ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=40774 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | ฝึกจิต [ 15 ม.ค. 2012, 12:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
เพราะใช้ปัญญาไตร่ตรอง ตามคำสอนใช่มั้ยครับ หรือ? |
เจ้าของ: | ฝึกจิต [ 15 ม.ค. 2012, 12:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
ปัญญาวิมุติและเจโตวิมุติ คำว่าวิมุติหมายถึงการหลุดพ้น คำว่าเจโตวิมุติคือการหลุดพ้นโดยการใช้กำลังสมาธิ ส่วนการใช้ปัญญาวิมุติ คือการหลุดพ้นด้วยปัญญา แล้วคำว่าหลุดพ้นในที่นี้คือหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยปกติแล้วทั้ง ปัญญาวิมติและเจโตวิมุติจะต้องใช้ประกอบกันเสมอจึงทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง หากเราใช้แต่กำลังสมาธิแล้วขยันทำสมาธิอย่างเดียวโดยที่ไม่คำนึงถึงผลที่จะได้รับ ก็ไม่อาจทำให้เราหลุดพ้นจากทุกข์ได้แล้ว หรืออาจจะมีความทุกข์เพิ่มมากขึ้นหากปฏิบัติผิดวิธี ส่วนการใช้ปัญญาวิมุตินั้น ถึงแม้มีปัญญา รู้วิธีปฏิบัติก็ไม่อาจทำให้ตนพ้นทุกข์ได้ เพราะถึงแม้เรามีปัญญาก็ทำได้เพียงแค่ข่มมิให้เราทำสิ่งไม่ดีได้เพียงชั่วขณะ แต่เราไม่อาจจะควบคุมการกระทำของเราได้ตลอด ต้องคอยระมัดระวังตัวมิให้ทำชั่วอยู่ตลอดเวลา ท้ายสุดถ้าเป็นพระก็เรียกว่าตะบะแตก มีความเข้าใจผิดอย่างมหาศาลว่า จะทำให้ตนสามารถบรรลุหรือเข้าถึงนิพพานได้โดยไม่ต้องทำสมาธิ แต่ข้อเท็จจริงนั้นหากเราไม่ลงมือทำสมาธิ ทำให้เราไม่อาจขจัดอนุสัยในจิต และที่สำคัญสันดานที่อยุ่ในสมอง เพราะสันดานในสมองนั้นเป็นตัวร้ายแล้วเปผ็นต้นตอที่ทำให้เรากระทำความไม่ดีออกมาโดยเจตนา หากพิจารณาให้ลึกซึ้งและถี่ถ้วนแล้ว คนที่คิดและแนะนำคนอื่นว่าไม่ต้องใช้สมาธิก็สามารถทำตนให้เป็นคนดีได้นั้น บุคคลเหล่านั้นกำลังใช้สมาธิโดยไม่รู้ตัวตัว เพราะการใช้กำลังสมาธิคือการเพ่งไปยังจุดใดจุดหนึ่ง หากเราเพ่งไปที่การกระทำของตนเอง ก็จะเท่ากับเป็นวิธีการเดียวกับที่ผู้เขียนใช้โดยปริยาย นนหมายความว่าผู้ที่อธิบายเช่นนั้นมิได้มีความเข้าใจถึงความหมายของคำว่าการใช้กำลังสมาธิอย่างถ่องแท้ แล้วพยายามไม่ยอมรับรวมทั้งมิให้ความสำคัญในการทำสมาธิ จึงทำให้ตนใช้สมาธิและกำลังสมาธิโดยไม่รู้ตัว ส่วนการทำวิปัสนากรรมฐานนั้น แท้จริงแล้วทำให้เราหลุดพ้นความทุกข์ด้วยปัญญาหรือปัญญาวิมุติ ซึ่งปัญญาวิมุติจะเป็นการพัฒนามาจากเจโตวิมุติ แล้วทั้งปัญญาวิมุติและเจโตวิมุติ เป็นสิ่งที่เกื้อหนุนกัน กล่าวคือการทำสมาธิแล้วขจัดสันดานที่ไม่ดีในสมองให้ค่อย ๆ หมดไป สมองจะไปบังคับจิตให้ขจัดอนุสัยที่ไม่ดีให้ค่อย ๆ หมดสิ้นไปทีละน้อยด้วย หลังจากนั้นความสงบที่แท้จริงจะค่อย ๆ เข้ามาทดแทนความฟุ้งซ้านที่เคยมี ความฟุ้งซ่านที่เคยมีมากก็จะค่อย ๆ สลายไปจากเรา เมื่อจิตของเราสงบนิ่งมากขึ่น ปัญญาของเราก็จะค่อย ๆ พัฒนาขึ้น แล้วปัญญาที่มีมากขึ้น การเรียนรู้แล้วเข้าใจรวมถึงประจักษ์แจ้งในสัจธรรม ก็จะทำให้เราทำสมาธิได้ดีขึ้น นั่นหมายถึงการที่เราจะหลุดพ้นด้วยเจโตวิมุติก็จะดียิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วย จะเห็นได้ชัดว่า หากเราจะปฏิบัติธรรมให้บรรลุถึงนิพพานได้นั้น เราจะไม่สามารถปฏิเสธการทำสมาธิได้เลย เพราะคนที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิแต่ตนเองกลับเป็นผู้ทำสมาธิแล้วใช้สมาธิโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว บ้างก็ใช้ข่มมิให้ไปกระทำสิ่งไม่ดี ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่ผู้เขียนใช้ แต่ถ้าเป็นวิธีการที่ผู้เขียนใช้หากสิ่งนั้นแสดงออกมาได้ก็ปล่อยให้แสดงออกมาตามธรรมชาติ แล้วให้ใช้กำลังสมาธิระบายสิ่งนั้นให้ออกไปจากจิตและสมอง หากสิ่งนั้นแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมไม่ได้ให้ระบายด้วยวิธีการอืนแล้วใช้กำลังสมาธิขจัดสิ่งที่ไม่ดีควบคู่กับการแสดงสิ่งนั้นออกมา โดยปฏิบัติไปควบคู่กันไป จะเห็นประสิทธิภาพและวัดประสิทธิผลออกมาโดยแจ้งประจักษ์ในตน คำว่าเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ไม่มีคำอธิบายอะไรไปมากกว่าทำให้ตนหลุดพ้น โดยคำว่าหลุดพ้นนั้น หากเป็นการหลุดพ้นทางความคิดก็เรียกว่าการบรรลุนิพพาน โดยเฉพาะการหลุดพ้นทางความคิดนั้น จะเป็นการหลุดพ้นทุกข์ไปได้ บางครั้งไม่อาจหลุดพ้นทุกข์ทางกายภาพได้ แต่เราสามารถเรียนรียนรู้และเข้าใจแล้วแจ้งประจักษ์ที่จะอยู่กับความทุกข์ทางกายที่มีได้โดยไม่ทุกข์นั่นเอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะสำรอกอวิชชาได้ จึงชื่อว่าปัญญาวิมุติ ฯ จบพาลวรรคที่ ๓ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๑๖๑๒ - ๑๖๑๖. หน้าที่ ๗๐. |
เจ้าของ: | asoka [ 15 ม.ค. 2012, 22:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
![]() เป็นความเห็นที่ดี แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่านี้คงไม่มีการบัญญัติว่า ผู้บรรลุธรรมหรือหลุดพ้นนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ 1.เจโตวิมุติ คือผู้ที่บรรลุธรรมด้วยกำลังแห่งจิตคือเป็นผู้ที่ชำนาญในสมถะภาวนามาก่อน เมื่อมาต่อเจริญปัญญาอีกเพียงเล็กน้อยจนละความเห็นผิดได้ จิตก็หลุดพ้น 2.ปัญญาวิมุติ คือผู้ที่มิได้มีฐานทางสมถะภาวนามามากจนได้ฌาณอภิญญา แต่อาศัยสมาธิธรรมดาของมนุษย์ระดับแค่ขณิกะสมาธิ หรืออุปจาระสมาธิตามธรรมชาติ มาสนับสนุนสติปัญญาให้ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งวิปัสสนาภาวนาหรือมรรคมีองค์ 8 จนได้เกิดดวงตาเห็นธรรมเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชัด จนเกิดความเบื่อหน่ายคลายจาง ละวางความเห็นผิดว่ากาย ใจ นี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู (สักกายทิฐิ) ละวางความยึดผิด(มานะทิฐิ)เข้าถึงมรรคผลนิพพาน ไปตามลำดับจนถึงอรหัตผลโดยกำลังแห่งปัญญามรรคทั้ง 2 ข้อที่มีศีล สติ และสมาธิเป็นกองหนุน นักวิปัสสนาไม่ได้ปฏิเสธ สมาธิ แต่เห็นว่าสมาธิตามธรรมชาติที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีอยู่นี้ก็เพียงพอที่จะนำมาเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ แล้วมันจะพัฒนาตนเองขึ้นไปโดยธรรมชาติเป็นลำดับๆ จนบรรลุถึง มรรค ผล นิพพาน ตอนอริยมรรคเกิดนั้น สมาธิอาจจะเจริญพุ่งพรวดขึ้นไปสูงสุดถึงฌาณ 4 ฌาณ 8 ตัดกิเลส ตัณหา อัตตา สักกายทิฐิ มานะทิฐิ แต่ผู้ปฏิบัติอาจไม่รู้ตอนบรรลุธรรม มารู้ชัดเมื่อเกิดธัมมวิจัยในภายหลังตอนที่ ปัจจเวกขณญาณเกิด ดังนี้เป็นต้น ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ธรรมดาครับ [ 16 ม.ค. 2012, 05:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
ฝึกจิต เขียน: กล่าวคือการทำสมาธิแล้วขจัดสันดานที่ไม่ดีในสมองให้ค่อย ๆ หมดไป สมองจะไปบังคับจิตให้ขจัดอนุสัยที่ไม่ดีให้ค่อย ๆ หมดสิ้นไปทีละน้อยด้วย สมาธิขจัดอะไรไม่ได้หรอกมีแต่กดทับไว้และสันดานก็ไม่ได้อยู่ที่สมอง แต่อยู่ที่จิต สมองจะไปบังคับจิตไม่ได้ มีแต่สติกับปัญญาเท่านั้น ชื่อฝึกจิต แต่ไม่รู้จัก จิต สติ สมาธิและปัญญา |
เจ้าของ: | ฝึกจิต [ 16 ม.ค. 2012, 06:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
ธรรมดาครับ เขียน: ฝึกจิต เขียน: กล่าวคือการทำสมาธิแล้วขจัดสันดานที่ไม่ดีในสมองให้ค่อย ๆ หมดไป สมองจะไปบังคับจิตให้ขจัดอนุสัยที่ไม่ดีให้ค่อย ๆ หมดสิ้นไปทีละน้อยด้วย สมาธิขจัดอะไรไม่ได้หรอกมีแต่กดทับไว้และสันดานก็ไม่ได้อยู่ที่สมอง แต่อยู่ที่จิต สมองจะไปบังคับจิตไม่ได้ มีแต่สติกับปัญญาเท่านั้น ชื่อฝึกจิต แต่ไม่รู้จัก จิต สติ สมาธิและปัญญา ครับความรู้ผมยังน้อยจึงต้องแสวงหาอยู่ แต่ที่ผมเข้าใจนั้นคือ สมาธิจะช่วยให้เราใช้ปัญญาได้ดีขึ้น ในการไตร่ตรองตามคำสอนต่างๆของพระพุทธเจ้า จนเข้าใจแท้อยู่ในจิตและสติจะได้สามารถดึงคำสอนต่างๆเหล่านั้นออกมาใช้ได้อยู่เสมอครับ ตัวสมาธิเองไม่ได้เป็นตัวขจัดเองแต่จะช่วยเสริมให้จิตใช้ปัญญาได้มากขึ้น ครับ ลองอ่านดูนะครับว่ามันไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจครับ สติ สมาธิ ปัญญา นั้น จิตต้องวนรอบใช้งานกันอยู่ตลอดเวลาครับ ไม่ทราบผมเข้าใจถูกมั้ยครับ ส่วนชื่อที่ผมตั้งนั้น ฝึกจิต ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ผมกำลังพัฒนาจิตอยู่ครับ ปัญญายังไม่มีเลยครับ และอีกอย่างครับข้อความข้างบนนั้นผมลอกเขามาจาก http://www.dhumma.net/index.php option=com_content&view=article&id=363&Itemid=386 เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้อ่านและพิจารณากันว่าเช่นไรมันเป็นแค่1 ความเข้าใจในคำตอบของคำถามของผมเท่านั้น และความเข้าใจใน เจโตวิมุติ กับ ปัญญาวิมุติ อาจารย์หลายๆท่านยังเข้าใจไม่ตรงกันเลยครับ ผมเลยเอาย่อหน้าสุดท้ายมาให้อ่านดูครับว่า สุดท้ายจะบรรลุนิพพานได้นั้น ก็ต้องใช้ปัญญาด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ ![]() |
เจ้าของ: | ธรรมดาครับ [ 16 ม.ค. 2012, 08:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
ฝึกจิต เขียน: ลองอ่านดูนะครับว่ามันไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจครับ คุณลองอ่านที่คุณโพสไว้ ย่อหน้าที่สอง-สาม นั่น ไม่เห็นบอกไว้เลยว่าลอกเขามา โพสไว้ให้เข้าใจว่า เป็นความคิดเห็นของตัวคุณเอง ผมไม่ได้ติดใจ เจตโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ติดใจตรง "สมอง" ครับ หากจะแจกแจงธรรมต้องมีธรรมตามสมควร ติหวังก่อครับ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 16 ม.ค. 2012, 08:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
asoka เขียน: ![]() เป็นความเห็นที่ดี แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่านี้คงไม่มีการบัญญัติว่า ผู้บรรลุธรรมหรือหลุดพ้นนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ 1.เจโตวิมุติ คือผู้ที่บรรลุธรรมด้วยกำลังแห่งจิตคือเป็นผู้ที่ชำนาญในสมถะภาวนามาก่อน เมื่อมาต่อเจริญปัญญาอีกเพียงเล็กน้อยจนละความเห็นผิดได้ จิตก็หลุดพ้น 2.ปัญญาวิมุติ คือผู้ที่มิได้มีฐานทางสมถะภาวนามามากจนได้ฌาณอภิญญา แต่อาศัยสมาธิธรรมดาของมนุษย์ระดับแค่ขณิกะสมาธิ หรืออุปจาระสมาธิตามธรรมชาติ มาสนับสนุนสติปัญญาให้ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งวิปัสสนาภาวนาหรือมรรคมีองค์ 8 ....... ![]() ![]() ![]() เขาใช้ทั้ง 2 อย่างนั้นแหละ...คุณอโสกะ..แค่อะไรเด่นกว่ากันก็เท่านั้น... กิเลสความขี้เกียจ+มักง่าย....ก็หาทางตีความตามบัญญัติมาเข้าทางสำนักมักง่ายของตน... ระวัง...จะกลายเป็นบิดเบือนพระธรรมไป... เคยได้ยินเรื่อง...ของท่านจูฬปันถก..ผู้ทรงอภิญญา...มั้ย ที่พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ... ท่านไปนั่งทำฌาณ 4 สมาบัติ 8 ที่ไหนกัน..ทั้งเจโต...ทั้งปัญญา..ท่านก็ใช้พร้อมกันในบัลลังเดียว นี้เป็นหลักฐานอย่างดี....เพื่อให้กิเลสมักง่ายได้พิจารณา ขอเตือนว่า... อย่างได้กล่าว...ถึงปัญญาวิมุติ...อย่างที่ท่านว่าในข้อที่ 2 อีก... ไม่รู้..แม้เจตนาดี...ก็ผิด เราบอกท่าน...ก็ถือว่าท่านรู้แล้ว รู้แล้ว..ยังทำอีก..จะผิดมากนะ |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 16 ม.ค. 2012, 11:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
วิมุตติสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... =461&Z=514 |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 16 ม.ค. 2012, 12:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
![]() ![]() ![]() พระผู้เป็นบรมครูจริง ๆ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 16 ม.ค. 2012, 14:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
ฝึกจิต เขียน: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว เพราะสร้างเหตุปัจจัยมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว รอแค่การชี้แนะเท่านั้น ทั้งพระองค์ก็มีญาณหยั่งทราบว่า คนนี้เหมาะกับธรรมประเภทใด ถึงเวลาที่สมควรแล้ว ถึงจะมีประชาชนจำนวนมาก พระองค์ก็เทศน์เจาะจงเฉพาะบุคคล แม้จะอยู่ท้ายพุทธบริษัททั้งหลายในวิหารนั้น ![]() กบนอกกะลา เขียน: เขาใช้ทั้ง 2 อย่างนั้นแหละ...คุณอโสกะ..แค่อะไรเด่นกว่ากันก็เท่านั้น... eragon_joe เขียน: ![]() ![]() ![]() พระผู้เป็นบรมครูจริง ๆ ![]() ![]() ![]() สาธุจ้า ... ![]() |
เจ้าของ: | ฝึกจิต [ 16 ม.ค. 2012, 15:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
กบนอกกะลา เขียน: asoka เขียน: ![]() เป็นความเห็นที่ดี แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่านี้คงไม่มีการบัญญัติว่า ผู้บรรลุธรรมหรือหลุดพ้นนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ 1.เจโตวิมุติ คือผู้ที่บรรลุธรรมด้วยกำลังแห่งจิตคือเป็นผู้ที่ชำนาญในสมถะภาวนามาก่อน เมื่อมาต่อเจริญปัญญาอีกเพียงเล็กน้อยจนละความเห็นผิดได้ จิตก็หลุดพ้น 2.ปัญญาวิมุติ คือผู้ที่มิได้มีฐานทางสมถะภาวนามามากจนได้ฌาณอภิญญา แต่อาศัยสมาธิธรรมดาของมนุษย์ระดับแค่ขณิกะสมาธิ หรืออุปจาระสมาธิตามธรรมชาติ มาสนับสนุนสติปัญญาให้ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งวิปัสสนาภาวนาหรือมรรคมีองค์ 8 ....... ![]() ![]() ![]() เขาใช้ทั้ง 2 อย่างนั้นแหละ...คุณอโสกะ..แค่อะไรเด่นกว่ากันก็เท่านั้น... กิเลสความขี้เกียจ+มักง่าย....ก็หาทางตีความตามบัญญัติมาเข้าทางสำนักมักง่ายของตน... ระวัง...จะกลายเป็นบิดเบือนพระธรรมไป... เคยได้ยินเรื่อง...ของท่านจูฬปันถก..ผู้ทรงอภิญญา...มั้ย ที่พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ... ท่านไปนั่งทำฌาณ 4 สมาบัติ 8 ที่ไหนกัน..ทั้งเจโต...ทั้งปัญญา..ท่านก็ใช้พร้อมกันในบัลลังเดียว นี้เป็นหลักฐานอย่างดี....เพื่อให้กิเลสมักง่ายได้พิจารณา ขอเตือนว่า... อย่างได้กล่าว...ถึงปัญญาวิมุติ...อย่างที่ท่านว่าในข้อที่ 2 อีก... ไม่รู้..แม้เจตนาดี...ก็ผิด เราบอกท่าน...ก็ถือว่าท่านรู้แล้ว รู้แล้ว..ยังทำอีก..จะผิดมากนะ คุณกบนอกกะลาครับ ผมเองก็ได้ฟังได้รู้มาประมาณท่านอโศกเหมื่อนกัน หลวงพ่อทูล และ ท่านพุทธทาส ก็กล่าวประมาณนี้ครับ แต่อย่าเก็บมาเป็นสาระกันเลย ขอให้ท่านทั้งหลายฝึกปฎิบัติตามจริตและประสงค์ของแต่ละท่านเอง เพราะสุดท้าย ท้ายสุด ก็ไม่มีอะไรให้ถือมั่น อยู่ดี ขอบคุณครับ |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 16 ม.ค. 2012, 17:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
eragon_joe เขียน: :b8: ![]() ![]() พระผู้เป็นบรมครูจริง ๆ ![]() ![]() ![]() ครับ ! ทรงเปี่ยมด้วย พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ |
เจ้าของ: | asoka [ 16 ม.ค. 2012, 19:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
กบนอกกะลา เขียน: asoka เขียน: ![]() เป็นความเห็นที่ดี แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่านี้คงไม่มีการบัญญัติว่า ผู้บรรลุธรรมหรือหลุดพ้นนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ 1.เจโตวิมุติ คือผู้ที่บรรลุธรรมด้วยกำลังแห่งจิตคือเป็นผู้ที่ชำนาญในสมถะภาวนามาก่อน เมื่อมาต่อเจริญปัญญาอีกเพียงเล็กน้อยจนละความเห็นผิดได้ จิตก็หลุดพ้น 2.ปัญญาวิมุติ คือผู้ที่มิได้มีฐานทางสมถะภาวนามามากจนได้ฌาณอภิญญา แต่อาศัยสมาธิธรรมดาของมนุษย์ระดับแค่ขณิกะสมาธิ หรืออุปจาระสมาธิตามธรรมชาติ มาสนับสนุนสติปัญญาให้ดำเนินไปบนเส้นทางแห่งวิปัสสนาภาวนาหรือมรรคมีองค์ 8 ....... ![]() ![]() ![]() เขาใช้ทั้ง 2 อย่างนั้นแหละ...คุณอโสกะ..แค่อะไรเด่นกว่ากันก็เท่านั้น... กิเลสความขี้เกียจ+มักง่าย....ก็หาทางตีความตามบัญญัติมาเข้าทางสำนักมักง่ายของตน... ระวัง...จะกลายเป็นบิดเบือนพระธรรมไป... เคยได้ยินเรื่อง...ของท่านจูฬปันถก..ผู้ทรงอภิญญา...มั้ย ที่พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ... ท่านไปนั่งทำฌาณ 4 สมาบัติ 8 ที่ไหนกัน..ทั้งเจโต...ทั้งปัญญา..ท่านก็ใช้พร้อมกันในบัลลังเดียว นี้เป็นหลักฐานอย่างดี....เพื่อให้กิเลสมักง่ายได้พิจารณา ขอเตือนว่า... อย่างได้กล่าว...ถึงปัญญาวิมุติ...อย่างที่ท่านว่าในข้อที่ 2 อีก... ไม่รู้..แม้เจตนาดี...ก็ผิด เราบอกท่าน...ก็ถือว่าท่านรู้แล้ว รู้แล้ว..ยังทำอีก..จะผิดมากนะ ![]() สรุปแล้วคุณกบก็ยังยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของคุณว่าถูกต้องที่สุด เมื่อไหร่ใครก็ตามที่มีความเห็นว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีอย่างอื่น เมื่อนั้นแสดงว่าเริ่มยึดแน่นและสุดโต่งแล้ว "สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" คุณกบคิดว่าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคนนั้นจะต้องเริ่มต้นจาก ศูนย์ เหมือนกันทั้งหมดหรือ ยังไงก็ต้องมานับหนึ่งใหม่ด้วยการฝึกสมถะภาวนาจนได้ฌาณแล้วจึงค่อยมาต่อยอดด้วยวิปัสสนาภาวนากันทุกคนถึงจะใช่ เริ่มต้นด้วยวิปัสสนาภาวนาเลยนั้นไม่ใช่ เพราะฉนั้นใครจะบรรลุธรรมได้ต้องได้ทั้งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ จึงจะใช่ ปัญญาวิมุติล้วนๆไม่มี ถ้าเห็นอย่างนี้แสดงว่าคุณกบไม่เชื่อพระพุทธเจ้าและพระอิยเจ้า ที่ท่านกล่าวเรื่องเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ ไว้ตั้งหลายนัยยะ ทั้งยังไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชี่อว่าจิตวิญญาณทุกดวงที่มาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้นได้สร้างสมบารมี ทาน ศีล สมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนามาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ไม่เชื่อว่ามีผู้คนจำนวนมากมาเกิดในชาตินี้แล้ว ไม่ต้องมีพื้นสมถะภาวนาอะไรมาก่อนแต่เขาเกิดมาก็ได้ความเป็นผู้มีสมาธิและสติ ปัญญาอันดีเยี่ยมติดตัวมาด้วย จนสามารถเจริญวิปัสนาภาวนาได้ทันที และสามารถบรรลุธรรมได้เมื่อได้พบกัลยาณมิตรและได้รับคำสอนเรื่องวิปัสสนาภาวนามาอย่างถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตัวอย่างของท่านจูฬปันถก.ที่คุณกบยกมานั้น เมื่อมองอีกมุมก็จะเห็นว่า ท่านบรลุธรรมด้วยปัญญาจริงๆก่อน แล้วอุปนิสัยวาสนาแต่อดีตชาติของท่านได้เจริญสมถะภาวนามาเป็นอย่างมากแล้ว เมื่อบรรลุธรรมจึงได้ ปฏิสัมภิทาและอภิญญาติดตามมาเป็นผลพลอยได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งหายาก เป็นเพียง หนึ่งในหลายล้าน มิใช่เป็นกับพระอริยเจ้าได้ทุกพระองค์ พระอรหันต์ที่เป็นสุขวิปัสสโก หรือปัญญาวิมุตินั้นมีจำนวนมากมายมหาศาลอาจจะยิ่งกว่าผู้ที่ได้เจโตวิมุติด้วยซ้ำไปเพราะบรรลุได้ง่ายและร็วกว่าดูจากประวัติพระสาวกก็จะเห็นอัตราส่วนได้ชัดระหว่างผู้ได้ปัญญา กับได้อภิญญา ดังนั้นที่จะมาขัดขวางและขู่สำทับผมโดยอ้างว่าจะเป็นการบิดเบือนพระสัทธรรม ไม่ให้ผมพูดเรื่องปัญญาวิมุติดังที่ผมแสดงไว้ข้างต้นนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่เชื่อคุณและยังเกรงไปด้วยว่า คนที่ยึดมั่นถือมั่นแลมีความเห็นสุดโต่งอย่างคุณเสียอีกที่อาจจะเป็นผู้บิดเบือนพระสัทธรรมไปด้วยมานะทิฐิของตน ดีที่สุดคือทางใครทางมัน เจริญไปตามเหตุปัจจัย ที่สร้างสมมาของใครของมันจะดีกว่า ความเห็นต่างๆในกระทู้คือความเห็น ตรงและเข้าได้กับจริตของใครก็เอาไปประยุกต์ใช้ให้เป็นวิธีการเฉพาะตัว ของใครของมันเถิด มิบังควรมาเบรคเบลมกันดังคำพูดที่คุณกบบอกว่า ![]() ขอเตือนว่า... อย่าได้กล่าว...ถึงปัญญาวิมุติ...อย่างที่ท่านว่าในข้อที่ 2 อีก...ไม่รู้..แม้เจตนาดี...ก็ผิด เราบอกท่าน...ก็ถือว่าท่านรู้แล้ว รู้แล้ว..ยังทำอีก..จะผิดมากนะ อีกประโยคหนึ่งที่พาลไปถึงสำนักต่างๆด้วย "กิเลสความขี้เกียจ+มักง่าย....ก็หาทางตีความตามบัญญัติมาเข้าทางสำนักมักง่ายของตน" ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 17 ม.ค. 2012, 01:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
กล่าวเพราะหวังดี.... อ้างคำพูด: สรุปแล้วคุณกบก็ยังยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของคุณว่าถูกต้องที่สุด เมื่อไหร่ใครก็ตามที่มีความเห็นว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีอย่างอื่น เมื่อนั้นแสดงว่าเริ่มยึดแน่นและสุดโต่งแล้ว เข้าใจผิดแล้ว...เพราะเห็นความสุดโต่งทางปัญญาวิมุติของคุณอโสกะ..ต่างหาก และ..นี้คือตัวอย่างเล็ก ๆ ของความสุดโต่ง... อ้างคำพูด: คุณกบคิดว่าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคนนั้นจะต้องเริ่มต้นจาก ศูนย์ เหมือนกันทั้งหมดหรือ ยังไงก็ต้องมานับหนึ่งใหม่ด้วยการฝึกสมถะภาวนาจนได้ฌาณแล้วจึงค่อยมาต่อยอดด้วยวิปัสสนาภาวนากันทุกคนถึงจะใช่ เริ่มต้นด้วยวิปัสสนาภาวนาเลยนั้นไม่ใช่ เพราะฉนั้นใครจะบรรลุธรรมได้ต้องได้ทั้งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ จึงจะใช่ ปัญญาวิมุติล้วนๆไม่มี หากคุณอโสกะ...ใช้แนวทางปัญญาวิมุติ..จนพอจะเห็นผลบ้างแล้ว...จะไม่กล่าวอย่างนี้เด็ดขาด จำได้มั้ย...กระผมเคยถามท่านว่า...จะรู้ได้งัยว่ากำลังวิปัสสนาอยู่หรือกำลังฟุ้งซ่านในธรรม ขณะอยู่ในนั้น...มันไม่มีทางรู้ได้หรอก ต้องดูที่ผล...คือปฏิเวท... ผลจากการคิดพิจารณาในธรรมนั้น ๆ นะ...มันลงใจสนิทจริงหรือว่าอย่างไร... ลงใจสนิท..สังเกตุที่อะไร?...ก็ดูว่าหากธรรมชนิดนั้นเกิดขึ้นอีก...สังขารเรายังปรุงแต่งเหมือนเดิมรึไม่? เช่น...ถ้าเคยพิจารณาความโกรธ...เราก็ว่า..นี้ไม่ใช่ตัวกู...แล้วเราจะไปโกรธทำไม...ความโกรธนั้นก็สงบลง วันหลัง...ถูกด่า...ก็โกรธอีก อ้าว...แล้วไอ้ความสงบโกรธคราวนั้น...งั้ยมันไม่สนิท...นี้ก็แสดงว่า...มันลงใจไม่จริง นี้คือการเอาผลปฏิเวท(คราวก่อน)ไปเทียบกับปริยัติ..เทียบกับหลักวิชาการ เมื่อมันไม่ใช่...ก็แสดงว่า...ผลที่เราคิดว่าได้นั้น...มันยังไม่ใช่ผลจริง ๆ นี้งัย...ผลของการฟุ้งซ่านในธรรม ทีนี้ก็ต้องกลับมาคิดว่า...เอ่...เรามีอะไรบกพร่องไปบ้างนะ? มันจึงต้องใช้ประสบการณ์...ปฏิภาณไหวพริบ...แก้ไข หากมีครูบาอาจารย์ที่แจ้งแทงตลอด...มันก็ง่ายเข้า นี้งัย...หากปฏิบัติ...แล้วได้ผลที่เป็นจริง...แล้ว จะไม่มีทางพูดเด็ดขาดว่า... ปัญญาวิมุติล้วน ๆ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 17 ม.ค. 2012, 02:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำไม ในอดีต แค่ฟังธรรมก็บรรลุ อรหันต์ได้แล้ว |
อ้างคำพูด: คุณกบคิดว่าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคนนั้นจะต้องเริ่มต้นจาก ศูนย์ เหมือนกันทั้งหมดหรือ ยังไงก็ต้องมานับหนึ่งใหม่ด้วยการฝึกสมถะภาวนาจนได้ฌาณแล้วจึงค่อยมาต่อยอดด้วยวิปัสสนาภาวนากันทุกคนถึงจะใช่ ลืมบอกไป....ว่า...กระผมไม่ใช่...บุคคลจำพวก...สมถะนำหน้า ส่วนใครที่คิดว่า...บุคคลจำพวกสมถะนำหน้า...ต้องมีความคิดว่า...ทุกคนต้องเริ่มจากศูนย์...นี้คิดผิด และ...ใครที่คิดว่า...ชาติที่แล้ว..สมถะเราทำมาดีแล้ว..ชาตินี้ใช้คิดอย่างเดียว...นี้ก็ผิด อ้างคำพูด: ..... ทั้งยังไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชี่อว่าจิตวิญญาณทุกดวงที่มาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้นได้สร้างสมบารมี ทาน ศีล สมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนามาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ไม่เชื่อว่ามีผู้คนจำนวนมากมาเกิดในชาตินี้แล้ว ไม่ต้องมีพื้นสมถะภาวนาอะไรมาก่อนแต่เขาเกิดมาก็ได้ความเป็นผู้มีสมาธิและสติ ปัญญาอันดีเยี่ยมติดตัวมาด้วย จนสามารถเจริญวิปัสนาภาวนาได้ทันที และสามารถบรรลุธรรมได้เมื่อได้พบกัลยาณมิตรและได้รับคำสอนเรื่องวิปัสสนาภาวนามาอย่างถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า กฎแห่งกรรม..เชื่อ... การเวียนว่ายตายเกิด...เชื่อ แต่...การเชื่อเรื่องการสะสมบารมีมานับชาติไม่ถ่วน..นี้...เชื่อแล้วได้อะไร ได้ความขี้เกียจ..ได้ความงมงาย..ได้ความประมาท...นะหรือ มีใครรู้ว่าชาติที่แล้วได้อะไรมาบ้าง...ไม่มีหรอก...มันต้องทำดู...หาเอา หากเคยได้..มันจะคล่อง..ทำได้ง่าย...มันจะเห็นของเขาเอง ไม่ใช่มาโฆษณา...ว่าทำอย่างนี้ง่าย..ทำได้มาก ๆ .... ก็เสร็จกิเลสมันนะซิ...มันมีอยู่กับทุกคนแล้วนี้...มันว่า...สมถะเป็นอัตตกิลมถานุโยคไป และอีกอย่าง...คนที่ว่า...ทำอย่างนี้ง่าย...ทำได้มาก ๆ..แท้แล้วก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องกฎของกรรม...การเวียนว่ายตายเกิด..การสะสมบุญญาบารมี...ที่มีมาอย่างหลากหลายไม่เหมือนกัน มันจึงคิดแต่จะรวบให้เหมือนกัน...ให้ได้ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |