ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

"คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41623
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  MiMee [ 29 มี.ค. 2012, 06:34 ]
หัวข้อกระทู้:  "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล :b8:
"คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้"


เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา เสียเท่านั้น

พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา
เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง

เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น
โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกับไม้หรือก้อนหิน
คือภายในนั้นปราศจาก การเคลื่อนไหว
และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง

กล่าวคือ ปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีดขวางใดๆ
สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรม หรือฝ่ายรูปธรรม
มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปได้เลย



เจ้าของ:  โกเมศวร์ [ 30 มี.ค. 2012, 00:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

เพื่อนเอ๋ย ท่านทราบธรรมใดก็กล่าวมาเถิด

เจ้าของ:  ขณะจิต [ 30 มี.ค. 2012, 22:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

" เพราะรู้ จึงรู้ว่า หยุด เพราะหยุด จึงหยุดว่า รู้ "

ไม่ถือมั่น ก็รู้ได้ ใช่เล่นลิ้น ปลิ้นไปมา :b16:

เจ้าของ:  ปลงซะ [ 30 มี.ค. 2012, 22:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

เมื่อคิดนั่นแหละจึงรู้ หากหยุดคิดอยู่เฉยๆก็ไม่รู้ เมื่อไม่คิดจะมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่ได้อย่างไร
คิดไปศึกษาไป จึงจะรู้ ธรรมชาติมนุษย์นั้นคิดอยู่ตลอดเวลาในขณะมีสติครบ จะหยุดคิดเมื่อไม่มีสติ
เช่น เมื่อนอนหลับ จึงหยุดคิด

ฮ๊าฮาเจ้ามะฮะ :b32: :b32: :b13: :b13:

เจ้าของ:  ขณะจิต [ 30 มี.ค. 2012, 23:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ความรู้(สึกตัว=สติ) นี้มีพลัง พรากความคิด จิตไม่โดนลากไปมา พาทุกข์

เมื่อคิดก็รู้ เมื่อรู้ว่า(ก็แค่)คิด ไม่ติด ไม่ทุกข์ :b16:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 30 มี.ค. 2012, 23:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ฟุ้งซ่าน...นานแค่ไหน...ก็ไม่มีทางคิดได้

หยุดฟุ้งซ่าน..ได้เท่านั้น...ความคิดถึงจะแหลมคม

เจ้าของ:  ปลงซะ [ 30 มี.ค. 2012, 23:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

กบนอกกะลา เขียน:
ฟุ้งซ่าน...นานแค่ไหน...ก็ไม่มีทางคิดได้

หยุดฟุ้งซ่าน..ได้เท่านั้น...ความคิดถึงจะแหลมคม


นี่จึงจะถูก

ฟุ้งซ่านไม่ฟ้งซ่าน มันก็คือคิด หากหยุดคิดมนุษย์ก็ไม่ต่างจากตอไม้ ไร้ชีวิตจิตใจ
มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความคิด มีชีวิตจิตใจ ยังไง๊ ยังไง มันก็หยุดคิดไม่ได้ โอเค๊

อ้าว กบเฒ่า รูปภาพจิงป่ะ โอเค๊ ฝากไปบอก จขกท ด้วย โอเค๊

ฮาฮ๊าฮา โอเค๊ :b32: :b32:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 31 มี.ค. 2012, 00:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ฟุ้งซ่าน....

เจ้าของ:  asoka [ 01 เม.ย. 2012, 11:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ปลงซะ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ฟุ้งซ่าน...นานแค่ไหน...ก็ไม่มีทางคิดได้

หยุดฟุ้งซ่าน..ได้เท่านั้น...ความคิดถึงจะแหลมคม


นี่จึงจะถูก

ฟุ้งซ่านไม่ฟ้งซ่าน มันก็คือคิด หากหยุดคิดมนุษย์ก็ไม่ต่างจากตอไม้ ไร้ชีวิตจิตใจ
มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความคิด มีชีวิตจิตใจ ยังไง๊ ยังไง มันก็หยุดคิดไม่ได้ โอเค๊

อ้าว กบเฒ่า รูปภาพจิงป่ะ โอเค๊ ฝากไปบอก จขกท ด้วย โอเค๊

ฮาฮ๊าฮา โอเค๊ :b32: :b32:

:b12:
แสดงว่าคุณปลงซะ ยังไม่เคยไปถึงสภาวะที่รู้โดยไม่มีคิด
สิ่งใดที่รู้ด้วยใจ รู้ที่ใจ ไม่ต้องคิด สิ่งนั้นคือธรรม สัจจธรรม ปรมัตถธรรม
อยากรู้สิ่งที่รู้ได้โดยไม่ต้องคิดไหมครับคุณปลงซะ? ง้ายๆ ธรรมด้า ธรรมดา
:b12:
"มนุษย์หยุดคิดได้ มองข้างนอกเหมือนตอไม้ แต่ข้างในสุกใสสว่างโพลง
สงบและนิ่งยู่กับ "ผู้รู้"ไร้ยึดโยง ราบเรียบและเปล่าโล่ง ดุจดั่งโพรงที่สูญกลวง
คิดได้ ต้องหยุดได้ จึงใช่ชายชาติชั้นสรวง พ้นโลกและพ้นลวง ล่วงทุกข์ได้ ไร้มลทิน"

:b4:

ไฟล์แนป:
IMG0273A_resize.jpg
IMG0273A_resize.jpg [ 34.65 KiB | เปิดดู 9137 ครั้ง ]

เจ้าของ:  MiMee [ 03 เม.ย. 2012, 06:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น
โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว
เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว
สิ่งนั้นคือ ความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบ และไม่มีอะไรเจือปน
มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง


เขาไม่รู้จัก แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต
เขาไม่รู้จัก นามรูป ปริจเฉทญาณ


เจ้าของ:  ขณะจิต [ 03 เม.ย. 2012, 08:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

กล่าวเหมือนฮวงโปแห่งนิกายเซ็นเลย :b16:

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 03 เม.ย. 2012, 22:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ไม่ใช่เหมือน...อย่างเดียว

แต่..เหมือนกันเป๊ะ...ทุกตัวอักษร

คุณธรรมของหลวงปู่...ไม่สงสัย :b8: :b8: :b8:

แต่...เสียงที่อ่านจิตคือพุทธะ...นี้สงสัย

บันทึกจากการเทศน์....หรือ..จากการอ่าน

แล้วใคร...อ่าน

แต่ก็ชั่งมันเถอะ....

งานของเรามันกองจนท่วมหัวแล้ว....ทุกข์ทั้งน้าน s002 s002

เจ้าของ:  MiMee [ 04 เม.ย. 2012, 07:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

เขาไม่รู้ มรรค ผล นิพพาน
เขาไม่รู้ ทุกขัง,อนิจจัง,อนัตตา



เจ้าของ:  MiMee [ 06 พ.ค. 2012, 04:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ ...
ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบาก..ทั้งรู้ได้ช้า ๑
ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก..แต่รู้ได้เร็ว ๑
สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวก..แต่รู้ได้ช้า ๑
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติสะดวก..ทั้งรู้ได้เร็ว ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ...
โดยปรกติเป็นคนมีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นคนมีโทสะกล้าย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นคนมีโมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ของเขาปรากฏว่าอ่อน
เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะได้ช้า เพราะอินทรีย์ ๕ เหล่านี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า..ทุกขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
โดยปรกติเป็นผู้มีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นผู้มีโทสะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า
เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า..ทุกขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
โดยปรกติไม่เป็นคนมีราคะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโทสะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าอ่อน
เขาย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า.. สุขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
โดยปรกติไม่เป็นผู้มีราคะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโทสะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโมหะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า
เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะได้ฉับพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า..สุขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ๑
ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑
สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ๑
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม
มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูลมีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี
พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าไม่เที่ยงอนึ่ง มรณสัญญาของเธอตั้งอยู่ดีแล้วในภายใน
เธอเข้าไปอาศัยธรรมอันเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้ คือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าอ่อน
เธอได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ..ทุกขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม ... ฯลฯ
แต่อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือสัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าแก่กล้า
เธอย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ..ทุกขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ไม่มีวิตกวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป
มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดังนี้
บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
เธออาศัยธรรมอันเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้ คือ สัทธาหิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาอยู่
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าอ่อน
เธอบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้าเพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า .. สุขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ
เธออาศัยธรรมอันเป็นกำลังของพระเสขะ๕ ประการนี้ คือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา
ทั้งอินทรีย์ ๕ ประการนี้คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าแก่กล้า
เธอย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า.. สุขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่
ได้ปราศรัยกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง
ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว

ท่านพระสารีบุตร ได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า……
ดูกรท่านผู้มีอายุโมคคัลลานะ… บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้
จิตของท่านหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัยปฏิปทาข้อไหน?

ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า …..ดูกรท่านผู้มีอายุสารีบุตร ปฏิปทา ๔ประการนี้ ฯลฯ
บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้
จิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัย ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯ

ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว

ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ….
ดูกรท่านผู้มีอายุสารีบุตร …บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้
จิตของท่านหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัยปฏิปทาข้อไหน?

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุโมคคัลลานะ ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ฯลฯ
บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้
จิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัย..สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯ



เจ้าของ:  จางบาง [ 06 พ.ค. 2012, 22:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

คุณกบ ไม่สงสัยคุณธรรมหลวงปู่

แล้วเพราะอะไรถึงไม่สงสัยครับ

คุณธรรมหลวงปู่ที่คุณไม่สงสัยนั้น คือคุณธรรมอะไรเหรอครับ

:b8: :b8: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/