ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41698 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 08 เม.ย. 2012, 05:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
เราอาจกล่าวได้ว่าปริยัติก็เป็นผลมาจากปฏิเวธ และยังทำให้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติอีกด้วย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุผลของการปฏิบัติของพระองค์แล้ว จึงทรงแนะนำประสบการณ์ที่เป็นผลของกาปฏิบัติ ของพระองค์นั้นมาเรียบเรียงร้อยกรอง นำมาสั่งสอนพวกเรา คือสั่งสอนพระธรรมวินัยไว้ คำสั่งสอนของพระองค์นั้นก็มาเป็นปริยัติของพวกเรา คือสิ่งที่พวกเราจะต้องเรียนรู้ แต่ปริยัติที่เป็นผลมาจากปฏิเวธนั้นก็หมายถึงปฏิเวธของพระพุทธองค์โดยเฉพาะ คือการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทรงยอมรับเท่านั้น ไม่เอาผลการปฏิบัติของโยคี ฤาษี ดาบส นักพรต ชีไพร อาจารย์ เจ้าลัทธิ หรือ ศาสดาใดๆ ถ้าไม่เล่าเรียนปริยัติ ก็ไม่รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติของเราก็ไขว่เขว ก็ผิด ก็เฉไฉออกนอกศาสนา ถ้าปฏิบัติผิดผลที่ได้รับก็ผิด หลอกตัวเองด้วยสิ่งที่พบซึ่งตัวเองเข้าใจผิด ปฏิเวธก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีปริยัติเป็นฐาน ปฏิบัติและปฏิเวธก็พลาดหมด เป็นอันว่าล้มเหลวไปด้วยกัน พูดง่ายๆ ว่าจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้าก็มาเป็นปริยัติของเรา แล้วเราก็ปฏิบัติตามปริยัตินั้น เมื่อปฏิบัติถูกต้องการบรรลุปฏิเวธก็เป็นดังพระพุทธองค์ ถ้าวงจรนี้ดำเนินไป พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็คงอยู่ ปริยัติที่มาจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้าและเป็นฐานแห่งการปฏิบัติของพวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลายก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี้แหละ ฉะนั้นมองในแง่นี้ก็ได้ความว่า ถ้าเราจะรักษาปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธไว้ ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกนั้นเอง ถ้าใครปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ที่แสดงไว้ตามพระไตรปิฎก ชีวิตของผู้นั้นจะกลายเป็นเหมือนตัวพระพุทธศาสนาเอง เหมือนเรารักษาพระพุทธศาสนาด้วยชีวิตของเราตราบเท่าชีวิตของเรายังอยู่ที่นั้น ก้าวไปถึงนั้น อย่างนี้เรียกว่าพระพุทธศาสนาอยู่ด้วยวิธิการรักษาอย่างสูงสุด พูดได้ว่าพระไตรปิฎกมาอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่อยู่แค่ตัวหนังสือ สรุปว่าเราชาวพุทธอิงอาศัยพระไตรปิฎกโดยตรงด้วยการนำเอาคำสอนมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตจริง |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 เม.ย. 2012, 04:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
ความหมายของคำว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ความหมายของคำทั้ง 3 ไม่มีอะไรมาก หากนำมารวมกันก็จะได้ความหมายที่สั้นกระชับได้ใจความที่สุดว่า นำทฤษฎีมาปฏิบัติให้เกิดผล แต่ถ้าขยายความก็หมายความว่า ปริยัติหมายถึงทฤษฎี วิธีการที่จะนำไปปฏิบัติ แล้วนำวิธีที่รู้มาไปปฏิบัติ คงไม่ต้องแปลคำว่าปฏิบัติว่าหมายความว่าอย่างไร ก็มาถึงปฏิเวธ คือผลที่เราพึงได้รับจากการปฏิบัตินั้น ๆ ว่าได้ผลออกมาเป็นอย่างไร แนวทางของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทั้งก่อนและหลังตรัสรู้ คือเริ่มต้นจากการปฏิบัติก่อน ลองผิดลองถูกอยู่นานหลายวิธี เพื่อให้เข้าถึงปฏิเวธในทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เริ่มต้นด้วยปฏิบัติ เมื่อถึงปฏิเวธทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกแล้ว จากนั้นก็นำการปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติแล้วทำให้ตนพ้นทุกข์โดยมีนัยสำคัญคือแจ้งประจักษ์ในตนเอง แล้วนำปฏิเวธที่ได้ไปสร้างเป็นปริยัติในที่สุด ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงเป็นผู้ที่เสียสละยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสอนว่าหากใครไปทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงมีบาปมหันต์ หรือแม้แต่การนำคำสอนของตนไปแนะนำคนอื่นโดยที่ตนรู้อยู่แล้วว่านั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์ แล้วไปแอบอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเป็นคำสอนที่ปรากฏจะเรียกว่า "กล่าวตู่ตถาคต" จึงเท่ากับเป็นการทำบาปอันหนักยิ่ง เพราะแนวทางเหล่านั้นเป็นการสะกัดกั้นมิให้มหาชนไปถึงเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาหรือถึงพระนิพพานนั่นเอง ฉะนั้นผู้เขียนเองก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องแยกคำสอนของตนเองออกจากคำสอนของพระพุทธองค์ หากสังเกตในบทความผู้เขียนจะแยกเอาไว้ โดยเฉพาะในส่วนเรื่องเกี่ยวกับเทพ จะไม่ปรากฏว่ามี "นี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์" ปรากฏ หรือแม้แต่การใช้คำว่าพระพุทธเจ้า ในหลาย ๆ บทความจะเป็นคำกลาง ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด แต่ถ้าใช้คำว่าพระพุทธองค์ จะหมายถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ทำหน้าที่อยู่ นั่นหมายความว่าคุณลักษณะของความเป็นเทพจะไม่มีปรากฏอยู่ในคำสอน แล้วถ้าพิจารณาให้ดีผู้เขียนได้อธิบายไปอย่างชัดเจนแล้วว่า พระพุทธองค์ไม่ให้เราขอให้เทพช่วยพร้อมทั้งอธิบายเหตุผลไว้ด้วย ฉะนั้นอะไรก็ตามถ้าเขียนไว้ลอย ๆ ไม่ปรากฏแหล่งที่มา หรือถ้าเขียนจะมีคำว่า "จากประสบการณ์" นั่นหมายความว่าเป็นสิ่งที่ผู้เขียนรู้เอง เมื่อเป็นสิ่งที่รู้เองเห็นเองด้วยประสบการณ์ แล้วถึงแม้เป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ มิเช่นนั้นผู้เขียนจะเป็นคนกล่าวตู่ตถาคตเสียเอง ถึงแม้ผู้เขียนจะทำไปด้วยเจตนาดีเพียงใดก็ตาม เช่นผู้เขียนรู้อยู่แล้วว่าพวกเราศรัทธาพระพุทธองค์มากกว่าผู้เขียน ก็เขียนโดยกล่าวตู่ทึกทักเสียเลยว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์เช่นนี้ก็ไม่ได้ แล้วคำสอนใด ๆ ก็ตามที่ผู้เขียนรู้เห็นมาแล้วพิสูจน์ผลได้ด้วยตนเอง แล้วคำสอนนั้นตรงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนไว้แล้ว ผู้เขียนก็พูดได้เต็มปากด้วยความกตัญญูว่านี่คือคำสอนของพระพุทธองค์ การปฏิบัติบูชาด้วยการนำปริยัติไปปฏิบัติเพื่อให้ถึงปฏิเวธ เป็นการแสดงความกตัญญูสุงสุดต่อพระพุทธองค์โดยไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้ว ไม่ถึงกับต้องนำมาเขียนออกมาว่าเป็นเพราะอะไรถึงการปฏิบัติตามคำสอนนั้นจึงส่งผลนั้นแก่ตน ดังนั้นการจะเป็นพุทธบุตรที่ดีของพระพุทธองค์ คือต้องนำวิธีการที่ทรงสอนมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตรงไปตรงมา สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือการเรียนแต่ปริยัติ แล้วนำทฤษฎีนั้นมาถกเถียงกันเพื่อหาความถูกผิดโดยไม่ลงมือปฏิบัติ แล้วถึงแม้จะปฏิบัติแล้วแต่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการปฏิบัติ ถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพทั้งต่อพระพุทธองค์เองหรือแม้แต่พระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มา ด้วยเหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็เพราะพระพุทธองค์สอนให้นำวิธีปฏิบัติไปปฏิบัติแล้วเราปฏิบัติกันหรือไม่ ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร |
เจ้าของ: | นายฏีกาน้อย [ 09 เม.ย. 2012, 04:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
อนุโมทนาสาธุ ^^ |
เจ้าของ: | asoka [ 09 เม.ย. 2012, 21:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
![]() ปฏิเวท.........ปริยัติ.........ปฏิบัติ........ ปริยัติ........ปฏิบัติ.........ปฏิเวท เป็นได้ทั้งอนุโลมและปฏิโลม สาธุ ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 10 เม.ย. 2012, 04:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
asoka เขียน: :b8: ปฏิเวท.........ปริยัติ.........ปฏิบัติ........ ปริยัติ........ปฏิบัติ.........ปฏิเวท เป็นได้ทั้งอนุโลมและปฏิโลม สาธุ ![]() ตลกตรงที่ ปฏิเวท...ปริยัติ...ปฏิบัตินี่แหล่ะ ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 10 เม.ย. 2012, 05:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
โฮฮับ เขียน: asoka เขียน: :b8: ปฏิเวท.........ปริยัติ.........ปฏิบัติ........ ปริยัติ........ปฏิบัติ.........ปฏิเวท เป็นได้ทั้งอนุโลมและปฏิโลม สาธุ ![]() ตลกตรงที่ ปฏิเวท...ปริยัติ...ปฏิบัตินี่แหล่ะ ![]() ไม่ใช่ตลกอะไรหรอกครับ อ่านข้อความด้านบนจะเห็นว่าเป็นไปได้จริงตามที่กล่าวไว้ คำว่า"ปฏิเวธ"เป็นผลของการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่ลองผิดลองถูกมา ๔ อสงไขย แสนกัปล์ เมื่อเป็นผล พระพุทธองค์จึงนำมาร้อยกรองเรียกว่า"ปริยัติ" ให้เหล่าสาวกทั้งหลายนำปริยัติมาศึกษาเพื่อปฏิบัติและเพื่อให้เกิดปฏิเวธ |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 11 เม.ย. 2012, 03:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
ลุงหมาน เขียน: โฮฮับ เขียน: asoka เขียน: :b8: ปฏิเวท.........ปริยัติ.........ปฏิบัติ........ ปริยัติ........ปฏิบัติ.........ปฏิเวท เป็นได้ทั้งอนุโลมและปฏิโลม สาธุ ![]() ตลกตรงที่ ปฏิเวท...ปริยัติ...ปฏิบัตินี่แหล่ะ ![]() ไม่ใช่ตลกอะไรหรอกครับ อ่านข้อความด้านบนจะเห็นว่าเป็นไปได้จริงตามที่กล่าวไว้ คำว่า"ปฏิเวธ"เป็นผลของการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่ลองผิดลองถูกมา ๔ อสงไขย แสนกัปล์ เมื่อเป็นผล พระพุทธองค์จึงนำมาร้อยกรองเรียกว่า"ปริยัติ" ให้เหล่าสาวกทั้งหลายนำปริยัติมาศึกษาเพื่อปฏิบัติและเพื่อให้เกิดปฏิเวธ ลุงหมานกำลังเอาบรรญัติมาเล่นนะครับ แบบนี้ผมว่ามันไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง จะทำให้เด็กๆเขาสับสนครับ ปฏิเวธของใคร ปริยัติของใครต้องบอกไว้ด้วยครับ ไม่ใช่มาบอกว่า ปฏิเวธ...ปริยัติ....ปฏิบัติ การพูดแบบนี้ ความหมายก็คือ ปฏิเวธของผู้พูดครับ ไม่ใช่ปฏิเวธของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นปฏิเวธของพระพุทธเจ้าต้องอยู่ ตรงปริยัติครับ ผมขอความกรุณาอย่าเอาบัญญัติมาเล่นสำนวนเลยครับ แค่นี้ชาวพุทธเขาก็สับสนพอแล้ว ถ้าลุงหมานไม่มีอะไรแสดง แต่อยากแสดงออก ลุงหมานก็ไปเอาคำสอนของครูบาอาจารย์มาโพสก็ได้ครับ |
เจ้าของ: | student [ 11 เม.ย. 2012, 04:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนคือผู้ที่มีความศรัทธาแต่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง ความเห็นยังปนด้วยอาสวะ4อยู่ มีผิดถูกในการปฏิบัติทั้ง กาย วาจา ใจ อย่างหลีกเลี่ยงลำบาก ความเห็นของผมคือการยึดถือเอาการปฏิบัติต้องใช้ปัญญาประกอบด้วยการจำแนกธรรม พอธรรมที่รู้นั้นตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็คือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงซึ่งต้องมีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าด้วยความสมบูรณ์ หากไม่สามารถทำได้ ผู้ปฏิบัติยังถือว่ามีกิเลสอยู่อาจบิดเบือน หนักเข้าเอาคำสอนมาเป็นของตน อย่างหลังคือคนนอกศาสนาไปเลย ไม่อาจรู้ได้ว่ากรรมนั้นจะหนักหนาเพียงใด ดังนั้นผู้ที่รู้ธรรมตามความเป็นจริงคือผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ครับย่อมถือเอาพระพุทธเจ้าผู้เป็นครูมีพระมหากรุณาธิคุณทางธรรมครับ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 11 เม.ย. 2012, 04:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
ปริยัติ...ปฏิบัติ...ปฏิเวธ...นี้เป็นแนวทางของสาวกะ ปริยัติ...ก็ใช่ว่าจะต้องมาจากหนังสือ...การได้ฟังคำแนะนำจากกัลยาณมิตรที่บรรลุกัลยาณธรรม...ก็ควรรนับรวมเข้าเป็น..ปริยัติ คำแนะนำของกัลยาณมิตร....ก็คือธรรมจากการปฏิบัติของท่านนั้นเอง |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 11 เม.ย. 2012, 07:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
ขอบคุณความคิดเห็นหลายๆท่านครับ สำหรับคุณ โฮฮับ จะไปในแนวทาง ดุดุ หน่อย ๕๕๕ |
เจ้าของ: | asoka [ 11 เม.ย. 2012, 09:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
ลุงหมาน เขียน: ขอบคุณความคิดเห็นหลายๆท่านครับ สำหรับคุณ โฮฮับ จะไปในแนวทาง ดุดุ หน่อย ๕๕๕ ![]() คุณโฮฮับเขาก็เป็นของเขาอย่างนี้มานานแล้วครับ อย่างกรณี ปฏิเวท.....ปริยัติ.....ปฏิบัติ นี่ก็เพราะคุณโฮฮับไม่ตรองด้วยธรรมว่า ผลที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้รับ ก็เรียก "ปฏิเวท" ผลที่พระอริยสาวกทั้งหลายได้รับ ก็เรียก "ปฏิเวท"เหมือนกัน พระสาวกที่ได้ปฏิเวทแล้วก็มา บอกปริยัติ แจงวิธีปฏิบัติ ก็มีเยอะแยะไปครับ คุณโฮ...เขายึดติดตำรา ละความเห็นที่ยึดไม่ได้ จึงมักออกอาการรุนแรงเมื่อพบสิ่งที่ขัดความเห็นของตนเองครับ ขอให้หายสบายเป็นปกติโดยเร็ววันเทอญ ![]() |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 03 ม.ค. 2013, 18:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
อาจถูกเพ่งเล็งว่าจะมาแย่งพื้นที่หากิน |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 04 ม.ค. 2013, 02:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปริยัติ คือผลมาจากปฏิเวธ |
ลุง ![]() อาจถูกเพ่งเล็งว่าจะมาแย่งพื้นที่หากิน พุทโธ่! ลุง ![]() ผิดไปจากที่ผมปรามาสไว้หรือเปล่า ดันมาหาว่า กลัวจะมาแย่งพิ้นที่หากิน แบบนี้บาปนะครับ ผมไม่ใช่คนทำเว็บหรือเป็นเจ้าสำนักนะครับ ผมมีอาชีพของผม และเป็นอาชีพที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะด้วย การสนทนาธรรมมันเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องมีคนแย้งคนอนุโมทนา ความเห็นไหนถูกแย้ง เจ้าของความเห็นก็ต้องหาเหตุผลมาอธิบาย มันเป็นการเพิ่มพูนความรู้ของตนให้มากขึ้น มันใช่สาระมั้ยที่จะต้องมาโกรธกัน ถึงขั้นหมิ่นประมาทในเรื่องไม่ใช่เรื่อง ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่ง ผมประกาศอยู่บ่อยๆว่า ใครคุยกับผมจะต้องควบคุมสติตนเองด้วย เพราะวิธีการคุยของผมเป็นการฝึกสติไปในตัว นี่ขนาดเตือนแล้วลุง ![]() นี่แค่เป็นการปฏิบัติเบื้องต้นยังทำไม่ได้ แล้วพระอภิธรรมที่ลุง ![]() ถามหน่อยเถอะจะทำได้หรือ แล้วคนอื่นเขาจะมองพระธรรมเอามาโพสไปในทางไหน เขาจะเชื่อหรือว่าถูกต้อง เพราะอะไรก็เพราะคนที่เอามาสอนคนอื่น ยังควบคุมสติตัวเองไม่ได้ ผมว่าลุง ![]() ธรรมที่ลุงแสดงความเห็น กลับเสียเวลาไปขุดกระทู้เก่าขึ้น แล้วก็ทำในลักษณะ.... เสียดสีประชดประชัน ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |