ได้ซึ่งเหตุทุกข์

สติมา = สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย ระลึกได้ว่าจะต้องรักษากายใจให้เดินอยู่บนทางแห่งมรรค 8 ไม่ลืมที่จะกำกับกายใจให้เจริญอยู่ในสติปัฏฐานทั้ง 4

วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง = เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ข้อนี้เป็นการร่วมกันทำงานของมรรคทั้ง 8 ตัวโดยมีปัญญานำหน้า ค้นหาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดความยินดียินร้าย เมื่อหยุดเหตุหรือทำลายเหตุได้ ความยินดียินร้ายเขาก็จะดับไปเองตามธรรม เกิดเป็น อุเบกขา ๆ เพิ่มมากขึ้นๆ จนถึง "สังขารุเปกขาญาณ ก็จะได้ถึงเหตุใกล้ หรือปัจจัย ที่จะทำให้ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ นิพพาน และปัจจเวกขณญาณเกิดขึ้นในที่สุด
:b37:

:b27: rolleyes

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 19 เม.ย. 2012, 02:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

asoka เขียน:
:b8:
อุเบกขาที่แท้จริงจะเกิดอย่างไร คุณให้ทางลองพิจารณา ค้นหาดูจากข้อความต่อไปนี้นะครับ
:b27:
..........จากนั้นมาดูตามบาลีของสติปัฎฐาน 4
กาเยกายานุปัสสีวิหารติ = เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ ตรงนี้มีมรรคตัวไหนมาทำงานบ้าง?
1.สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย
2.ปัญญาสัมมาสังกัปปะ สังเกต พิจารณาอาการของกาย
3.ปัญญาสัมมาทิฐิ เห็น ดู รู้อาการของกาย
4.สัมมาสมาธิ และวิริยะ คือความ เฝ้า และเนืองๆ คือตั้งมั่นจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับการรู้ เห็น สังเกต
พิจารณา อาการของกาย

อาตาปี = มีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละ เป็น สัมมาสมาธิ และ สัมมาวายามะ ตรงๆเลยทีเดียว

สัมปฌาโณ = ความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นตัวปัญญามรรคทั้ง 2 ข้อ ทำงานเฝ้าดู สังเกต พิจารณา วิเคราะห์วิจัยธรรม เพื่อค้นหาสมุทัย เหตุทุกข์ เพื่อจะเอาออกเสียให้ได้ซึ่งเหตุทุกข์

สติมา = สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย ระลึกได้ว่าจะต้องรักษากายใจให้เดินอยู่บนทางแห่งมรรค 8 ไม่ลืมที่จะกำกับกายใจให้เจริญอยู่ในสติปัฏฐานทั้ง 4

วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง = เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ข้อนี้เป็นการร่วมกันทำงานของมรรคทั้ง 8 ตัวโดยมีปัญญานำหน้า ค้นหาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดความยินดียินร้าย เมื่อหยุดเหตุหรือทำลายเหตุได้ ความยินดียินร้ายเขาก็จะดับไปเองตามธรรม เกิดเป็น อุเบกขา ๆ เพิ่มมากขึ้นๆ จนถึง "สังขารุเปกขาญาณ ก็จะได้ถึงเหตุใกล้ หรือปัจจัย ที่จะทำให้ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ นิพพาน และปัจจเวกขณญาณเกิดขึ้นในที่สุด
:b37:

เอาอีกแล้วนะครับคุณโสกะ เอาตัวหนังสือมาละเลงเล่นอีกแล้ว ผมอ่านแล้วรู้สีกว่า
คุณท่าจะสับสนวุ่นวายเอาการเลยที่เดียว ....

อริยมรรคมีองค์แปดที่คุณกำลังจ้ออยู่นะ มันเป็นผลอันเกิดจาก อุเบกขา
และอุเบกขาเกิดจากไหน อุเบกขาเกิดจาก การปฏิบัติในเรื่อง โพชฌงค์๗

เจ้าของ:  asoka [ 20 เม.ย. 2012, 20:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

cool
โฮฮับ.....เอาอีกแล้วนะครับคุณโสกะ เอาตัวหนังสือมาละเลงเล่นอีกแล้ว ผมอ่านแล้วรู้สีกว่า
คุณท่าจะสับสนวุ่นวายเอาการเลยที่เดียว ....

อริยมรรคมีองค์แปดที่คุณกำลังจ้ออยู่นะ มันเป็นผลอันเกิดจาก อุเบกขา
และอุเบกขาเกิดจากไหน อุเบกขาเกิดจาก การปฏิบัติในเรื่อง โพชฌงค์๗
:b34:
เพราะความเห็นผิด ตีความบัญญัติคำสอนมาผิดๆ ยึดอยู่กับความเห็นที่ผิดๆ จึงทำให้คุณโฮ...มีความคิดสวนทางกับปกติธรรม จึงรู้แต่บัญญัติ ไม่เข้าใจเมื่อมีการชี้แจงให้ทราบโดยปรมัตถ์ หรือสภาวะ
:b34:
อุเบกขา เป็นผลจากการเจริญมรรค 8 ไม่ใช่มรรค 8 เป็นผลจากอุเบกขา
ดูจากสติปัฎฐาน 4 ที่วิเคราะห์ให้ดูเป็นสำคัญ

โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นคือการเจริญมรรค 8 ทั้งสิ้น ลองวิเคราะห์ดูตามธรรมซิ อย่างที่วิเคราะห์เรื่องสติปัฏฐาน 4 ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ได้อย่างไรให้ดูแล้ว

กรณีโพชฌงค์ 7 ก็เช่นกัน ลองวิเคราะห์ดูให้ดีสิครับ ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ข้อใดบ้าง จะวิเคราะห์ให้ดู
โพชฌงค์ 7 เป็นการเจริญ ปัญญามรรค ร่วมกับสมาธิมรรคเพียง 2 อย่าง โดยเป็นส่วนของสมาธิมรรค 6 ข้อ เป็นส่วนของปัญญามรรค 1 ข้อ

:b34:
สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ
ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้

:b34:
อธิบายสภาวะอย่างนี้ไม่ทราบจะมีปัญญาเข้าใจได้หรือเปล่านะคุณโฮ.....?
:b34:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 20 เม.ย. 2012, 22:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

:b1: :b1: :b1:
นี้......อุเบกขา

เจ้าของ:  nongkong [ 21 เม.ย. 2012, 02:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

อุเบกขา ที่ท่านโสกา กล่าวมานั้น คือ (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง

มีสัมมาทิฏฐิเป็นที่ตั้ง เป็นอุเบกขาที่ใช้ปัญญา แต่ก็มีอุเบกขาแบบที่ไม่ใช้ปัญญา เป็นแนวปุถุชน คือเฉย ไม่สน ใครจะไปทำอะไรหรือเป็นยังงัยก็ไม่ใช่เรื่องของตน พูดภาษาชาวบ้านก็คือ กุไม่เกี่ยว สรุปการจะได้อุเบกขาที่แท้จริงมา เราก็ต้องอาศัยการเจริญมรรค 8 เพื่อให้ได้อุเบกขาแห่งปัญญามาเจ้าค่ะ :b1: โดยส่วนตัวดิฉันคิดแบบนี้เจ้าค่ะ tongue

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 21 เม.ย. 2012, 04:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

asoka เขียน:
เพราะความเห็นผิด ตีความบัญญัติคำสอนมาผิดๆ ยึดอยู่กับความเห็นที่ผิดๆ จึงทำให้คุณโฮ...มีความคิดสวนทางกับปกติธรรม จึงรู้แต่บัญญัติ ไม่เข้าใจเมื่อมีการชี้แจงให้ทราบโดยปรมัตถ์ หรือสภาวะ
:b34:
อุเบกขา เป็นผลจากการเจริญมรรค 8 ไม่ใช่มรรค 8 เป็นผลจากอุเบกขา
ดูจากสติปัฎฐาน 4 ที่วิเคราะห์ให้ดูเป็นสำคัญ

โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นคือการเจริญมรรค 8 ทั้งสิ้น ลองวิเคราะห์ดูตามธรรมซิ อย่างที่วิเคราะห์เรื่องสติปัฏฐาน 4 ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ได้อย่างไรให้ดูแล้ว

กรณีโพชฌงค์ 7 ก็เช่นกัน ลองวิเคราะห์ดูให้ดีสิครับ ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ข้อใดบ้าง จะวิเคราะห์ให้ดู
โพชฌงค์ 7 เป็นการเจริญ ปัญญามรรค ร่วมกับสมาธิมรรคเพียง 2 อย่าง โดยเป็นส่วนของสมาธิมรรค 6 ข้อ เป็นส่วนของปัญญามรรค 1 ข้อ

:b34:
สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ
ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้

:b34:
อธิบายสภาวะอย่างนี้ไม่ทราบจะมีปัญญาเข้าใจได้หรือเปล่านะคุณโฮ.....?
:b34:

จะให้เข้าใจได้ไง มันมั่วออกอย่างนี้
เอาบัญญัติโน้นมาตีบัญญัตินี้ให้วุ่นไปหมด
:b32:

เจ้าของ:  โฮฮับ [ 21 เม.ย. 2012, 04:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

asoka เขียน:
สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ
ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้

:b34:

จะอธิบายความท่อนนี้ให้ฟัง เห็นว่ามั่วจนเลยเถิด
ศีลมรรคที่คุณว่า ถ้าเป็นเรื่อง สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะหรือสัมมาอาชีวะ

เราจะต้องใช้ธัมวิจยะ โดยมีสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ ไปพิจารณาว่า
วาจาใด ความประพฤติใดและความเป็นอยู่อย่างไร จึงจะเป็นกลาง
สามารถวาง อุเบกขาได้

ความคิดหรือธัมมวิจยะที่นำมาพิจารณาหาเหตุผลทำให้เกิด
ความเป็นกลางของสัมมาศีล จนวางอุเบกขาได้เราเรียก
ความคิดหรือธัมมวิจยะนี้ว่า สัมมาสังกัปปะ

กระบวนการนี้ยังมีธรรมในโพชฌงค์เป็นตัวประกอบอีก
แต่ขี้เกียจอธิบาย ที่สำคัญอธิบายไปโสกะก็คงไม่เข้าใจ
เดี๋ยวก็โต้อะไรเฉิ่มๆกลับมา กลัวฟันร่วงนี่ก็จะหมดปากอยู่แล้ว
เป็นเพราะหัวเราะโสกะนั้นเอง :b13:

เจ้าของ:  asoka [ 21 เม.ย. 2012, 10:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
เพราะความเห็นผิด ตีความบัญญัติคำสอนมาผิดๆ ยึดอยู่กับความเห็นที่ผิดๆ จึงทำให้คุณโฮ...มีความคิดสวนทางกับปกติธรรม จึงรู้แต่บัญญัติ ไม่เข้าใจเมื่อมีการชี้แจงให้ทราบโดยปรมัตถ์ หรือสภาวะ
:b34:
อุเบกขา เป็นผลจากการเจริญมรรค 8 ไม่ใช่มรรค 8 เป็นผลจากอุเบกขา
ดูจากสติปัฎฐาน 4 ที่วิเคราะห์ให้ดูเป็นสำคัญ

โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นคือการเจริญมรรค 8 ทั้งสิ้น ลองวิเคราะห์ดูตามธรรมซิ อย่างที่วิเคราะห์เรื่องสติปัฏฐาน 4 ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ได้อย่างไรให้ดูแล้ว

กรณีโพชฌงค์ 7 ก็เช่นกัน ลองวิเคราะห์ดูให้ดีสิครับ ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ข้อใดบ้าง จะวิเคราะห์ให้ดู
โพชฌงค์ 7 เป็นการเจริญ ปัญญามรรค ร่วมกับสมาธิมรรคเพียง 2 อย่าง โดยเป็นส่วนของสมาธิมรรค 6 ข้อ เป็นส่วนของปัญญามรรค 1 ข้อ

:b34:
สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ
ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้

:b34:
อธิบายสภาวะอย่างนี้ไม่ทราบจะมีปัญญาเข้าใจได้หรือเปล่านะคุณโฮ.....?
:b34:

จะให้เข้าใจได้ไง มันมั่วออกอย่างนี้
เอาบัญญัติโน้นมาตีบัญญัตินี้ให้วุ่นไปหมด
:b32:

:b12:
จิตใจคุณโฮ...กำลังมั่วและสับสน รู้ตัวหรือเปล่า เพราะคุณโฮ....ยึดอยู่ในความเห็นที่แปลความจากพระสูตรมาผิดธรรม ว่ามรรค 8 เป็นธรรมเฉพาะของพระอริยเจ้า คุณโฮ...กำลังจะทำให้ธรรมวิบัติ ความวิบัติในสมองของคุณโฮ...จึงเริ่มแสดงออกมาเรื่อยๆ อย่างน้อยๆก็ เรื่อง "ขวางโลก ที่คุณโฮ..กำลังมีพฤติกรรมชัดเจนอยู่ในห้วงเวลา 2 - 3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีวาทะกับผู้คนไปทั่วทั้งลาน ไปเจอของแข็งของจริงอย่างท่านเช่นนั้นเข้าเสียบ้าง จึงดูพอจะรู้สึกตัวขึ้ันมา แต่นี่กลับจะเพี้ยนไปอีกแล้ว
cool
ดูให้ดี สังเกตให้ดี ฝึกใช้ปัญญาสัมมาสังกัปปะเสียบ้าง ธรรมที่แจงมาให้ฟังข้างต้นนั้นเขาเป็นไปตามลำดับแห่งธรรม ไม่ใช่สวนทางธรรมอย่างที่คุณโฮ...เป็น ที่ว่าเป็นอริยะก่อนได้สัมมาทิฏฐิก่อนแล้วค่อยมาเจริญมรรค 8 นั่นหละ ผิดธรรม

ตื่นได้แล้วนะครับคุณโฮฮับ รู้ถูกต้อง......ตื่น.......แล้วจะได้เบิกบาน
:b27:
:b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12:

เจ้าของ:  asoka [ 21 เม.ย. 2012, 10:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

:b8:
nongkong เขียน:
อุเบกขา ที่ท่านโสกา กล่าวมานั้น คือ (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง

มีสัมมาทิฏฐิเป็นที่ตั้ง เป็นอุเบกขาที่ใช้ปัญญา แต่ก็มีอุเบกขาแบบที่ไม่ใช้ปัญญา เป็นแนวปุถุชน คือเฉย ไม่สน ใครจะไปทำอะไรหรือเป็นยังงัยก็ไม่ใช่เรื่องของตน พูดภาษาชาวบ้านก็คือ กุไม่เกี่ยว สรุปการจะได้อุเบกขาที่แท้จริงมา เราก็ต้องอาศัยการเจริญมรรค 8 เพื่อให้ได้อุเบกขาแห่งปัญญามาเจ้าค่ะ :b1: โดยส่วนตัวดิฉันคิดแบบนี้เจ้าค่ะ tongue

:b8:
สาธุอนุโมทนายิ่งกับน้องคงครับ
:b8:
onion

เจ้าของ:  asoka [ 21 เม.ย. 2012, 10:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร

:b34: :b34:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ
ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้

:b34:

จะอธิบายความท่อนนี้ให้ฟัง เห็นว่ามั่วจนเลยเถิด
ศีลมรรคที่คุณว่า ถ้าเป็นเรื่อง สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะหรือสัมมาอาชีวะ

เราจะต้องใช้ธัมวิจยะ โดยมีสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ ไปพิจารณาว่า
วาจาใด ความประพฤติใดและความเป็นอยู่อย่างไร จึงจะเป็นกลาง
สามารถวาง อุเบกขาได้

ความคิดหรือธัมมวิจยะที่นำมาพิจารณาหาเหตุผลทำให้เกิด
ความเป็นกลางของสัมมาศีล จนวางอุเบกขาได้เราเรียก
ความคิดหรือธัมมวิจยะนี้ว่า สัมมาสังกัปปะ

กระบวนการนี้ยังมีธรรมในโพชฌงค์เป็นตัวประกอบอีก
แต่ขี้เกียจอธิบาย ที่สำคัญอธิบายไปโสกะก็คงไม่เข้าใจ
เดี๋ยวก็โต้อะไรเฉิ่มๆกลับมา กลัวฟันร่วงนี่ก็จะหมดปากอยู่แล้ว
เป็นเพราะหัวเราะโสกะนั้นเอง :b13:

:b12:
อธิบายมาอ่านดูเผินๆดูเหมือนเข้าท่าดี แต่พอพิจารณาให้ถ้วนถี่ เอาเรื่องอุเบกขาเกิดได้เพราะสัมมาศีลของคุณโฮ...มันไกลกับประเด็นธรรมมาก นี่ล่ะมั่วตัวจริง
:b12:
ประเด็นธรรมของอุเบกขา ความวางเฉย ด้วยปัญญา มันต้องไปอธิบายตามสติปัฏฐาน 4 ขนาดน้องคงเธอยังจับประเด็นตีความออกและทำให้แตกฉานไปได้อีกจนถึง อุเบกขาที่ไร้ปัญญาประกอบ คุณโฮ...กลับมองไม่เห็นทั้งๆที่เป็นเรื่องที่เป็นสามัญสำนึก
:b34: :b34:

หน้า 1 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/