ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความหมายของคำว่าบุญและกุศล http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=40022 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | คนบนเขา [ 04 พ.ย. 2011, 15:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | ความหมายของคำว่าบุญและกุศล |
คำว่าบุญกับคำว่ากุศลเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ เพราะได้ยินบ่อยกับคำว่า “ทำบุญทำกุศล” |
เจ้าของ: | นายฏีกาน้อย [ 04 พ.ย. 2011, 17:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความหมายของคำว่าบุญและกุศล |
บุญ เป็นชื่อของความสุขครับ กุสล เป็นชื่อของปัญญา ความฉลาด ที่สามารถตัด อกุศลต่างๆ เช่น บุญกิริยวัตถุ ๑๐ หรือบารมี ๑๐ ฯลฯ มีตัวการปฏิบัติอยู่ภายในอย่าง บุญกริยาวัตถุ ๑๐ ย่อลงก็ได้แก่ ทานมัย ๑ ศีลมัย ๑ ภาวนามัย ๑ หรือทานศีลภาวนา บุคคลใดปฏิบัติมีการรักษาศีล ให้ทานเสียสละแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่นคนรอบข้าง เขาย่อมเป็นคนไม่ตระหนี่ ไม่หวงแหน ไม่โกรธ มีเมตตากรุณาต่อคนอื่นๆ เป็นพื้นฐานให้จิตใจมีกำลัง ในกุศลมากยิ่งขึ้นคือ ทำให้จิตใจที่หยาบ มีความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้นเบาบางลงไป นี้เพราะอาศัยบุญที่ทำ บารมีที่สร้างฯลฯ และในบรรดากุศลหรือบารมีต่างๆ ก็เป็นบันไดให้เข้าถึง ศีลสมาธิปัญญา ยิ่งๆ ขึ้นไปเช่น ศีลเป็นการกำจัดบาป ความเดือดร้อนความทุกข์ จากกิเลส อย่างหยาบทางกายทางวาจา คือการกระทำและคำพูดนั่นเอง สมาธิเป็นการกำจัดบาป หรืออกุศล คือไม่ดี ไม่ฉลาด ไม่มีปัญญาก็ได้ จากกิเลสอย่างกลาง เรียกว่าปริยุฏฐานกิเลส จำพวกความอยาก ความหลง ความฟุ้งซ่าน ความลังเลใจ ไม่แน่ใจ สงสัยต่างๆ นี้เป็นกิเลสอย่างกลาง ที่อาศัย สมาธิกำจัด บาปหรืออกุศล ที่ไม่ดีเหล่านี้ออกไป หากคนเราไม่ หมั่นสร้างบุญ ทำทานบริจาค ให้สิ่งของจำเป็นแก่คนที่ควรให้ ตลอดจนให้ ความรู้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของ นี้ก็เป็นบุญกิริยาวัตถุข้อหนึ่งเหมือนกัน หรือเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างนี้ก็เป็นการ ขวนขวายช่วยเหลือ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทองข้าวของเสมอไป เป็นบุญอย่างหนึ่งเช่นกัน สุดท้ายปัญญา คือวิชชา คือความรู้ ที่ขจัดอกุศลโดยตรง ที่นอนเนืองอยู่ ในอนุสัย เรียกว่ากิเลสอย่างละเอียด อนุสัยกิเลส เป็นตัวอกุศลที่มีอยุ่ลึกๆ ในทุกตัวตนบุคคล บางคนอาจชอบทำดี แต่พอเห็นใครดีกว่าก็ทนไม่ได้ ยอมไม่ได้ จำพวกกิเลสอย่างละเอียดจำพวกนี้ก็จะปรากฏแล้วก็ทำให้พวก กิเลสอย่างกลาง คอยปั่นป่วนหัวจิตหัวใจ คันปากหงุดหงิดในที่สุด จนกลายเป็นกิเลสอย่างหยาบที่แสดงออกไปทาง การกระทำ และคำพูด สร้างบาป สร้างอกุศลให้แก่ตนเอง เพราะไม่มีศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง อบรมบ่มวาสนาให้พ้นไปจาก ความไม่รู้ ฯลฯ ขอเจริญพร สิกขา ๓ หรือ ศีลสมาธิปัญญา http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=124 กุศล หรือกุศลมูล ๓ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=67 อกุศล หรืออกุศลมูล ๓ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=68 บุญ หรือบุญกริยาวัตถุ ๑๐ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=89 บุญ หรือบารมี ๑๐ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=325 สิ่งที่ทำให้เกิดบุญและกุศล เรียกว่ากุศลกรรมบถ ๑๐ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=319 สิ่งที่ทำให้เกิดบาปและอกุศล เรียกว่าอกุศลกรรมบถ ๑๐ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=321 |
เจ้าของ: | asoka [ 07 พ.ย. 2011, 07:38 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ความหมายของคำว่าบุญและกุศล | ||
คนบนเขา เขียน: คำว่าบุญกับคำว่ากุศลเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ เพราะได้ยินบ่อยกับคำว่า “ทำบุญทำกุศล” ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 07 พ.ย. 2011, 20:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความหมายของคำว่าบุญและกุศล |
![]() ![]() ท่านอธิบายเรื่องความแตกต่างระหว่าง “บุญ” กับ “กุศล” ไว้ได้อย่างชัดเจนมากเลยค่ะ ศึกษาจากกระทู้ข้างล่างนี้นะค่ะ “บุญ” และ “กุศล” ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน พุทธศาสนิกชนควรแยกให้ได้ เพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=37495 |
เจ้าของ: | kokorado [ 08 พ.ย. 2011, 12:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความหมายของคำว่าบุญและกุศล |
ใช้อุเบกขาในการแก้ปัญหา ดังที่พระพุทธองค์ทรงแก้ปัญหาของพระองค์เอง ในขณะที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ก่อน เมือทรงแก้สำเร็จ ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว จึงออกมาช่วยแก้ปัญหาของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย จริงอยู่ที่พระพุทธองค์ทรงสอนเราให้มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ แต่นั่นหมายถึงการที่เรามีความสามารถเพียงพอที่จะช่วยเขาได้ ถ้าเรายังมีความสามารถไม่เพียงพอต่อการช่วยผู้อื่นแล้วพระองค์ก็ทรงสอนต่อไปอีกว่า เราควรตั้งอยู่ในอุเบกขาธรรม เมื่อแนะไม่ได้ สอนไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขาไป เป็นเรื่องสุดวิสัยจริง ๆ หรือ มิฉะนั้นก็แนะนำให้เขาได้ไปขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความสามารถท่านอื่นแทน แต่บางครั้งหากไปเจอคนหลอกลวง โดยอาศัยความเชื่อของคนที่ไม่ได้ทำการศึกษาธรรมะมาก่อนแล้ว ก็จะทำให้เสียเวลา เเละเกิดความผิดพลาดเข้าไปอีก เพราะบางคนเขาไปนึกว่าพระพุทธศาสนาสามารถบันดาลโชคลาภให้เขาโดยง่าย หรือบนบานศาลกล่าวขอในสิ่งต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องลงมือขวนขวาย เป็นต้น นั่นเป็นความเข้าใจผิด การตรัสรู้ธรรมรวมถึงการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นไม่ใช่จะได้มาโดยการอ้อนวอนขอร้องหรือการบนบานแต่ประการใดไม่ หากแต่ได้มาโดยการบำเพ็ญเพียรอย่างเอกอุ ด้วยการสร้างบารมีธรรมทั้ง 10 ประการ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบต่างหาก อันได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขา ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่องจนกลั่นตัวจากคำว่า "บุญ" เป็น"บารมี" หมายถึงการทำความดีทุกอย่างที่ยังไม่ได้ปรารถนาซึ่งพระนิพพานหรือความพ้นทุกข์นั้น เรียกว่า บุญ (ส่วนคำว่า กุศล หมายถึงความฉลาดในการทำบุญที่เรียกว่า บุญกุศล ถ้าฉลาดในการสร้างบารมีก็เรียกว่า กุศลบารมี ถ้าฉลาดในการวางแผนก็เรียกว่า กุศโลบาย = กุศล+อุบาย ถ้าทำโดยไม่ฉลาดก็เรียกว่า อกุศล เช่น ทำอะไรแล้วเดือดร้อนตนเองภายหลัง ก็จัดเป็นอกุศลทั้งสิ้น เรียกกันทั่วไปว่า บาปอกุศล) |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |