วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 00:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 131 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
:b8: :b8: สวัสดีค่ะ นักธรรม และผู้รู้ทุกท่าน :b8: :b8:

วันนี้ดิฉันมาขอความช่วยเหลือค่ะ

เนื่องจากการตั้งหัวข้อ เกิดจากการที่ดิฉันรู้ผิดทำให้เดินทางธรรมผิด

เกิดผลให้การทำมหาสติของดิฉันชะงักงัน..เมื่อดิฉันเดินมหาสติได้สักพักนึง

ในการดู กาย เวทนา จิต ธรรม รวบย่อมาได้ที่ กายกับจิต

เมื่อดิฉันดูกายในกาย ได้สักพัก จิตเริ่มเห็นกายตามความเป็นจริง เห็นโทษของกาย

เห็น ความเกิดดับไปตามเป็นจริงของกาย เมื่อจิตเห็นแจ้งตามนั้นแล้ว จิตกลับบเพิกกายไป

ทำให้การทำมหาสติของดิฉันไม่สามารถเดินต่อไปได้ เนื่องจากว่า ไม่ว่าจะเริ่มดูกายเมื่อใด

ไม่นานจิตจะเพิกรูปของกายไปทุกที กลับกลายเป็นว่า ไปอยู่ใน ความว่างเปล่า นิมิตที่เห็นในสมาธิคือ

อวกาศทุกครั้งและเมื่อเริ่มพิจารณากายก็จะไปจบที่อวกาศทุกครั้งไป..ลึกๆดิฉันรู้ว่าดิฉันเดินมหาสติผิด

เพราะถ้าตรงทางจะสามารถพิจารณากายได้เรื่อยๆไป ส่วนจิตนั้น ไม่มีปัญหาในการพิจารณา ดูจิตในจิต

เมื่อดิฉันได้เข้ามาในเวปลานธรรมนี้ ทำให้ดิฉันมีความรู้เพิ่มเติมมากมาก และเห็นได้ชัดว่า

ดิฉันเดินมหาสติผิดจริง หลายวันนี้ดิฉันได้ทบทวนในการเดินทางธรรมของดิฉันเองและ รู้ว่า เหตุเพราะดิฉันคิด

ผิดจึงทำให้การเดินทางธรรมผิดไป

วันนี้ดิฉันเลยมาขอความช่วยเหลือค่ะ..เพราะดิฉันไม่มั่นใจในตัวเองว่าคิดถูกไหม

ดิฉันอยากถามว่า การละขันธ์5 ในทางมหาสตินั้น คือละขันธ์5 แบบไหน

ละแบบเพิกขันธ์5 หรือ ละขันธ์5 คือ การวางเฉยต่อขันธ์5 ค่ะ

ละขันธ์5 แบบไหน ถูกต้องในมหาสติค่ะ.

:b8: :b8: ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b8: :b8:


การพิจารณา ตามหลักสติปัฎฐาน ๔ นั้น ตามพระไตรปิฎกที่เขียนไว้หรือปรากฎอยู่นั้น เป็นการสอนขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ที่ปัญญาทึบที่สุด หมายความว่า ความที่ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎกเกี่ยวกับ สติปัฎฐาน ๔ นั้น มีไว้สำหรับบุคคลที่มีสมองสติปัญญาต่ำสุด เป็นต้นไป หากจะคิดพิจารณาให้แตกฉานกว่านั้น ก็อย่าได้ทำตาม เหตุเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์สามารถพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ได้โดย อัตโนมัติ อยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะอธิบายเพียงเท่านี้เกี่ยวกับการพิจารณาสติปัฎฐาน ขอให้คิดพิจารณาเอาเองนะขอรับ
ส่วนการละขันธ์ ๕ ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนละ ขันธ์ ๕ นะขอรับ เพราะในทางมหาสติหรือสติปัฎฐานสี่นั้น ไม่ใช่การพิจารณาเพื่อละขันธ์ ๕ แต่เป็นการพิจารณาเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ใน กาย,เวทนา,จิต,ธรรม ขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

อุปาทานขันธสูตร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
รูปูปาทานักขันธ์ ๑
เวทนูปาทานักขันธ์ ๑
สัญญูปาทานักขันธ์ ๑
สังขารูปาทานักขันธ์ ๑
วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลายอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละอุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้แลฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 20:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

อุปาทานขันธสูตร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
รูปูปาทานักขันธ์ ๑
เวทนูปาทานักขันธ์ ๑
สัญญูปาทานักขันธ์ ๑
สังขารูปาทานักขันธ์ ๑
วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลายอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละอุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้แลฯ



:b8: :b8: น้อมรับความรู้ค่ะ ดิฉันจะนำไปศึกษาเพื่อปิดจุดบอดของตัวเอง กราบขอบพระคุณน่ะค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.พ. 2012, 07:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b4:
ผู้รู้ มี 3 คนนะครับ
คนแรกคือ วิญญาณ ผู้รับรู้ผัสสะของทวารทั้ง 6

คนที่ 2 คือสติ ผู้ร้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืม

คนที่ 3 คือ ปัญญา ผู้รู้จักอารมณ์ตามความเป็นจริง
การจะรู้จักอารมณ์ตามความเป็นจริงนั้นต้องอาศัยปัญญาตัวที่ 2 ในปัญญามรรคคือ สัมมาสังกัปปะเป็นผู้ค้นหาคำตอบให้
ถ้ามีบันทึกไว้ในสัญญาแล้ว สติจะเป็นผู้ไปค้นหาคำตอบมาให้
onion

พูดได้พูดดี พูดไปเรื่อย คนพูดก็ไม่รู้คนฟังก็ไม่รู้ เลยเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ไอ้ขลุ่ยมันเป่าเพี้ยน ไอ้ปี่ก็เป่าเพี้ยน

คุณโสกะคุณนี่เลอะเทอะใหญ่แล้วครับ รู้อะไรกันมากมายครับ
ตัวโน้นนรู้ตัวนี้รู้ วิญญาณรู้ สติก็รู้ แถมปัญญาก็ดันมารู้อีก
แบบนี้ไม่ตีกันตายไปข้างหรือครับ :b13:


:b12: :b12: ท่านทั่งสองคุยกันดูสนุกดีน่ะค่ะ :b16: :b16:

คนรู้คนแรกดิฉันไม่รู้จักค่ะ ไม่เคยเห็นและไม่รู้จัก เลยไม่เคยสนใจค่ะ :b1:


ส่วนคนที่ 2 กับคนที่ 3 รู้จักค่ะ แต่ส่วนใหญ่คนที่ 2 กับคนที่ 3 ส่วนใหญ่จะรวมเป็นคนเดียวกันค่ะ

เหมือนเหรียญ 2 ด้านที่เป็นหนึ่งเดียวนะค่ะ แต่ถ้าเมื่อใด เหรียญมีด้านเดียวทีไร ดิฉันมีปัญหาทุกทีเลย

ค่ะ ส่วนใหญ่ คนที่ 2 มันหายค่ะ แต่คนที่ 3 อยู่ตลอดเลย..แปลกๆไปไหมค่ะดิฉันเนี๊ยะค่ะ s002 s005

s005 (มันตามกันไม่ทันกันสักทีค่:-)ะ ต้อง:-) :-)พอมีปัญหาที่ไร ถึงจะรู้นะค่ะว่า อะไรมันหายไป)

:b12: :b12::-),
คุณโฮฮับก็เป็นคนดีคนหนึ่งที่ไปช่วยทำให้กระทู้ต่างๆมีสีสรรค์และรสชาดดีขึ้น อนุโมทนา
สำหรับคุณชาวโลกกรณีที่เหลือแต่คนที่ 3 บ่อยๆก็เพราะเป็นคนปัญญาดี ความวิตกวิจารณ์วิจัยธรรมจะมีมาก ความคิดนึกจะมีมากจนบ่อยครั้งกลายเป็นความฟุ้งซ่าน
สิ่งที่พึงทำก็คือต้องเติมเต็มทางด้า น สติสมาธิให้มากขึ้นจนได้สัดส่วนสมดุลย์กับปัญญา สติสมาธิ กับปัญญานั้นต้องทำงานร่วมกันและได้สมดุลย์กันท่านเปรียบอุปมาเหมือนวัวเทียมเกวียน สติสมาธิเหมือนวัวตัวซ้าย ปัญญาเหมือนวัวตัวขวา จิตเป็นผู้ขับเกวียน ทางเกวียนคือมรรค 8 นิพพานคือจุดหมายปลายทาง คุณชาวโลกลองไปวิตกวิจารณ์จินตนาการหาความละเอียดลึกซึ้งที่ซ่อนไว้ในอุปมานี้ดูเพิ่มเติมเอาเองอีกนะครับ
:b16: :b16: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.พ. 2012, 23:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
asoka เขียน:
คุณโฮฮับก็เป็นคนดีคนหนึ่งที่ไปช่วยทำให้กระทู้ต่างๆมีสีสรรค์และรสชาดดีขึ้น อนุโมทนา
สำหรับคุณชาวโลกกรณีที่เหลือแต่คนที่ 3 บ่อยๆก็เพราะเป็นคนปัญญาดี ความวิตกวิจารณ์วิจัยธรรมจะมีมาก ความคิดนึกจะมีมากจนบ่อยครั้งกลายเป็นความฟุ้งซ่าน
สิ่งที่พึงทำก็คือต้องเติมเต็มทางด้า น สติสมาธิให้มากขึ้นจนได้สัดส่วนสมดุลย์กับปัญญา สติสมาธิ กับปัญญานั้นต้องทำงานร่วมกันและได้สมดุลย์กันท่านเปรียบอุปมาเหมือนวัวเทียมเกวียน สติสมาธิเหมือนวัวตัวซ้าย ปัญญาเหมือนวัวตัวขวา จิตเป็นผู้ขับเกวียน ทางเกวียนคือมรรค 8 นิพพานคือจุดหมายปลายทาง คุณชาวโลกลองไปวิตกวิจารณ์จินตนาการหาความละเอียดลึกซึ้งที่ซ่อนไว้ในอุปมานี้ดูเพิ่มเติมเอาเองอีกนะครับ
:b16: :b16: :b12:



:b8: :b8: ค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 01:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
:b8: :b8: กราบขอบพระคุณค่ะ ดิฉันเข้าใจในสติปัฎฐาน 4 แล้วคือ
ถ้าจะทำสติปัฎฐาน 4 ให้สมบูรณ์ เราจะรู้สึกถึงคำว่า
ไม่ยินดี ยินร้าย ในทุกขณะจิต ไม่ว่าจะเกิดด้าน กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน
จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฎฐาน เราจะรู้สึกไม่ยินดียินร้ายเสมอ

คุณชาวโลกครับ อยากแนะนำครับ บางครั้งถ้าได้รับฟังคำชี้แนะจากใคร
ถ้าเรารู้สึกว่า เราไม่เข้าใจ ก็ต้องบอกว่าไม่เข้าใจ ไม่ต้องไปเกรงใจครับ
ถ้าขืนเกรงใจชาวบ้านแบบนี้ รับรองได้คุณได้เดินธรรมผิดอย่างที่คุณพูดแน่ๆ

คนที่แนะนำเรื่องนี้กับคุณก็ไม่มีความเข้า หยิบเอาเรื่องที่มันเกินจากสถานะ
มาแนะนำ พอถามว่าเข้าใจมั้ย คุณก็พยักหน้าส่งเดช เข้าใจคะ เข้าใจค่า

อย่าว่าจับผิดเลยครับ ดูตัวอย่างง่ายๆที่ชี้ให้เห็นว่า ทั้งคนพูดและคนฟัง
ไม่ได้มีความเข้าใจเหมือนคำพูด
ไอ้คำว่า"ไม่ยินดี ยินร้ายในทุกขณะจิต"ของคุณมันหมายถึงอะไรครับ
คุณกับคุณโสกะ อาจไม่รู้ว่า ในเวทนายังมีความรู้สึกที่เรียกว่าเฉยๆอยู่นะครับ
ความเป็นกลางกับสิ่งที่เรียกว่าอุเบกขาเวทนามันไม่เหมือนกันนะครับจะบอกให้


นี่แสดงให้เห็นว่าผู้พูดแค่ ไปหยิบเอาบัญญัติของครูบาอาจารย์มาใช้ โดยขาดความเข้าใจ
ในความเป็นจริง "ความไม่ยินดี ยินร้าย" ที่ถูกธรรมจริงแล้ว มันต้องมีเหตุปัจจัยมาก่อน
ไม่ใช่อยู่ดีๆก็ไม่ยินดียินร้าย อาการไม่ยินดี ยินร้ายทุกขณะจิตโดยไม่มีเหตุปัจจัย แบบนี้
เรียกว่า อารมณ์เฉยๆหรือโมหะ

ส่วนความไม่ยินดี ยินร้ายที่ถูกมันไม่ใช่เกิดทุกขณะจิต มันต้องมีเหตุปัจจัยที่เป็นกุศล
นั้นก็คือการพิจารณาธรรมหรือการทำวิปัสนากรรมฐานก่อน มันเป็นไปตามหลักรู้แล้วละ
ซึ่งรวมเรียกว่า ความเป็นกลาง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 02:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
ถ้าจะทำสติปัฎฐาน 4 ให้สมบูรณ์ เราจะรู้สึกถึงคำว่า
ไม่ยินดี ยินร้าย ในทุกขณะจิต ไม่ว่าจะเกิดด้าน กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน
จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฎฐาน เราจะรู้สึกไม่ยินดียินร้ายเสมอ

การทำสติปัสฐานสี่ให้สมบูรณ์ได้นั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องเป็นผู้ที่รู้สภาวะไตรลักษณ์มาแล้ว
สภาวะไตรลักษณ์เป็นเหตุปัจจัยในการทำวิปัสนาในเรื่อง กายานุปัสนา สิ่งนี้เป็นการละสังโยชน์
ในเรื่องสักกายทิฐิ เมื่อละสักกายทิฐิแล้ว สังโยชน์อีกสองตัวคือ วิจิกิจฉาและศีลพรตปรามาส
ก็จะละตามไปด้วย สัมมาทิฐิก็จะบริบูรณ์

จากนั้นจึงใช้สัมมาทิฐิเป็นตัวนำในการทำธรรมมานุปัสนาฯ
การทำธรรมมานุปัสนาก็คือการ ไล่พิจารณา สติปัสฐาน ในฐานกาย
ฐานเวทนาและฐานจิตและมาจบที่ฐานธรรม กระบวนการนี้แหล่ะ
ที่เรียกว่า รู้เพื่อละสู่ความเป็นกลางในแต่ละองค์มรรค

คุณชาวโลกครับ คนที่หูหนวกเขาก็ไม่ยินดี ยินร้ายต่อเสียงที่ดังหนวกหูนะครับ
คนตาบอดก็ไม่ยินดี ยินร้ายต่อรูปที่พวกเราเห็นนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 02:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
และการที่จะทำให้สติปัฎฐาน 4 ให้ได้อย่างสมบูรณ์และเป็นธรรมชาติ
คือ การ ไม่ยินดียินร้าย ใน ด้าน กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งจะเกิดความรู้สึกแบบนี้ทุกขณะจิต เป็นปกติ
นั้นก็คือทุกขณะในชีวิตประจำวัน โดยเราไม่ต้องตั้งท่าอะไรมากมาย ทำก็ดูเหมือนไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำก็ทำทุกขณะ
จิต ทุกอย่างเป็นไปตามอัตโนมัติ สอดคล้องไปกับตัวเราโดยเราไม่ได้ฝืนและทำตัวปกติเป็นไปตาม
ธรรมชาติของตัวเองที่เคยเป็นอยู่

คุณจะพูดว่า "ไม่ยินดี ยืนร้ายในกาย เวทนา จิต และธรรม"ได้ยังไง
พูดแบบนี้มันไม่ถูกครับ เป็นการเข้าใจบัญญัติผิดเลยเอามาใช้ผิด

พระพุทธองค์สอนให้หมั่นมีสติบนฐานกาย เวทนา จิตและธรรม
แล้วมาพูดว่าไม่ให้ยินดียินร้ายได้ไงครับ
นี่แหล่ะครับตัวอย่าง "รู้ผิด ทำให้เดินธรรมผิด"

คำพูดของคุณที่ผมอ้างอิงมา มันเป็นคำพูดของคนสับสนในธรรมครับ
ทั้งบุคคลทั้งสถานะและวิธีปฏิบัติดูมันยุ่งตีกันวุ่นวายไปหมดครับ

ในคำพูดของคุณมันมีอยู่ท่อนหนึ่งที่พอจะเอามาแนะนำได้ครับ
นั้นก็คือ "ในชีวิตประจำวันกับไม่ต้องตั้งท่าอะไรมาก"
นี่แหล่ะครับเป็นหลักการเริ่มต้นของปุถุชนที่เริ่มภาวนา
เพียงแต่หมั่นมีสติในชีวิตประจำวันและมีสมาธิต่อการงานที่ทำ
เมื่อทำบ่อยๆ ทั้งสติและสมาธิจะมีกำลังที่ตั้งมั่น มันจะทำให้
บุคคลนั้นได้เห็นสภาวะไตรลักษณ์ได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 06:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ในสติปัฏฐานสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นเรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อนอย่างที่คนทั่วไปคิด
ประเด็นของสติปัฏฐาน 4 นั้นคือการรู้กายรู้ใจ สังเกตกายใจให้ทันปัจจุบันอารมณ์งึ่งจะมีฐานเกิดมาจาก 4 ที่คือ กาย เวทนา จิตและธรรม ที่สุดของอารมณ์เหล่านั้นคือ ยินดี ยินร้ายหรือเฉยๆ สิ่งที่เป็นประเด็นก็คือความยินดียินร้ายหรือความพอใจไม่พอใจ ชอบใจไม่ชอบใจหากเอาออกไม่ได้ตัณหาอันเป็นสมุทัยหรือเหตุทุกข์ก็จะเกิดขึ้น
ดังนั้นในสรุปของสติปัฏฐานทั้ง 4 ที่เราจะต้องค้นหาคำตอบและทำให้ได้ก็คือ. ?...วิเนยยะ โลเกอภิชฌาโทมนัสสัง......คือเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก โลกในที่นี้ก็คือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตอบโต้กับผัสสะทั้ง 6 นั่นเอง

เอายินดียินร้ายออกจะทำอย่างไรนี่เป็นงานที่ผู้เจริญสติปัฏฐานจะต้องค้นพบด้วยตนเองไม่มีบอกในตำราตรงๆ
การที่ยินดียินร้ายจะดับไปจากจิตนั้น ปัญญาจะต้องเห็นความจริงว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาณปัจจุบันขณะนั้นมันเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง ทนตั้งอยู่ไม่ได้ อนัตตาไร้สาระแก่นสารหรือตัวตนให้ยึดถือได้ ปัญญาเห็นความจริงใจจะเบื่อหน่าย คลายจาง ละวาง สลัดคืนโดยธรรมชาติด้วยตัวของเขาเองไม่มีใครไปปล่อยวางอะไร ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุ ปัจจัยและธรรม

อธิบายมาเพียงเท่านี้ก่อนหวังว่าคงพอทำความเข้าใจได้ง่ายๆนะครับแต่จะให้เข้าใจซาบซึ้งจริงๆต้องลงมือปฏิบัติ คือพิสูจน์ธรรมเดี๋ยวนี้เลย โดยเข้าไปสัมผัสสภาวธรรมจริงๆที่กำลังปรากฎอยู่ในรูป นาม กาย ใจ ณ ปัจจุบันขณะ เดี๋ยวนี้

สุดท้าย ใดเป็นคำสอนที่ใช่ธรรม มิใช่ธรรมท่านผู้อ่านคงจะมีวิจรณญาณวินิจฉัยและตัดสินใจเอาเองกันนะครับ
สาธุ ข อให้ธรรมมะคำสอนอันถูกต้องของพระบรมศาสดาจงแผ่ประภัสสรเข้าไปในใจของสัตว์โลกผู้ที่ยังมืดบอดอยู่ด้วยโมหะ
อัตทิฐิและมานะทิฐิ ถือตัวถือดี ถือรู้ ทั้งหลายให้ได้เห็นความจริงแห่งธรรมจนเกิดสัมมาทิฏฐิพาตนพ้นวัฏฏะโดยเร็วเทอญ
:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้ดิฉันได้พูดบ้างเถอะค่ะจะหาว่าไม่เจียมบอดี้หรือสะเออะก็ไม่เป็นไรดิฉันไม่โกรธหรอกค่ะ ดิฉันขอบอกว่าเป็นแฟนคลับของคุนโฮฮับคนนึงและชอบอุดมการณ์แนวทางความคิด แต่คุนโฮฮับชอบหยิบประเด็นเรื่องขี้หมูขี้หมามาพูดจนจากเรื่องเล็กๆกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนฟังบางคนเข้าก็เสียความรู้สึกแม้ว่าประเด็นที่คุนพูดมามันจะจริงแต่การพูดของคุนมันเป็นการ ตอกกลับไปให้ผู้อื่นหน้าแตก ดิฉันชอบนะค่ะถ้าแนวทางของคุนโฮฮับไปอ้างอิงกับพวกที่เป็นอวิชชาแต่จากที่ดิฉันได้ติดตามและอ่านกระทู้ของคุนโฮฮับ คุนโฮฮับจะไม่ตั้งกระทู้แนวทางความคิดของตัวเอง ทั้งที่คุนรู้เรื่องพระอภิธรรม บัญญัติดีกว่าผู้อื่น แต่คุนไล่กวาดไล่ต้อนผู้อื่นที่จน จนมุม แม้กระทั้งคุนชาวโลกที่เค้าก็บอกแต่แรกแล้วว่า ไม่เก่งเรื่องแปลหรือตีความหมายเค้าไม่สามารถจะพูดรึจะสื่อออกมาให้ตรงกับ บัญญัติอาไรที่ถูกต้องตามหลัก แต่ในทางปฏิบัติคุนชาวโลกสามารถปฏิบัติได้ถึงขั้นนั้น ก็ควรจะยกย่องด้วยไม่ใช่หรือค่ะ ดิฉันก็เป็นคนจับประเด็นเก่งเช่นกันนะค่ะ เหมือนคุนสอบคะแนนได้ 100เต็มอยู่คนเดียว แต่คนอื่นได้80-90คุณก็จะไปตักเตือนว่า มันไม่ได้นะมันต้องแบบนี้นะ ซึงมันผิดธรรมชาตินะค่ะ คุนก็เป็นคนเก่งคนนึงนะค่ะดิฉันยอมรับ ดิฉันมีเหตุผลอีกมากมาย แต่เอาแค่นี้ก็พอ คนเราต้องมีเมตตา กรุณาต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะ กาย วาจา ใจดิฉันจะติดตามผลงานของคุนโฮฮับต่อไปค่ะ...จบสั้นๆได้ใจความ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 12:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ขอให้ดิฉันได้พูดบ้างเถอะค่ะจะหาว่าไม่เจียมบอดี้หรือสะเออะก็ไม่เป็นไรดิฉันไม่โกรธหรอกค่ะ ดิฉันขอบอกว่าเป็นแฟนคลับของคุนโฮฮับคนนึงและชอบอุดมการณ์แนวทางความคิด แต่คุนโฮฮับชอบหยิบประเด็นเรื่องขี้หมูขี้หมามาพูดจนจากเรื่องเล็กๆกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนฟังบางคนเข้าก็เสียความรู้สึกแม้ว่าประเด็นที่คุนพูดมามันจะจริงแต่การพูดของคุนมันเป็นการ ตอกกลับไปให้ผู้อื่นหน้าแตก ดิฉันชอบนะค่ะถ้าแนวทางของคุนโฮฮับไปอ้างอิงกับพวกที่เป็นอวิชชาแต่จากที่ดิฉันได้ติดตามและอ่านกระทู้ของคุนโฮฮับ คุนโฮฮับจะไม่ตั้งกระทู้แนวทางความคิดของตัวเอง ทั้งที่คุนรู้เรื่องพระอภิธรรม บัญญัติดีกว่าผู้อื่น แต่คุนไล่กวาดไล่ต้อนผู้อื่นที่จน จนมุม แม้กระทั้งคุนชาวโลกที่เค้าก็บอกแต่แรกแล้วว่า ไม่เก่งเรื่องแปลหรือตีความหมายเค้าไม่สามารถจะพูดรึจะสื่อออกมาให้ตรงกับ บัญญัติอาไรที่ถูกต้องตามหลัก แต่ในทางปฏิบัติคุนชาวโลกสามารถปฏิบัติได้ถึงขั้นนั้น ก็ควรจะยกย่องด้วยไม่ใช่หรือค่ะ ดิฉันก็เป็นคนจับประเด็นเก่งเช่นกันนะค่ะ เหมือนคุนสอบคะแนนได้ 100เต็มอยู่คนเดียว แต่คนอื่นได้80-90คุณก็จะไปตักเตือนว่า มันไม่ได้นะมันต้องแบบนี้นะ ซึงมันผิดธรรมชาตินะค่ะ คุนก็เป็นคนเก่งคนนึงนะค่ะดิฉันยอมรับ ดิฉันมีเหตุผลอีกมากมาย แต่เอาแค่นี้ก็พอ คนเราต้องมีเมตตา กรุณาต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะ กาย วาจา ใจดิฉันจะติดตามผลงานของคุนโฮฮับต่อไปค่ะ...จบสั้นๆได้ใจความ


:b8: :b8: กราบขอบพระคุณนะค่ะที่เข้าใจดิฉัน :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
ในสติปัฏฐานสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นเรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อนอย่างที่คนทั่วไปคิด

คุณโสกะว่าอย่างนั้น ถ้างั้นรบกวนถามหน่อยครับ
รู้จักองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้มั้ยครับ องค์ธรรมที่เรียกว่า
โพชฌงค์7 นั้นแหล่ะครับ ถ้ารู้เรื่องดี
ไหนช่วยอธิบาย การปฏิบัติให้ฟังหน่อยครับ


ลอกตำราหรือวิกิพีเดียมาไม่เอานะครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 12:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณโฮฮับค่ะ
:b13: :b13: ..ขอพูดตามตรงน่ะค่ะ ดิฉันอ่านสิ่งที่คุณโฮฮับแค่โพสเดียว โพสอื่นไม่ได้อ่านเลย..ดิฉันขอบคุณคุณโฮฮับมากน่ะด่ะที่เตือนด้วยความหวังดี

ซึ่งสิ่งที่คุณโฮฮับบอกนั้นมันเรื่องจริง ดิฉัน คุ่ะ ค่ะ ไปหมดไม่เคยแย้งผู้ใดในกระทู้นี้ เพราะเหตุผลที่ว่า เรามาขอความรู้จากเขา เราจะสะเออะไปตอบ ไปเถียงเขาทำไม อันไหนเรารู้แล้ว เราก็ค่ะ เพื่อรับน้ำใจจากเขา อันไหนเขาตอบผิด เราก็ค่ะ เพื่อไม่หักหาญน้ำใจที่เขามาตอบให้เรา คนไหนเราไม่รุ้ เราก็ค่ะ ก็ชั้นแปลไม่ออกและมันไม่ตรงกับจุดบอดของตัวเอง ดิฉันก็ค่ะไว้เพื่อขอบพระคุณเขาที่มาชี้ทางให้ถึงจะไม่ตรงและบางทีไม่เข้าใจก็เถอะ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือเพื่อถนอมน้ำใจนักปฎิบัติด้วยกันเองและให้เกียรติ ไม่หักหน้านักปฎิบัติด้วยกันเอง..ดิฉันเดินในทางธรรมมานานถึงดิฉันจะไม่เก่งมากมายอะไร แต่ดิฉันมีความมั่นคงพอที่จะรู้ว่าตัวเองควรเดินทางไหน และทางไหนเหมาะสำหรับตัวเอง..เพราะทางนี้คือทางของดิฉันเอง ดิฉันจึงรู้ เพราะสิ่งเหล่านี้รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น..

ส่วน อีก2-3 โพสดิฉันไม่ได้อ่านหรอกค่ะ เหตุเพราะดิฉันไม่สบาย สมองไม่ค่อยแล่นน่ะค่ะ ถ้าป่วยที่ไร จะป่วยเป็นเดือนทุกทีเลย นี่ก็อาทิตย์กว่าๆแล้วยังไม่มีทีท่าที่จะหายดี..เหตุที่ดิฉันไม่อ่านเพราะอะไรรู้ไหมค่ะ..เพราะดิฉันรับรู้ได้ด้วยใจ ว่าจิตคุณโฮฮับเมตตาดิฉันอย่างบริสุทธิ์ใจแค่ไหน..แค่อยากบี้ดิฉันให้ตัวตนดิฉันออกมาได้ทั้งหมด ไม่ต้องมาหลบในคราบสำรวม ที่มีแต่คำว่าค่ะ..ดิฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่ดิฉันรับจิตได้

ในโพสแรกที่อ่าน ท่านเชื่อไหมค่ะ ดิัฉันอ่านไปหัวเราะไป อย่างมีความสุข เพราะเหตุใดน่ะหรือค่ะ เพราะคำพูดจากตัวหนังสือของคุณโฮฮับมันต่างจากใจคนโฮฮับ ลิบลับโลกเลย..ฉะนั้นดิฉันไม่จำเป็นต้องอ่านข้อความให้ครบทุกโพส แค่ดิฉันรับได้ด้วยใจก็เพียงพอแล้ว.....ด่าดิฉัน จิกดิฉันอีก ร้อยหน้า...ก็เชิญเถอะค่ะ เพราะใจกับตัวหนังสือมันไม่เหมือนกันเลย :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 12:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อนิดนะค่ะ...แต่จะให้คุยสนุกๆแบบที่คุณโฮฮับคุยกับท่านผู้รู้อื่นๆนั้น ดิฉันไม่พร้อมค่ะ ไม่พร้อมด้วย ปัญญา ไม่พร้อมคำอภิธรรม ไม่พร้อมด้วยทุกๆด้าน ที่สำคัญ สมองไม่แล่นค่ะ ไม่พร้อมที่จะตอบคำถามหรือพร้อมที่จะสนุกด้วย..ไว้โอกาสหน้านะค่ะ ถ้าพร้อมดิฉันขออนุญาติแจมด้วยค่ะ :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 12:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

ขอให้หายไว ๆ นะคะ คุณชาวโลก

:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 131 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 124 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร