ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ปัจจเวกขณญาณ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=40614 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | รสมน [ 30 ธ.ค. 2011, 04:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | ปัจจเวกขณญาณ |
ปัจจเวกขณญาณ ปฏิ ( เฉพาะ ) + วิ ( แจ้ง ) + อิกฺขณ ( เห็น ) + ญาณ ( ความรู้ ) ญาณคือความรู้ที่เห็นแจ้งเฉพาะ , ปัญญาที่พิจารณา หมายถึง วิปัสสนาญาณ ที่ ๑๖ เป็นวิปัสสนาญาณสุดท้ายซึ่งเป็นโลกียะ เกิดขึ้นหลังจากมรรคจิตผลจิตใน มัคควิถีดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น แล้วปัจจเวกขณญาณ ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดกับ มหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ หรือมหากิริยาจิตญาณสัมปยุตต์ทำกิจชวนะทางมโนทวาร เกิดขึ้นพิจารณามรรคจิตหนึ่งวาระ ผลจิตหนึ่งวาระ นิพพานหนึ่งวาระ กิเลสที่ละแล้ว หนึ่งวาระ กิเลสที่เหลืออยู่หนึ่งวาระ พระอริยบุคคลเบื้องต้น ๓ จะมีปัจจเวกขณญาณ ท่านละ ๕ วาระส่วนพระอรหันต์จะมีปัจจเวกขณญาณเพียง ๔ วาระ เพราะไม่มีกิเลส ที่เหลืออยู่ให้พิจารณา รวมพระอริยบุคคล ๔ มีปัจจเวกขณญาณทั้งหมด ๑๙ วาระ พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 615 คำว่า สุญญตา นี้เป็นชื่อของโลกุตรมรรค จริงอยู่ โลกุตรมรรคนั้น ย่อมได้ชื่อเพราะเหตุ ๓ อย่าง คือ เพราะการบรรลุ ๑ เพราะคุณของตน ๑ เพราะอารมณ์ ๑. ถามว่า ข้อนี้ เป็นอย่างไร ? ตอบว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ อาศัยอยู่โดยความเป็นอนัตตา ย่อมเห็นสังขารโดยความเป็นอนัตตา แต่ธรรมดาว่า การออกจากสังขตธรรม ด้วยมรรค (มรรควุฏฐานะ) ย่อมไม่มีโดยเพียงเห็นโดยความเป็นอนัตตาเท่านั้น การเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงบ้าง โดยความเป็นทุกข์บ้าง จึงสมควร เพราะฉะนั้น เธอจึงยกขึ้นสู่อนุปัสสนา ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา แล้วพิจารณาอยู่ท่องเที่ยวไป ก็วิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินีของภิกษุ นั้น ย่อมเห็นสังขารทั้งหลายแม้อันเป็นไปในภูมิ ๓ โดยความเป็นของสูญ (ว่างเปล่า) ทีเดียว วิปัสสนานี้ชื่อว่า สุญญตา วิปัสสนานั้นดำรงอยู่ในฐานะ ที่ควรบรรลุ จึงให้ชื่อมรรคของตนว่า สุญญตะ มรรคย่อมได้ชื่อว่า สุญญตะ เพราะการบรรลุด้วยประการฉะนี้. แต่เพราะมรรคนั้นสูญจากราคะเป็นต้น ฉะนั้น จึงได้ชื่อว่า สุญญตะ ด้วยคุณของตน. แม้พระนิพพาน ท่านก็เรียก ชื่อว่า สุญญตะ เพราะเป็นสภาวะสูญจากราคะเป็นต้น. มรรคย่อมได้ชื่อ สุญญตะ โดยอารมณ์เพราะความที่มรรคนั้นทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ เกิดขึ้น. เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 30 ธ.ค. 2011, 22:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
รสมน เขียน: ปัจจเวกขณญาณ ปฏิ ( เฉพาะ ) + วิ ( แจ้ง ) + อิกฺขณ ( เห็น ) + ญาณ ( ความรู้ ) ญาณคือความรู้ที่เห็นแจ้งเฉพาะ , ปัญญาที่พิจารณา หมายถึง วิปัสสนาญาณ ที่ ๑๖ เป็นวิปัสสนาญาณสุดท้ายซึ่งเป็นโลกียะ เกิดขึ้นหลังจากมรรคจิตผลจิตใน มัคควิถีดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น แล้วปัจจเวกขณญาณ ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดกับ มหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ หรือมหากิริยาจิตญาณสัมปยุตต์ทำกิจชวนะทางมโนทวาร เกิดขึ้นพิจารณามรรคจิตหนึ่งวาระ ผลจิตหนึ่งวาระ นิพพานหนึ่งวาระ ถ้ายังเห็นทาง(มรรค)อยู่ ตรงนั้นยังไม่ใช่ ที่ ๆ ไม่มีทาง(มรรค) |
เจ้าของ: | suttiyan [ 31 ธ.ค. 2011, 10:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
ขอความเจริญในธรรมมีแก่ทุกท่าน ปัจจขเวกญาณ โดยสภาวะเป็นความรู้สึกตัวที่มีขึ้น หลังจากหมดความรู้สึกไปชั่วขณะ(เวลาสั้นมาก) เป็นความรู้สึกประหลาดใจว่าเมื่อกี้เราเป็นอะไร เรากำลังรู้สภาวะความรู้สึกที่ละเอียดของจิตอยู่ อยู่ๆก็หมดความรู้สึกไปต่อหนัาต่อตา และนี่ทำไมจิตถึงอิสระจากแรงหน่วงเหนี่ยว ที่ก่อนหน้าที่จะหมดความรู้สึกยังต้องเพียรรู้ตามความเป็นจริงของรูปนาม ความหน่วง สั่นไหว คลุมเครือ ภายหลังหมดความรู้สึกสิ่งหล่านึ้ก็ดับตามไปด้วย จึงทำการทบทวนถึงเหตุการก่อนหน้านั้น โอ เป็นเช่นนี้หนอ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 31 ธ.ค. 2011, 12:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
eragon_joe เขียน: เป็นความรู้สึกประหลาดใจว่าเมื่อกี้เราเป็นอะไร อืมมม เอกอนว่า น่าจะเป็นไปในทำนอง จะว่าประหลาดใจก็ไม่เชิง จะว่าไม่ประหลาดใจก็ไม่เชิง ผู้ที่เจอสภาวะนี้ ในแว๊บนั้นเราคิดว่า น่าจะเป็นความรู้สึก ตื่นใจ ใจตื่น กับสิ่งที่พบ และเขาคิดถึงพระพุทธองค์ เพื่อจะถามถึงสิ่งนั้น เพื่อให้พระพุทธองค์จะรับรอง ฟันธง เราคิดว่างั๊นนะ เขาจะคิดว่าเขาได้คุณธรรมระดับไหน ก็ไม่สำคัญ ใครจะว่าเขาได้ หรือไม่ได้คุณธรรมระดับไหน ก็ไม่สำคัญ เพราะ สิ่งที่เขารู้ เขารู้อยู่แก่ใจ เขาต้องการคำรับรองจากพระพุทธองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น และมีแต่พระพุทธองค์เท่านั้นที่จะทำเช่นนั้นได้ เขาจึงอาจจะวางความรู้นั้นได้ บางครั้ง ชีวิตสาวก ก็เลยอาจจะต้องเวียนว่ายไป เพื่อได้พบกับ พระพุทธองค์ ที่จะรับรองธรรม อันนี้ นิทาน เรื่อยเปื่อย คาด ๆ คิด ๆ เดา ๆ จากการอ่านพ๊อคเก็ตบุคต่าง ๆ มามากน่ะ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 31 ธ.ค. 2011, 15:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
อื่ม.... |
เจ้าของ: | ละครน้ำเน่า [ 31 ธ.ค. 2011, 17:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
อย่าเอาความคิดไปวิจารณ์ญาณเลยครับ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 31 ธ.ค. 2011, 18:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
ละครน้ำเน่า เขียน: อย่าเอาความคิดไปวิจารณ์ญาณเลยครับ ก็ไม่ได้กะจะวิจารณ์หรอก โถ่.... เราก็แค่ หยอดมุข เพื่อให้ผู้รู้ปรากฎตัว หง่ะ โธ่... คุณเล่นมา แสดงความเห็นดักทางอย่างนี้ แล้วจะมีใครกล้าเข้ามาให้ความกระจ่างในเรื่องนี้มั๊ยเนี๊ยะ จะได้รู้ว่า นักเขียนประมาณนี้ ชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 31 ธ.ค. 2011, 21:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
ละครน้ำเน่า เขียน: อย่าเอาความคิดไปวิจารณ์ญาณเลยครับ ว่าแต่ ทำไมท่านถึงคิดว่า "อย่าเอาความคิดไปวิจารณ์ญาณเลยครับ" ล่ะ |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 31 ธ.ค. 2011, 22:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
เอาจิตไปรับเฝ้าตามความรู้สึก จนจิตมันเหนื่อย แค่นี้ก็คิดว่าตัวได้ญานแล้วหรือ? ไม่ได้เฉียดสมถะสักกะแอะ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 01 ม.ค. 2012, 09:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
หลับอยุ่ เขียน: เอาจิตไปรับเฝ้าตามความรู้สึก จนจิตมันเหนื่อย แค่นี้ก็คิดว่าตัวได้ญานแล้วหรือ? ไม่ได้เฉียดสมถะสักกะแอะ โหย... สั้นไปป่าวววว เอาจิตไปเฝ้าตามความรู้สึก ยังไงเรียกว่าเฝ้าตามความรู้สึก ยังไงไม่เฝ้า(ญาณ) ยังไงจิตเหนื่อย ถ้ามันเป็นเช่นนั้น ไม่เป็นญาณ ช่วยอธิบายให้มันเห็นภาพชัด ๆ ที่เถอะ พูดลอย ๆ แค่นี้ เราจะรู้ตัวมั๊ยเนี๊ยะ ที่ยังเข้าใจผิดอยู่อ่านจะได้รู้ เห็นเข้าใจ และเอาไปปรับปรุงแก้ไข โธ่...คนปฏิบัติธรรม เวลาที่มันหลงผิดน่ะ มันหลงจริง ๆ นะ และยังไงมันก็คิดว่ามันถูก ต้องมี ผู้ที่รู้ยิ่งกว่า เข้ามาคอยช่วยปรับ แต่ ผู้ที่รู้ยิ่งกว่า นิ้วไม่ค่อยจะทำงานเลย ไม่รู้ ทำไม สู้อุตสาห์เอาตัวเองเป็นตัวล่อแล้วนะ (ทั้ง ๆ ที่ก็หวาดเสี๊ยว หวาดเสียว) |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 01 ม.ค. 2012, 09:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
หลับอยุ่ เขียน: เอาจิตไปรับเฝ้าตามความรู้สึก จนจิตมันเหนื่อย แค่นี้ก็คิดว่าตัวได้ญานแล้วหรือ? ไม่ได้เฉียดสมถะสักกะแอะ แต่ถ้ามีผู้รู้เข้ามาอธิบาย จะมีคนเข้ามาลอกไปอธิบายเพิ่มเติมอีกมั๊ยเนี๊ยะ ( เอกอนแอบจ้องไว้แล้ว ) คือ สังเกตนะ เรื่องสภาวะการปฏิบัติธรรม มันเปลี่ยนสีได้ยังไงชอบกล ๆ วันหนึ่งพูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่างไปในทันที เหมือนพลิกลิ้นพูดเลย ทำนองนั้น ทั้ง ๆ สภาวะธรรม จากสภาวะหนึ่งกระโดดไปอีกสภาวะหนึ่ง มันไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ดั่งใจ ดังพลิกใบไม้ แต่จะมีสภาวะหนึ่ง ที่สภาวะธรรมพลิกไปได้ ราวกับพลิกหน้าพ๊อกเก็ตบุ๊คเลย สภาวะธรรมพลิกไปตามข้อความที่ได้เข้าไปรับรู้ อันนี้สังเกต ในสิ่งที่เป็นนะ บางทีอ่านธรรมบรรยายของอาจารย์ท่านหนึ่ง ก็มีอารมณ์ธรรมมันก็ไหลตามไปกับธรรมบรรยายนั้น ๆ ว่าต่อไปจะลดเรื่องการอ่านแล้ว จะดูว่าอารมณ์มันจะอีท่าไหน อะไรกันแน่คือ สภาวะธรรมจริง ๆ ที่เราเป็นอยู่ และคงจะต้องเริ่มต้นจากตรงนั้นจริง ๆ ซึ่งก็จะได้ฟังอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าบ่อย ๆ ว่าเมื่อตอนที่าบวชใหม่ ๆ ท่านก็เคยชอบอ่าน แต่พอมาวันหนึ่ง เหมือนท่านจะเห็นโทษ และท่านก็หันมาอ่าน/ศึกษาแต่คำพระพุทธเจ้า ก็คิด ๆ อยู่ว่า ท่านต้องเห็นโทษ สงสัยเราต้องลองแข็งใจหยุดอ่านอย่างจริงจังบ้างแล้ว เอาจิตไปรับเฝ้าตามความรู้สึก จนจิตมันเหนื่อย อาการเป็นไง หลับอยู่ อธิบายหน่อย หลับอยู่ เบา ๆ มือหน่อยนะ นี่ปีใหม่นะหลับอยู่ แทะกันแต่ต้นปีเลยเหร๋อ ปีนี้ 555 นะ เค้ายังไม่ใช่ผู้บรรลุ เกิดสะกัดอารมณ์ไม่อยู่ เดี๋ยวเค้าว๊ากกกก นะ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 01 ม.ค. 2012, 17:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
ขอวิอีกนิดนะ วิจารณ์ความเห็นตัวเองนี่ล่ะ ว่าทำไมเราจึง ตั้งข้อสังเกตุเช่นนั้น เพราะเท่าที่สังเกต ภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้า ส่วนใหญ่ก็จะแสดงอาการเช่นนั้น คือ กับการปลีกตัวไปปฏิบัติ เมื่อเกิดสิ่งที่เหมือนว่าตนเข้าใจว่าตนบรรลุธรรมอะไรบางอย่าง ก็ดูจะต้อง(รีบ)เดินทางเข้าไปพบพระพุทธเจ้า(ทันที) หรือไม่เช่นนั้น พระพุทธเจ้ารู้วาระจิต พระองค์ก็เสด็จไป ทำไม เป็นไปได้มั๊ยว่า แม้ในสมัยนี้ก็ตาม ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ก็จะเจอกับอาการเช่นนั้น แต่ด้วย พระพุทธองค์ไม่อยู่แล้ว อาการนี้จึงไม่อาจจะลงเอยอย่างแต่กาลก่อนไปได้โดยปริยาย อาการนี้จึงถูกละไว้ เงียบไว้ และจากหลาย ๆ ชาดก ก็จะพบว่า ทั้งพระสารีบุตร ทั้งพระโมคัลลา และภิกษุสงฆ์อีกหลายองค์ ล้วนต่างเคยเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ และแสดงความมีใจในธรรมของพระพุทธเจ้าในกาลนั้น แต่แล้วก็มาบรรลุธรรมกับพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ มีใครพอจะมีความเห็น ที่จะอธิบายข้อสังเกตนี้ของเราอย่างสมเหตุสมผลบ้างมั๊ย |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 01 ม.ค. 2012, 18:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
แล้วมันจะเกี่ยวมั๊ย ที่ทำไม สาวกจึงมีนิมิตเห็นพระพุทธเจ้า |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 02 ม.ค. 2012, 10:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 78 ๑๔. อรรถกถาปัจจเวกขณญาณุทเทส ว่าด้วย ปัจจเวกขณญาณ คำว่า ตทา สมุทาคเต ธมฺเม ปสฺสเน ปญฺญา แปลว่าปัญญาในการ พิจารณาเห็นธรรมที่เข้ามาประชุมในขณะนั้น ความว่า ปัญญาเป็นเครื่องเห็นเพ่งรู้ใน ธรรมคือมรรคและผลกับทั้งในธรรมคือสัจจะ ๔ ที่เกิดขึ้นในมรรคขณะและผลขณะ คือมาพร้อมแล้ว ถึงพร้อมแล้ว ประชุมกันในกาลนั้น ด้วยสามารถแห่งการได้ เฉพาะและด้วยสามารถแห่งการแทงตลอด. คำว่า ปจฺจเวกฺขเณ ญาณํ ปัจจเวกขณญาณ ความว่าญาณเป็นเครื่อง หมุนกลับมาเห็นรู้แจ่มแจ้ง. ก็ปัจจเวกขณญาณท่านกล่าวไว้ด้วยญาณทั้ง ๒ นี้. ก็ในที่สุดแห่งโสดาปัตติผลในมรรควิถี จิตของพระโสดาบันก็ลงภวังค์. ต่อ แต่นั้นก็ตัดภวังค์ขาด มโนทวาราวัชชนะก็เกิดขึ้นเพื่อ พิจารณามรรค, ครั้นมโนทวา ราวัชชนะนั้นดับลงแล้ว ชวนจิตพิจารณามรรคก็เกิดขึ้น ๗ ขณะโดยลำดับฉะนี้ แล. ครั้นแล้วก็ลงสู่ภวังค์อีกอาวัชชนจิตเป็นต้น ก็เกิดขึ้นเพื่อพิจารณาธรรมทั้ง หลายมีผลเป็นต้นโดยนัยนั้นเอง. เพราะความเกิดแห่งธรรมเหล่าใดมีผลเป็นต้น พระโสดาบันนั้น ก็พิจารณา มรรค, ผล, กิเลสที่ละแล้ว, กิเลสที่ยังเหลือ,และพระนิพพาน. ก็พระโสดาบันนั้นพิจารณามรรคว่า เรามาแล้วด้วยมรรคนี้หนอ, ต่อแต่นั้น ก็พิจารณาผลว่า อานิสงส์นี้เราได้แล้ว, ต่อแต่นั้นก็พิจารณากิเลสที่ละแล้ว ว่า ขึ้นชื่อว่ากิเลสเหล่านี้ เราละได้แล้ว, ต่อแต่นั้นก็พิจารณากิเลสที่มรรคเบื้อง บนจะพึงประหาณว่ากิเลสเหล่านี้เรายังเหลืออยู่, ในที่สุดก็พิจารณาอมตนิพพาน ว่าธรรมนี้เราได้แล้วโดยความเป็นอารมณ์ พระอริยสาวกชั้นโสดาบัน มีปัจจเวกขณะ ๕ อย่าง ด้วยประการนี้. ปัจจเวก ขณะของพระสทาคามีและพระอนาคามี ก็มีเหมือนพระโสดาบัน. แต่ของพระ อรหันต์ มีปัจจเวกขณะ ๔ อย่างคือ ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่. รวม ปัจจเวกขณญาณทั้งหมดมี ๑๙ด้วยประการฉะนี้. นี้เป็นการกำหนดอย่างอุกฤษฏ์. ฯลฯ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 02 ม.ค. 2012, 10:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปัจจเวกขณญาณ |
ชอบกระทู้นี้แฮะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |