ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41772 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | ให้ทาง [ 15 เม.ย. 2012, 06:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร เพราะอะไร ![]() สาธุ ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 เม.ย. 2012, 07:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
ให้ทาง เขียน: อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร เพราะอะไร ![]() สาธุ ![]() ขออนุญาตสนทนาธรรมตามกาล อุเบกขาเวทนา ก็เป็นเวทนาอีกเวทนาหนึ่ง คือไม่สุข ไม่ทุกข์ หมายถึงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสุขเวทนาและทุกขเวทนานั้นเอง จึงเรียกว่าอทุกขมสุขเวทนา=อุเบกเวทนา แต่ก็ยังมีคำว่าตัตตรมัชฌัตตาเจตสิก ซึ่งแปลว่า เฉยๆ หรืออุเบกขา แต่มิได้หมายความว่าอุเบกขาเวทนา คือเป็นคำกลางๆไม่เกี่ยวกับกายและจิต ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักธรรมของพรหมวิหาร ๔ |
เจ้าของ: | ลูกพระป่า [ 16 เม.ย. 2012, 18:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
ให้ทาง เขียน: อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร เพราะอะไร ![]() สาธุ ![]() สวัสดีครับพี่ให้ทาง ![]() คำถามนี้ฟังดูสั้นๆง่ายๆ แต่จะตอบให้สั้นๆและอธิบายให้เข้าใจง่ายๆนั้นยากพอดูเลยครับ...ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนว่าเข้ามาเพียงร่วมเสนอความเห็นส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ...สำหรับผมแล้วอุเบกขาเป็นมากกว่าการวางเฉย คือ "ความเป็นปกติของใจ" เมื่อมีสิ่งภายนอกเข้ามากระทบแล้วใจเรามั่นคงไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งเหล่านั้น ยังคงความเป็นปกติของใจตั้งอยู่อย่างเดิม...การที่เราจะฝึกใจของเราให้มีความมั่นคงได้นั้น มันก็ต้องอาศัยการพิจารณา กำหนดรู้เวทนา...จากนั้นจึงสาวย้อนไปถึงต้นเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดเวทนาขึ้นมา...หลังจากนั้นก็ยกเอาธรรมเหล่านั้นมาพิจารณาและหาอุบายธรรมเครื่องแก้ จนเป็นที่ลงใจและหายหลง...ในกระบวนการเหล่านี้เราต้องหมั่นทำซ้ำๆอยู่เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอครับ แล้วผลที่ได้มันจะค่อยๆเจริญขึ้นๆเป็นลำดับๆ ขอบคุณครับ ![]() |
เจ้าของ: | ขณะจิต [ 16 เม.ย. 2012, 21:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
ให้ทาง เขียน: อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร เพราะอะไร ![]() สาธุ ![]() ผมเห็นว่า การวางเฉย คือการที่จิตไม่ไปจับต้องสิ่งนั้น (ธรรมนั้น) อารมณ์นั้น ความรู้สึกนั้น รู้อยู่ เห็นอยู่แต่ไม่ถือเอาปรุงแต่งจิต มีสองลักษณะคือ 1.วางเฉยเพราะรู้ คือการรู้จักสิ่ง(ธรรม)นั้นดี ว่าเป็นอย่างนั้น มีอาการอย่างนั้น ต้องเป็นไปอย่างนั้นๆ เกิดจากการสัมผัสสิ่งนั้น ใคร่ครวญเห็นแจ้ง จนปล่อยวาง จึงวางเฉยได้ 2.วางเฉยเพราะไม่เข้าไปจับ แค่กำหนดรู้สิ่งนั้นด้วยการวางจิตเป็นกลาง(อุเบกขา) ผมเห็นอย่างนี้ครับ ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 17 เม.ย. 2012, 08:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
![]() อุเบกขาที่แท้จริงจะเกิดอย่างไร คุณให้ทางลองพิจารณา ค้นหาดูจากข้อความต่อไปนี้นะครับ ![]() ..........จากนั้นมาดูตามบาลีของสติปัฎฐาน 4 กาเยกายานุปัสสีวิหารติ = เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ ตรงนี้มีมรรคตัวไหนมาทำงานบ้าง? 1.สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย 2.ปัญญาสัมมาสังกัปปะ สังเกต พิจารณาอาการของกาย 3.ปัญญาสัมมาทิฐิ เห็น ดู รู้อาการของกาย 4.สัมมาสมาธิ และวิริยะ คือความ เฝ้า และเนืองๆ คือตั้งมั่นจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับการรู้ เห็น สังเกต พิจารณา อาการของกาย อาตาปี = มีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละ เป็น สัมมาสมาธิ และ สัมมาวายามะ ตรงๆเลยทีเดียว สัมปฌาโณ = ความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นตัวปัญญามรรคทั้ง 2 ข้อ ทำงานเฝ้าดู สังเกต พิจารณา วิเคราะห์วิจัยธรรม เพื่อค้นหาสมุทัย เหตุทุกข์ เพื่อจะเอาออกเสียให้ได้ซึ่งเหตุทุกข์ สติมา = สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย ระลึกได้ว่าจะต้องรักษากายใจให้เดินอยู่บนทางแห่งมรรค 8 ไม่ลืมที่จะกำกับกายใจให้เจริญอยู่ในสติปัฏฐานทั้ง 4 วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง = เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ข้อนี้เป็นการร่วมกันทำงานของมรรคทั้ง 8 ตัวโดยมีปัญญานำหน้า ค้นหาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดความยินดียินร้าย เมื่อหยุดเหตุหรือทำลายเหตุได้ ความยินดียินร้ายเขาก็จะดับไปเองตามธรรม เกิดเป็น อุเบกขา ๆ เพิ่มมากขึ้นๆ จนถึง "สังขารุเปกขาญาณ ก็จะได้ถึงเหตุใกล้ หรือปัจจัย ที่จะทำให้ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ นิพพาน และปัจจเวกขณญาณเกิดขึ้นในที่สุด ![]() |
เจ้าของ: | nongkong [ 18 เม.ย. 2012, 22:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
asoka เขียน: :b8: อุเบกขาที่แท้จริงจะเกิดอย่างไร คุณให้ทางลองพิจารณา ค้นหาดูจากข้อความต่อไปนี้นะครับ ![]() ..........จากนั้นมาดูตามบาลีของสติปัฎฐาน 4 กาเยกายานุปัสสีวิหารติ = เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ ตรงนี้มีมรรคตัวไหนมาทำงานบ้าง? 1.สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย 2.ปัญญาสัมมาสังกัปปะ สังเกต พิจารณาอาการของกาย 3.ปัญญาสัมมาทิฐิ เห็น ดู รู้อาการของกาย 4.สัมมาสมาธิ และวิริยะ คือความ เฝ้า และเนืองๆ คือตั้งมั่นจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับการรู้ เห็น สังเกต พิจารณา อาการของกาย อาตาปี = มีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละ เป็น สัมมาสมาธิ และ สัมมาวายามะ ตรงๆเลยทีเดียว สัมปฌาโณ = ความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นตัวปัญญามรรคทั้ง 2 ข้อ ทำงานเฝ้าดู สังเกต พิจารณา วิเคราะห์วิจัยธรรม เพื่อค้นหาสมุทัย เหตุทุกข์ เพื่อจะเอาออกเสียให้ได้ซึ่งเหตุทุกข์ สติมา = สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย ระลึกได้ว่าจะต้องรักษากายใจให้เดินอยู่บนทางแห่งมรรค 8 ไม่ลืมที่จะกำกับกายใจให้เจริญอยู่ในสติปัฏฐานทั้ง 4 วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง = เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ข้อนี้เป็นการร่วมกันทำงานของมรรคทั้ง 8 ตัวโดยมีปัญญานำหน้า ค้นหาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดความยินดียินร้าย เมื่อหยุดเหตุหรือทำลายเหตุได้ ความยินดียินร้ายเขาก็จะดับไปเองตามธรรม เกิดเป็น อุเบกขา ๆ เพิ่มมากขึ้นๆ จนถึง "สังขารุเปกขาญาณ ก็จะได้ถึงเหตุใกล้ หรือปัจจัย ที่จะทำให้ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ นิพพาน และปัจจเวกขณญาณเกิดขึ้นในที่สุด ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 19 เม.ย. 2012, 02:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
asoka เขียน: :b8: อุเบกขาที่แท้จริงจะเกิดอย่างไร คุณให้ทางลองพิจารณา ค้นหาดูจากข้อความต่อไปนี้นะครับ ![]() ..........จากนั้นมาดูตามบาลีของสติปัฎฐาน 4 กาเยกายานุปัสสีวิหารติ = เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ ตรงนี้มีมรรคตัวไหนมาทำงานบ้าง? 1.สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย 2.ปัญญาสัมมาสังกัปปะ สังเกต พิจารณาอาการของกาย 3.ปัญญาสัมมาทิฐิ เห็น ดู รู้อาการของกาย 4.สัมมาสมาธิ และวิริยะ คือความ เฝ้า และเนืองๆ คือตั้งมั่นจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับการรู้ เห็น สังเกต พิจารณา อาการของกาย อาตาปี = มีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละ เป็น สัมมาสมาธิ และ สัมมาวายามะ ตรงๆเลยทีเดียว สัมปฌาโณ = ความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นตัวปัญญามรรคทั้ง 2 ข้อ ทำงานเฝ้าดู สังเกต พิจารณา วิเคราะห์วิจัยธรรม เพื่อค้นหาสมุทัย เหตุทุกข์ เพื่อจะเอาออกเสียให้ได้ซึ่งเหตุทุกข์ สติมา = สัมมาสติ คอยรู้ทันอาการของกาย ระลึกได้ว่าจะต้องรักษากายใจให้เดินอยู่บนทางแห่งมรรค 8 ไม่ลืมที่จะกำกับกายใจให้เจริญอยู่ในสติปัฏฐานทั้ง 4 วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง = เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ข้อนี้เป็นการร่วมกันทำงานของมรรคทั้ง 8 ตัวโดยมีปัญญานำหน้า ค้นหาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดความยินดียินร้าย เมื่อหยุดเหตุหรือทำลายเหตุได้ ความยินดียินร้ายเขาก็จะดับไปเองตามธรรม เกิดเป็น อุเบกขา ๆ เพิ่มมากขึ้นๆ จนถึง "สังขารุเปกขาญาณ ก็จะได้ถึงเหตุใกล้ หรือปัจจัย ที่จะทำให้ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ นิพพาน และปัจจเวกขณญาณเกิดขึ้นในที่สุด ![]() เอาอีกแล้วนะครับคุณโสกะ เอาตัวหนังสือมาละเลงเล่นอีกแล้ว ผมอ่านแล้วรู้สีกว่า คุณท่าจะสับสนวุ่นวายเอาการเลยที่เดียว .... อริยมรรคมีองค์แปดที่คุณกำลังจ้ออยู่นะ มันเป็นผลอันเกิดจาก อุเบกขา และอุเบกขาเกิดจากไหน อุเบกขาเกิดจาก การปฏิบัติในเรื่อง โพชฌงค์๗ |
เจ้าของ: | asoka [ 20 เม.ย. 2012, 20:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
![]() โฮฮับ.....เอาอีกแล้วนะครับคุณโสกะ เอาตัวหนังสือมาละเลงเล่นอีกแล้ว ผมอ่านแล้วรู้สีกว่า คุณท่าจะสับสนวุ่นวายเอาการเลยที่เดียว .... อริยมรรคมีองค์แปดที่คุณกำลังจ้ออยู่นะ มันเป็นผลอันเกิดจาก อุเบกขา และอุเบกขาเกิดจากไหน อุเบกขาเกิดจาก การปฏิบัติในเรื่อง โพชฌงค์๗ ![]() เพราะความเห็นผิด ตีความบัญญัติคำสอนมาผิดๆ ยึดอยู่กับความเห็นที่ผิดๆ จึงทำให้คุณโฮ...มีความคิดสวนทางกับปกติธรรม จึงรู้แต่บัญญัติ ไม่เข้าใจเมื่อมีการชี้แจงให้ทราบโดยปรมัตถ์ หรือสภาวะ ![]() อุเบกขา เป็นผลจากการเจริญมรรค 8 ไม่ใช่มรรค 8 เป็นผลจากอุเบกขา ดูจากสติปัฎฐาน 4 ที่วิเคราะห์ให้ดูเป็นสำคัญ โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นคือการเจริญมรรค 8 ทั้งสิ้น ลองวิเคราะห์ดูตามธรรมซิ อย่างที่วิเคราะห์เรื่องสติปัฏฐาน 4 ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ได้อย่างไรให้ดูแล้ว กรณีโพชฌงค์ 7 ก็เช่นกัน ลองวิเคราะห์ดูให้ดีสิครับ ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ข้อใดบ้าง จะวิเคราะห์ให้ดู โพชฌงค์ 7 เป็นการเจริญ ปัญญามรรค ร่วมกับสมาธิมรรคเพียง 2 อย่าง โดยเป็นส่วนของสมาธิมรรค 6 ข้อ เป็นส่วนของปัญญามรรค 1 ข้อ ![]() สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้ ![]() อธิบายสภาวะอย่างนี้ไม่ทราบจะมีปัญญาเข้าใจได้หรือเปล่านะคุณโฮ.....? ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 20 เม.ย. 2012, 22:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
![]() ![]() ![]() นี้......อุเบกขา |
เจ้าของ: | nongkong [ 21 เม.ย. 2012, 02:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
อุเบกขา ที่ท่านโสกา กล่าวมานั้น คือ (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง มีสัมมาทิฏฐิเป็นที่ตั้ง เป็นอุเบกขาที่ใช้ปัญญา แต่ก็มีอุเบกขาแบบที่ไม่ใช้ปัญญา เป็นแนวปุถุชน คือเฉย ไม่สน ใครจะไปทำอะไรหรือเป็นยังงัยก็ไม่ใช่เรื่องของตน พูดภาษาชาวบ้านก็คือ กุไม่เกี่ยว สรุปการจะได้อุเบกขาที่แท้จริงมา เราก็ต้องอาศัยการเจริญมรรค 8 เพื่อให้ได้อุเบกขาแห่งปัญญามาเจ้าค่ะ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 21 เม.ย. 2012, 04:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
asoka เขียน: เพราะความเห็นผิด ตีความบัญญัติคำสอนมาผิดๆ ยึดอยู่กับความเห็นที่ผิดๆ จึงทำให้คุณโฮ...มีความคิดสวนทางกับปกติธรรม จึงรู้แต่บัญญัติ ไม่เข้าใจเมื่อมีการชี้แจงให้ทราบโดยปรมัตถ์ หรือสภาวะ ![]() อุเบกขา เป็นผลจากการเจริญมรรค 8 ไม่ใช่มรรค 8 เป็นผลจากอุเบกขา ดูจากสติปัฎฐาน 4 ที่วิเคราะห์ให้ดูเป็นสำคัญ โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นคือการเจริญมรรค 8 ทั้งสิ้น ลองวิเคราะห์ดูตามธรรมซิ อย่างที่วิเคราะห์เรื่องสติปัฏฐาน 4 ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ได้อย่างไรให้ดูแล้ว กรณีโพชฌงค์ 7 ก็เช่นกัน ลองวิเคราะห์ดูให้ดีสิครับ ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ข้อใดบ้าง จะวิเคราะห์ให้ดู โพชฌงค์ 7 เป็นการเจริญ ปัญญามรรค ร่วมกับสมาธิมรรคเพียง 2 อย่าง โดยเป็นส่วนของสมาธิมรรค 6 ข้อ เป็นส่วนของปัญญามรรค 1 ข้อ ![]() สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้ ![]() อธิบายสภาวะอย่างนี้ไม่ทราบจะมีปัญญาเข้าใจได้หรือเปล่านะคุณโฮ.....? ![]() จะให้เข้าใจได้ไง มันมั่วออกอย่างนี้ เอาบัญญัติโน้นมาตีบัญญัตินี้ให้วุ่นไปหมด ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 21 เม.ย. 2012, 04:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
asoka เขียน: สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้ ![]() จะอธิบายความท่อนนี้ให้ฟัง เห็นว่ามั่วจนเลยเถิด ศีลมรรคที่คุณว่า ถ้าเป็นเรื่อง สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะหรือสัมมาอาชีวะ เราจะต้องใช้ธัมวิจยะ โดยมีสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ ไปพิจารณาว่า วาจาใด ความประพฤติใดและความเป็นอยู่อย่างไร จึงจะเป็นกลาง สามารถวาง อุเบกขาได้ ความคิดหรือธัมมวิจยะที่นำมาพิจารณาหาเหตุผลทำให้เกิด ความเป็นกลางของสัมมาศีล จนวางอุเบกขาได้เราเรียก ความคิดหรือธัมมวิจยะนี้ว่า สัมมาสังกัปปะ กระบวนการนี้ยังมีธรรมในโพชฌงค์เป็นตัวประกอบอีก แต่ขี้เกียจอธิบาย ที่สำคัญอธิบายไปโสกะก็คงไม่เข้าใจ เดี๋ยวก็โต้อะไรเฉิ่มๆกลับมา กลัวฟันร่วงนี่ก็จะหมดปากอยู่แล้ว เป็นเพราะหัวเราะโสกะนั้นเอง ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 21 เม.ย. 2012, 10:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
โฮฮับ เขียน: asoka เขียน: เพราะความเห็นผิด ตีความบัญญัติคำสอนมาผิดๆ ยึดอยู่กับความเห็นที่ผิดๆ จึงทำให้คุณโฮ...มีความคิดสวนทางกับปกติธรรม จึงรู้แต่บัญญัติ ไม่เข้าใจเมื่อมีการชี้แจงให้ทราบโดยปรมัตถ์ หรือสภาวะ ![]() อุเบกขา เป็นผลจากการเจริญมรรค 8 ไม่ใช่มรรค 8 เป็นผลจากอุเบกขา ดูจากสติปัฎฐาน 4 ที่วิเคราะห์ให้ดูเป็นสำคัญ โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นคือการเจริญมรรค 8 ทั้งสิ้น ลองวิเคราะห์ดูตามธรรมซิ อย่างที่วิเคราะห์เรื่องสติปัฏฐาน 4 ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ได้อย่างไรให้ดูแล้ว กรณีโพชฌงค์ 7 ก็เช่นกัน ลองวิเคราะห์ดูให้ดีสิครับ ว่าเป็นการเจริญมรรค 8 ข้อใดบ้าง จะวิเคราะห์ให้ดู โพชฌงค์ 7 เป็นการเจริญ ปัญญามรรค ร่วมกับสมาธิมรรคเพียง 2 อย่าง โดยเป็นส่วนของสมาธิมรรค 6 ข้อ เป็นส่วนของปัญญามรรค 1 ข้อ ![]() สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้ ![]() อธิบายสภาวะอย่างนี้ไม่ทราบจะมีปัญญาเข้าใจได้หรือเปล่านะคุณโฮ.....? ![]() จะให้เข้าใจได้ไง มันมั่วออกอย่างนี้ เอาบัญญัติโน้นมาตีบัญญัตินี้ให้วุ่นไปหมด ![]() ![]() จิตใจคุณโฮ...กำลังมั่วและสับสน รู้ตัวหรือเปล่า เพราะคุณโฮ....ยึดอยู่ในความเห็นที่แปลความจากพระสูตรมาผิดธรรม ว่ามรรค 8 เป็นธรรมเฉพาะของพระอริยเจ้า คุณโฮ...กำลังจะทำให้ธรรมวิบัติ ความวิบัติในสมองของคุณโฮ...จึงเริ่มแสดงออกมาเรื่อยๆ อย่างน้อยๆก็ เรื่อง "ขวางโลก ที่คุณโฮ..กำลังมีพฤติกรรมชัดเจนอยู่ในห้วงเวลา 2 - 3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีวาทะกับผู้คนไปทั่วทั้งลาน ไปเจอของแข็งของจริงอย่างท่านเช่นนั้นเข้าเสียบ้าง จึงดูพอจะรู้สึกตัวขึ้ันมา แต่นี่กลับจะเพี้ยนไปอีกแล้ว ![]() ดูให้ดี สังเกตให้ดี ฝึกใช้ปัญญาสัมมาสังกัปปะเสียบ้าง ธรรมที่แจงมาให้ฟังข้างต้นนั้นเขาเป็นไปตามลำดับแห่งธรรม ไม่ใช่สวนทางธรรมอย่างที่คุณโฮ...เป็น ที่ว่าเป็นอริยะก่อนได้สัมมาทิฏฐิก่อนแล้วค่อยมาเจริญมรรค 8 นั่นหละ ผิดธรรม ตื่นได้แล้วนะครับคุณโฮฮับ รู้ถูกต้อง......ตื่น.......แล้วจะได้เบิกบาน ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 21 เม.ย. 2012, 10:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
![]() nongkong เขียน: อุเบกขา ที่ท่านโสกา กล่าวมานั้น คือ (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง มีสัมมาทิฏฐิเป็นที่ตั้ง เป็นอุเบกขาที่ใช้ปัญญา แต่ก็มีอุเบกขาแบบที่ไม่ใช้ปัญญา เป็นแนวปุถุชน คือเฉย ไม่สน ใครจะไปทำอะไรหรือเป็นยังงัยก็ไม่ใช่เรื่องของตน พูดภาษาชาวบ้านก็คือ กุไม่เกี่ยว สรุปการจะได้อุเบกขาที่แท้จริงมา เราก็ต้องอาศัยการเจริญมรรค 8 เพื่อให้ได้อุเบกขาแห่งปัญญามาเจ้าค่ะ ![]() ![]() ![]() สาธุอนุโมทนายิ่งกับน้องคงครับ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | asoka [ 21 เม.ย. 2012, 10:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุเบกขา วางเฉยได้อย่างไร |
![]() ![]() โฮฮับ เขียน: asoka เขียน: สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้ ![]() จะอธิบายความท่อนนี้ให้ฟัง เห็นว่ามั่วจนเลยเถิด ศีลมรรคที่คุณว่า ถ้าเป็นเรื่อง สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะหรือสัมมาอาชีวะ เราจะต้องใช้ธัมวิจยะ โดยมีสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ ไปพิจารณาว่า วาจาใด ความประพฤติใดและความเป็นอยู่อย่างไร จึงจะเป็นกลาง สามารถวาง อุเบกขาได้ ความคิดหรือธัมมวิจยะที่นำมาพิจารณาหาเหตุผลทำให้เกิด ความเป็นกลางของสัมมาศีล จนวางอุเบกขาได้เราเรียก ความคิดหรือธัมมวิจยะนี้ว่า สัมมาสังกัปปะ กระบวนการนี้ยังมีธรรมในโพชฌงค์เป็นตัวประกอบอีก แต่ขี้เกียจอธิบาย ที่สำคัญอธิบายไปโสกะก็คงไม่เข้าใจ เดี๋ยวก็โต้อะไรเฉิ่มๆกลับมา กลัวฟันร่วงนี่ก็จะหมดปากอยู่แล้ว เป็นเพราะหัวเราะโสกะนั้นเอง ![]() ![]() อธิบายมาอ่านดูเผินๆดูเหมือนเข้าท่าดี แต่พอพิจารณาให้ถ้วนถี่ เอาเรื่องอุเบกขาเกิดได้เพราะสัมมาศีลของคุณโฮ...มันไกลกับประเด็นธรรมมาก นี่ล่ะมั่วตัวจริง ![]() ประเด็นธรรมของอุเบกขา ความวางเฉย ด้วยปัญญา มันต้องไปอธิบายตามสติปัฏฐาน 4 ขนาดน้องคงเธอยังจับประเด็นตีความออกและทำให้แตกฉานไปได้อีกจนถึง อุเบกขาที่ไร้ปัญญาประกอบ คุณโฮ...กลับมองไม่เห็นทั้งๆที่เป็นเรื่องที่เป็นสามัญสำนึก ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |