วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 09:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 06:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: เผลอเมื่อใด ใจเกิดตัว ทั่วทับใจ
เผลอเมื่อใด เกิดเธอฉัน นั้นเสมอ
ระลึกรู้ ปัจจุบัน ไม่หวั่นเจอ
ทั้งตัวเธอ และตัวฉัน นั้นสิ่งลวง :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 06:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


อันนี้ก็โดนปกปิด มานาน สำคัญด้วย ตัวอย่าง



Quote Tipitaka:
นิพพานอันผู้บรรลุพึงรู้แจ้งได้ เป็นอนิทัสสนะ (ไม่เห็นได้ด้วยจักษุวิญญาณ) เป็นอนันตะ (ไม่มีที่สุด หรือ หายไปจากความเกิดขึ้นและ
ความเสื่อม) มีรัศมีในที่ทั้งปวง อันสัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่ดินเป็นดิน โดยความที่น้ำเป็นน้ำ
โดยความที่ไฟเป็นไฟ โดยความที่ลมเป็นลม (อ่านต่อได้ที่)
พรหมนิมันตนิกสูตร ที่ ๙
-----------------------------------------------------
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๑๐๑๓๔ - ๑๐๒๘๖. หน้าที่ ๔๑๗ - ๔๒๓.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... agebreak=0


Quote Tipitaka:
ในคำเหล่านั้น คำว่า "วิญญาณ" ความว่า พึงเข้าใจแจ่มแจ้ง.
คำว่า "เห็นไม่ได้" ความว่า ชื่อว่าเห็นไม่ได้ เพราะไม่เข้าสู่คลองแห่งจักขุวิญญาณ. แม้ด้วยบททั้งสอง (นี้) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระนิพพานนั่นเอง.
คำว่า "ไม่มีที่สุด" ความว่า ชื่อว่าหาที่สุดไม่ได้ เพราะพระนิพพานนี้นั้นเว้นจากระหว่างแห่งการเกิดและการเสื่อม.
สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ตรัสไว้แล้วว่า
สัตว์ทั้งหลายมีที่สุด พระนิพพานที่ไม่เกิด ไม่มีที่สุด
สัตว์ทั้งหลายไม่ปรากฏในที่สุด เราได้ประกาศที่สุด
ในสัตว์แล้ว."
คำว่า "เข้าถึงแสงทั้งหมด" ได้แก่สมบูรณ์ด้วยแสงโดยประการทั้งปวง. จริงอยู่ นอกจากพระนิพพานแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นที่มีแสงกว่า มีความโชติช่วงกว่า มีที่สุดที่หมดจดกว่า หรือขาวกว่า
อีกอย่างหนึ่ง พระนิพพานเป็นแดนเกิดจากที่ทั้งปวงทีเดียว ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ไม่มี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นแดนเกิดโดยประการทั้งปวง. จริงอยู่ ในทิศตะวันออกเป็นต้น ชื่อว่าในทิศโน้น ไม่พึงกล่าวว่า ไม่มีพระนิพพาน.
อีกอย่างหนึ่ง คำว่า "แสง" เป็นชื่อของท่า.
ชื่อว่ามีท่าทุกแห่ง เพราะทุกแห่งมีท่า. เขาเล่าเกี่ยวกับพระนิพพานว่า ผู้อยากจะข้ามมหาสมุทรโดยที่ใดๆ ที่นั้นๆ แล้วย่อมเป็นท่า, ชื่อว่าที่ที่ไม่ใช่ท่า ย่อมไม่มีฉันใด ในกัมมัฏฐาน ๓๘ อย่าง ผู้ประสงค์จะข้ามไปพระนิพพานด้วยหัวข้อสำคัญใดๆ หัวข้อนั้นๆ แลย่อมเป็นท่า, ไม่มีกัมมัฏฐานที่ชื่อว่าไม่เป็นท่าของพระนิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน,
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "เป็นท่าทุกแห่ง".
คำว่า "นั้นแห่งแผ่นดิน เพราะอรรถว่าแผ่นดิน" ความว่า พระนิพพานนั้นเป็นสภาพที่ไม่เป็นไปตามแผ่นดิน เพราะอรรถว่าแผ่นดิน และไม่เป็นไปตามน้ำเป็นต้น อื่นจากแผ่นดินนั้น เพราะสภาพแห่งน้ำเป็นต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งพระดำรัสว่า ธรรมชาติที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมดอันเป็นวิสัยของบุคคลแบบเธออันใด ธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาติที่พึงรู้แจ้ง เห็นไม่ได้ไม่มีที่สุด ท่าทุกแห่งเป็นธรรมชาติที่ไม่เป็นไปตาม (อะไรๆ) เพราะอรรถว่าทั้งหมดของธรรมชาติ ทั้งหมดนั้น ดังนี้.
____________________________

http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=551


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 26 พ.ย. 2011, 07:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 06:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ยิ่งสงบ เสียงยิ่งดัง ฟังชัดหู
ยิ่งได้รู้ ยิ่งไม่รู้ ยิ่งไม่ชี้
ยิ่งสว่าง ยิ่งไม่เห็น เช้าเย็นมี
ยิ่งสุขดี นิพพานจริง ยิ่งไม่มี :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 06:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เล่านิทานให้ฟังเรื่องมีอยู่ว่า......เจ้าสำนักๆหนึ่ง(ชิกไปแล้ว)ก็เอาหลวงพ่อวัดปากน้ำมาหากิน ตอนนี้ยิ่งถลำมากกว่าตัดต่อคำสอนหลวงพ่อไปแล้วด้วย(หลักฐานมี)เพื่อเรียกทรัพย์

แล้วพอดีก็มีเจ้าคุณที่ทิฐิอุทเฉทิฏฐิที่แก่กล้ามากๆด้วยได้จังหวะถีบตัวเองขึ้นมา อาศัยเหตุการณ์แทรกแซงไปเลย ก็เลยมีสาวกเจ้าคุณที่เป้นอนัตตาตกขอบไปมากมายแบบทุกวันนี้ s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 06:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ที่ที่ไม่มีขันธ์ นั้นอยู่ไหน
ใครหาได้ ก็ได้พบ สพนิพพาน
ทุกๆที่ มีแต่ขันธ์ อยู่ทั้งนั้น
ทุกสถาน หานิพพาน นั้นไม่เจอ :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 08:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: เอาอะไรเพื่ออะไร ถามใจดู
อย่างที่รู้ ไม่มีอะไรได้อะไร
สุขและทุกข์เกิดแล้วดับลับสลาย
เกิดเจ็บตาย มลายสิ้น ทั่วดินฟ้า :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้าที่ 157

อนุรุทธเถรคาถา

.... ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นดวงประทีป

ของชาวโลกกับทั้งเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน

ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัยได้มีขึ้นแล้ว บัดนี้ธรรม

เหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของพระมหามุนี ได้สิ้นสุด

ลงแล้ว ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน..

แล้ว จิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ บรรทัดที่ ๗๘๕๐ - ๗๘๗๔. หน้าที่ ๓๓๘.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_pa ... agebreak=1


ให้ตรัสรู้เหล่านี้ ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงแสวง
หาคุณอันยิ่งใหญ่ ก็ตรัสสรรเสริญภิกษุนั้นว่า เป็นผู้หมดอาสวะ พระ-
ศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว เสด็จมาหาเรา
ด้วยมโนมยิทธิทางกาย เมื่อใด ความดำริได้มีแก่เรา เมื่อนั้น พระ-
พุทธเจ้าทรงทราบความดำริของเราแล้ว ได้เสด็จเข้ามาหาเราด้วยพระฤทธิ์
แล้วทรงแสดงธรรมอันยิ่งแก่เรา พระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีในธรรมเครื่อง
ไม่เนิ่นช้า ได้ทรงแสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้าแก่เรา เรารู้ทั่วถึงพระธรรม
เทศนาของพระองค์แล้ว เป็นผู้ยินดีในพระศาสนา ปฏิบัติตามคำพร่ำ
สอนอยู่ เราบรรลุวิชชา ๓ โดยลำดับ ได้ทำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
เสร็จแล้ว เราถือการไม่นอนเป็นวัตรมาเป็นเวลา ๕๕ ปี เรากำจัดความ
ง่วงเหงาหาวนอนมาแล้วเป็นเวลา ๒๕ ปี ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคจะ
เสด็จดับขันธปรินิพพาน ภิกษุทั้งหลายถามเราว่า พระผู้มีพระภาค
ปรินิพพานแล้วหรือยัง เราได้ตอบว่า ลมหายใจออกและหายใจเข้ามิได้
มีแก่พระผู้มีพระภาค ผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่น คงที่ แต่พระองค์ยังไม่
ปรินิพพานก่อน พระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุ ผู้ไม่มีตัณหาเป็นเครื่องทำ
ใจให้หวั่นไหว ทรงทำนิพพานให้เป็นอารมณ์คือ เสด็จออกจากจตุตถ-
ฌาน แล้วจึงจะเสด็จปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคทรงอดกลั้นเวทนา ด้วย
พระหฤทัยอันเบิกบาน ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคผู้เป็นดวงประทีปของชาว
โลกกับทั้งเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน ความพ้นพิเศษแห่งพระ-
หฤทัยได้มีขึ้นแล้ว บัดนี้ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของพระมหา
มุนีได้สิ้นสุดลงแล้ว ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว
จิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป
ดูกรเทวดา บัดนี้ การอยู่อีกต่อไปด้วยอำนาจการอุบัติในเทพนิกาย ย่อม
ไม่มี ชาติสงสารสิ้นไปแล้ว บัดนี้ การเกิดในภพใหม่มิได้มี ภิกษุใด
รู้แจ้งมนุษยโลก เทวโลก พร้อมทั้งพรหมโลกอันมีประเภทตั้งพัน ได้

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียใจด้วยนะคุณโกวิทย์การอุบัติในเทพนิกายยังอยู่ในภพ นิพพานท่านไม่กล่าวว่าเป้นภพ

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=64&t=40107&start=180


พระสูตรบางส่วนที่ผมยกชี้ชัดแล้ว
พอกันทีกับการบิดเบือน ว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ตายแล้วขาดสูญ
:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ดูกรอาวุโสยมกะ ทราบว่า ท่านเกิด
ทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพ
เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีกดังนี้
จริงหรือ
ท่านยมกะตอบว่า
อย่างนั้นแล ท่านสารีบุตร.

(อ่านต่อและพึงสำเหนียกไว้ในใจ)
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ บรรทัดที่ ๒๔๔๗ - ๒๕๘๕. หน้าที่ ๑๐๖ - ๑๑๒.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 22:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อใดที่ยอมรับว่าขันุธ์(กายใจ) ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนแต่อย่างใด
เมื่อนั้นก็จะหมดปัญหาเรื่องความตายเรื่องความเกิด

มีตัว มีเกิดมีตาย
ไม่มีตัว ไม่มีเกิดไม่มีตาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 23:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


มีผัสสะ มีเวทนา
ผัสสะดับ เวทนาดับ

มี ไม่นิพพาน
นิพพาน ต้องไม่มี

ใจที่ยังไม่ถูกปรุง ใจที่ยังไม่เป็นอะไรๆ ใจที่ยังไม่มีอะไรๆ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2011, 03:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือ วิปัสสนาภาวนา ของ ฐิตวณฺโณ ภิกฺขุ ปี 2535 ครับ

สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์
สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

ธรรม ในที่นี้มีความหมายกว้างกว่าสังขาร คือหมายถึงพระนิพพานด้วย พระนิพพานจัดเป็นวิสังขาร คือธรรมที่ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่เป็นสภาวะที่เที่ยงแท้แน่นอน และเป็นสุขตลอดกาล แต่พระนิพพานก็เป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตนและหาเจ้าของไม่ได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา แต่ไม่ได้ตรัสว่า ธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง หรือตรัสว่า ธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ ตรัสเพียงแต่ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ตรัสเฉพาะสังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

สังขาร2 มี2อย่างคือ
1 อุปาทินนกสังขาร
2 อนุปาทินนกสังขาร สังขารทั้ง2เป็นสังขารในพระไตรลักษณ์ หมายถึงสังขารทั้งปวงไม่ใช่สังขารที่มีใจครองอย่างเดียว

สังขาร3 ได้แก่
1 กายสังขาร
2 วจีสังขาร
3 จิตตสังขาร

สังขาร3 อีกอย่างหนึ่ง
1 ปุญญาภิสังขาร บุญ
2 อปุญญาภิสังขาร บาป
อเนญชาภิสังขาร ความไม่หวั่นไหว ได้แก่อรูปญาณ4

สังขารในพระไตรลักษณ์หมายถึงสังขารที่มีใจครองและสังขารที่ไม่มีใจครอง จึงรวมสังขารในขันธ์5ด้วย
ดังนั้นไม่ว่าสังขารชนิดไหน ย่อมตกอยู่ภายใต้สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะที่เหมือนกัีนของสังขารทั้งปวง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2011, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
จากหนังสือ วิปัสสนาภาวนา ของ ฐิตวณฺโณ ภิกฺขุ ปี 2535 ครับ
สังขาร2 มี2อย่างคือ
1 อุปาทินนกสังขาร
2 อนุปาทินนกสังขาร สังขารทั้ง2เป็นสังขารในพระไตรลักษณ์ หมายถึงสังขารทั้งปวงไม่ใช่สังขารที่มีใจครองอย่างเดียว
สังขารในพระไตรลักษณ์หมายถึงสังขารที่มีใจครองและสังขารที่ไม่มีใจครอง จึงรวมสังขารในขันธ์5ด้วย
ดังนั้นไม่ว่าสังขารชนิดไหน ย่อมตกอยู่ภายใต้สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะที่เหมือนกัีนของสังขารทั้งปวง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

คุณstudentครับ บทความที่คุณไม่เอามา เจ้าของบทความอธิบายความ
ในลักษณะของบุคคลที่ยังติดเรื่อง สักกายทิฐิ

คนที่ยังติดสักกายทิฐิ คือคนที่ยังยึดติดในรูปกายครับ
ผัสสะที่เกิดจากรูปกายเมื่อใด จิตจะเข้าไปยึดเป็นตัวเป็นตน
ความหมายก็คือ เมื่อเกิดผัสสะขึ้นจิตจะเข้าไปยึด อายตนะภายนอกและตัว
ที่ทำให้เกิดอายตนะภายนอกมาเป็นหรือตัวตนของตนเองครับ

พอจะพูดให้ฟังง่ายๆ ผัสสะของเรามันย่อมเกิดที่จิตเรา
อย่างเช่น ตามองไปที่รถ ตาเป็นอายตนะภายในของเรา
รูป(ไม่ใช่ตัวรถ) เป็นอายตนะภายนอกของเรา ส่วนตัวที่เป็นเหล็ก
เป็นโครงสร้างของรถมันเป็นธรรมชาติภายนอก เป็นตัวทำให้เกิดอายตนะภายนอก
แต่ไม่ใช่อายตนะภายนอก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา ที่เกี่ยวก็เป็นแค่รูปของมัน

บทความนี้มันผิดตรงที่กล่าวว่า อนุปาทินนกสังขาร เป็นไตรลักษณ์
กล่าวแบบนี้คลาดเคลื่อนครับ

ไตรลักษณ์จะเกิดได้แต่เฉพาะ อุปาทินนกสังขารเท่านั้น
ลักษณะของไตรนั้นหมายถึงสาม ดังนั้นไตรลักษณ์ต้องมีอาการสามอย่าง
คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ที่สำคัญที่สุดจะต้องมีสามัญยลักษณ์ครบสามอย่าง
จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ นั้นก็คืออนิจจัง ทุกขังและอนัตตา

ตัวรถหรือโครงสร้าง อาจพังไป แต่ตัวรถเองมันไม่ทุกข์
เพราะมันไม่มีจิตใจที่จะไปรับรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2011, 06:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


กาย สุดท้ายกลายเป็นลมน้ำดิน
ใจ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆทั้งหลายหาความเที่ยงแท้แน่นอนอะไรมิได้.

ความเห็น ความรู้ต่างๆทั้งหลาย เป็นเพียงสักว่าความรู้เป็นเพียงสักว่าความเห็น
ไม่สัตว์ไม่ใช่บุคคลตัวตนอย่างไร.

ความรู้ความเห็น เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 158 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร