ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
"คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41623 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | MiMee [ 29 มี.ค. 2012, 06:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ![]() "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้" เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา เสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกับไม้หรือก้อนหิน คือภายในนั้นปราศจาก การเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง กล่าวคือ ปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีดขวางใดๆ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรม หรือฝ่ายรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปได้เลย |
เจ้าของ: | โกเมศวร์ [ 30 มี.ค. 2012, 00:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
เพื่อนเอ๋ย ท่านทราบธรรมใดก็กล่าวมาเถิด |
เจ้าของ: | ขณะจิต [ 30 มี.ค. 2012, 22:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
" เพราะรู้ จึงรู้ว่า หยุด เพราะหยุด จึงหยุดว่า รู้ " ไม่ถือมั่น ก็รู้ได้ ใช่เล่นลิ้น ปลิ้นไปมา ![]() |
เจ้าของ: | ปลงซะ [ 30 มี.ค. 2012, 22:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
เมื่อคิดนั่นแหละจึงรู้ หากหยุดคิดอยู่เฉยๆก็ไม่รู้ เมื่อไม่คิดจะมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่ได้อย่างไร คิดไปศึกษาไป จึงจะรู้ ธรรมชาติมนุษย์นั้นคิดอยู่ตลอดเวลาในขณะมีสติครบ จะหยุดคิดเมื่อไม่มีสติ เช่น เมื่อนอนหลับ จึงหยุดคิด ฮ๊าฮาเจ้ามะฮะ ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ขณะจิต [ 30 มี.ค. 2012, 23:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
ความรู้(สึกตัว=สติ) นี้มีพลัง พรากความคิด จิตไม่โดนลากไปมา พาทุกข์ เมื่อคิดก็รู้ เมื่อรู้ว่า(ก็แค่)คิด ไม่ติด ไม่ทุกข์ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 30 มี.ค. 2012, 23:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
ฟุ้งซ่าน...นานแค่ไหน...ก็ไม่มีทางคิดได้ หยุดฟุ้งซ่าน..ได้เท่านั้น...ความคิดถึงจะแหลมคม |
เจ้าของ: | ปลงซะ [ 30 มี.ค. 2012, 23:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
กบนอกกะลา เขียน: ฟุ้งซ่าน...นานแค่ไหน...ก็ไม่มีทางคิดได้ หยุดฟุ้งซ่าน..ได้เท่านั้น...ความคิดถึงจะแหลมคม นี่จึงจะถูก ฟุ้งซ่านไม่ฟ้งซ่าน มันก็คือคิด หากหยุดคิดมนุษย์ก็ไม่ต่างจากตอไม้ ไร้ชีวิตจิตใจ มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความคิด มีชีวิตจิตใจ ยังไง๊ ยังไง มันก็หยุดคิดไม่ได้ โอเค๊ อ้าว กบเฒ่า ![]() ฮาฮ๊าฮา โอเค๊ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 31 มี.ค. 2012, 00:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
ฟุ้งซ่าน.... |
เจ้าของ: | asoka [ 01 เม.ย. 2012, 11:44 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล | ||
ปลงซะ เขียน: กบนอกกะลา เขียน: ฟุ้งซ่าน...นานแค่ไหน...ก็ไม่มีทางคิดได้ หยุดฟุ้งซ่าน..ได้เท่านั้น...ความคิดถึงจะแหลมคม นี่จึงจะถูก ฟุ้งซ่านไม่ฟ้งซ่าน มันก็คือคิด หากหยุดคิดมนุษย์ก็ไม่ต่างจากตอไม้ ไร้ชีวิตจิตใจ มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความคิด มีชีวิตจิตใจ ยังไง๊ ยังไง มันก็หยุดคิดไม่ได้ โอเค๊ อ้าว กบเฒ่า ![]() ฮาฮ๊าฮา โอเค๊ ![]() ![]() ![]() แสดงว่าคุณปลงซะ ยังไม่เคยไปถึงสภาวะที่รู้โดยไม่มีคิด สิ่งใดที่รู้ด้วยใจ รู้ที่ใจ ไม่ต้องคิด สิ่งนั้นคือธรรม สัจจธรรม ปรมัตถธรรม อยากรู้สิ่งที่รู้ได้โดยไม่ต้องคิดไหมครับคุณปลงซะ? ง้ายๆ ธรรมด้า ธรรมดา ![]() "มนุษย์หยุดคิดได้ มองข้างนอกเหมือนตอไม้ แต่ข้างในสุกใสสว่างโพลง สงบและนิ่งยู่กับ "ผู้รู้"ไร้ยึดโยง ราบเรียบและเปล่าโล่ง ดุจดั่งโพรงที่สูญกลวง คิดได้ ต้องหยุดได้ จึงใช่ชายชาติชั้นสรวง พ้นโลกและพ้นลวง ล่วงทุกข์ได้ ไร้มลทิน" ![]()
|
เจ้าของ: | MiMee [ 03 เม.ย. 2012, 06:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือ ความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบ และไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง เขาไม่รู้จัก แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เขาไม่รู้จัก นามรูป ปริจเฉทญาณ |
เจ้าของ: | ขณะจิต [ 03 เม.ย. 2012, 08:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
กล่าวเหมือนฮวงโปแห่งนิกายเซ็นเลย ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 03 เม.ย. 2012, 22:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
ไม่ใช่เหมือน...อย่างเดียว แต่..เหมือนกันเป๊ะ...ทุกตัวอักษร คุณธรรมของหลวงปู่...ไม่สงสัย ![]() ![]() ![]() แต่...เสียงที่อ่านจิตคือพุทธะ...นี้สงสัย บันทึกจากการเทศน์....หรือ..จากการอ่าน แล้วใคร...อ่าน แต่ก็ชั่งมันเถอะ.... งานของเรามันกองจนท่วมหัวแล้ว....ทุกข์ทั้งน้าน ![]() ![]() |
เจ้าของ: | MiMee [ 04 เม.ย. 2012, 07:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
เขาไม่รู้ มรรค ผล นิพพาน เขาไม่รู้ ทุกขัง,อนิจจัง,อนัตตา |
เจ้าของ: | MiMee [ 06 พ.ค. 2012, 04:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ ... ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบาก..ทั้งรู้ได้ช้า ๑ ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก..แต่รู้ได้เร็ว ๑ สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวก..แต่รู้ได้ช้า ๑ สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติสะดวก..ทั้งรู้ได้เร็ว ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ... โดยปรกติเป็นคนมีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นคนมีโทสะกล้าย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นคนมีโมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ของเขาปรากฏว่าอ่อน เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะได้ช้า เพราะอินทรีย์ ๕ เหล่านี้อ่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า..ทุกขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปรกติเป็นผู้มีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นผู้มีโทสะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า..ทุกขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปรกติไม่เป็นคนมีราคะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโทสะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าอ่อน เขาย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า.. สุขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปรกติไม่เป็นผู้มีราคะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโทสะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโมหะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะได้ฉับพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า..สุขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ๔ ประการเป็นไฉน คือ ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ๑ ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑ สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ๑ สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูลมีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าไม่เที่ยงอนึ่ง มรณสัญญาของเธอตั้งอยู่ดีแล้วในภายใน เธอเข้าไปอาศัยธรรมอันเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้ คือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าอ่อน เธอได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ..ทุกขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม ... ฯลฯ แต่อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือสัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าแก่กล้า เธอย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ..ทุกขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดังนี้ บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธออาศัยธรรมอันเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้ คือ สัทธาหิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาอยู่ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าอ่อน เธอบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้าเพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า .. สุขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ เธออาศัยธรรมอันเป็นกำลังของพระเสขะ๕ ประการนี้ คือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ทั้งอินทรีย์ ๕ ประการนี้คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าแก่กล้า เธอย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า.. สุขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระสารีบุตร ได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า…… ดูกรท่านผู้มีอายุโมคคัลลานะ… บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้ จิตของท่านหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัยปฏิปทาข้อไหน? ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า …..ดูกรท่านผู้มีอายุสารีบุตร ปฏิปทา ๔ประการนี้ ฯลฯ บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้ จิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัย ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯ ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า …. ดูกรท่านผู้มีอายุสารีบุตร …บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้ จิตของท่านหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัยปฏิปทาข้อไหน? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุโมคคัลลานะ ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ฯลฯ บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้ จิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัย..สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯ |
เจ้าของ: | จางบาง [ 06 พ.ค. 2012, 22:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: "คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้" : หลวงปู่ดูลย์ อตุโล |
คุณกบ ไม่สงสัยคุณธรรมหลวงปู่ แล้วเพราะอะไรถึงไม่สงสัยครับ คุณธรรมหลวงปู่ที่คุณไม่สงสัยนั้น คือคุณธรรมอะไรเหรอครับ ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |