วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 17:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2011, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอะไรไว้ ด้วยคำเป็นต้นว่า

"โส อิมินา จ" ดังนี้

ตอบว่า พระองค์ทรงแสดงปัจจัยสมบัติ คือ การถึงพร้อมด้วยปัจจัย

ของภิกษุผู้อยู่ในป่า

ด้วยว่าปัจจัย ๔ คือ

ศีลขันธ์ ๑

อินทรีย์สังวร ๑

สติสัมปชัญญะ ๑

ความสันโดษ ๑ .

เหล่านี้ไม่มีแก่ภิกษุใด การอยู่ในป่า ก็ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ภิกษุนั้น

หมายความว่า ภิกษุนั้นจะต้องถึงความเป็นผู้อัน

ใคร ๆ พึงตำหนิติเตียน กล่าวเปรียบด้วยสัตว์เดรัจฉาน และนายพรานป่า.

เทวดาผู้สิงอยู่ในป่า ย่อมประกาศคำให้ได้ยินเสียงอันน่ากลัวว่า จะมีประโยชน์

อะไร ด้วยการอยู่ป่าของผู้ลามกเห็นปานนี้ พวกมนุษย์ทั้งหลายจะพากันเอามือ

ลูบคลำศีรษะกระทำอาการให้เธอหนีไป ความไม่มียศของเธอย่อมฟุ้งไปว่า

ภิกษุชื่อโน้นเข้าไปอยู่ป่าแล้วสร้างกรรมอันลามกอย่างนี้ ๆ ก็ปัจจัย ๔ เหล่านี้

มีอยู่แก่ภิกษุใด การอยู่ในป่าก็ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ภิกษุนั้น เพราะว่า เมื่อ

เธอพิจารณาศีลของตน เมื่อไม่เห็นจุดดำด่างแต่สักอย่างหนึ่ง

เธอก็จะยังปีติปราโมชให้เกิดขึ้นแล้ว

ก็พิจารณาปีตินั้นอยู่ โดยความเสื่อมไปสิ้นไป

แล้วย่อมหยั่งลงสู่ภูมิแห่งพระอริยะ.

ว่าด้วยคนดุและคนสงบเสงี่ยม

ครั้งนั้นแล นายจัณฑคามณีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็น

ปัจจัยทำให้บุคคลบางคนในโลกนี้ ถึงความนับว่า เป็นคนดุ เป็นคนดุ

ก็อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้บุคคลบางคนในโลกนี้ถึงความนับ

เป็นคนสงบเสงี่ยม เป็นคนสงบเสงี่ยม. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

ดูก่อนนายคามณี คนบางคนในโลกนี้ยังละราคะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละ

ราคะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยังละราคะไม่ได้เมื่อถูกคนอื่นยั่ว

ให้โกรธ ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ. คน

บางคนในโลกนี้ยังละโทสะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละโทสะไม่ได้ คนอื่นจึง

ยั่วให้โกรธ คนที่ยังละโทสะไม่ได้เมื่อถูกคนอื่นยั่วให้โกรธ ย่อมแสดง

ความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่าเป็นคนดุ. คนบางคนในโลกนี้ยังละ

โมหะไม่ได้ เพราะเป็นผู้ยังละโมหะไม่ได้ คนอื่นจึงยั่วให้โกรธ คนที่ยัง

ละโมหะไม่ได้ ถูกคนอื่นยั่วให้โกรธย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้น

จึงนับได้ว่าเป็นคนดุ ดูก่อนนายคามณี นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้คน

บางคนในโลกนี้ถึงความนับว่าเป็นคนดุ เป็นคนดุดังนี้.
ดูก่อนนายคามณี อนึ่ง คนบางคนในโลกนี้ละราคะได้

แล้ว เพราะเป็นผู้ละราคะได้ คนอื่นยั่วก็ไม่โกรธ คนที่ละราคะได้แล้ว

ถูกคนอื่นยั่วให้โกรธก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็น

คนสงบเสงี่ยม. คนบางคนในโลกนี้ละโทสะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโทสะ

ได้ คนอื่นยั่วก็ไม่โกรธ คนที่ละโทสะได้แล้วถูกคนอื่นยั่วให้โกรธ ก็ไม่

แสดงความโกรธ ให้ปรากฏ ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม คนบางคน

ในโลกนี้ละโมหะได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละโมหะได้ คนอื่นยั่วไม่ได้

คนที่ละโมหะได้แล้วถูกคนอื่นยั่วให้โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธปรากฏ

ผู้นั้นจึงนับได้ว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม. ดูก่อนนายคามณี นี้เป็นเหตุเป็น

ปัจจัยทำให้คนบางคนในโลกนี้ถึงความนับว่า เป็นคนสงบเสงี่ยม เป็นต้น

สงบเสงี่ยมดังนี้.

ในบทว่า โสรจฺจ เม ปโมจน นี้ ศีลนั้นใดอย่างนี้ว่า ความ


ไม่ละเมิดทางกาย ความไม่ละเมิดทางวาจานั่นแล เรียกว่า โสรัจจะ ความสงบ


เสงี่ยม ศีลนั้นไม่ประสงค์เอาในคาถานี้ ศีลนั้นได้กล่าวแล้วเทียว โดยนัยมีอาทิ


ว่า คุ้มครองกาย แต่พระอรหัตผลอันท่านประสงค์แล้ว ด้วยว่าพระอรหัตผล


แม้นั้น เรียกว่า โสรัจจะ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยินดีแล้วในนิพพาน


อันสุนทร.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 119

๕. ปุณณสูตร

พ. ....................................ดูก่อนปุณณะ ดีละ
เธออันเรากล่าวสอนแล้วด้วยโอวาทย่อนี้ จักอยู่ในชนบทไหน.
ท่านพระปุณณเถระทูลว่า พระเจ้าข้า ชนบทชื่อสุนาปรันตะมีอยู่
ข้าพระองค์จักอยู่ในชนทบนั้น.


ว่าด้วยมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเป็นผู้ดุร้ายเป็นประจำ

[๑๑๕] พ. ดูก่อนปุณณะ พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทดุร้าย
หยาบคายนัก ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า จักบริภาษเธอ
ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.


ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า
จักบริภาษข้าพระองค์ไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้ว่า
มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้เจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขาไม่ประหารเรา
ด้วยมือ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้
ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.


พ. ดูก่อนปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหาร
เธอด้วยมือเล่า ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.

ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ประหารข้าพระองค์ด้วยมือไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้
ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขาไม่
ประหารเราด้วยก้อนดิน ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์
จักมีความคิดอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.

พ. ดูก่อนปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหาร
เธอด้วยก้อนดินเล่า ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.


ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ประหารข้าพระองค์ด้วยก้อนดินไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิด
อย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้เจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขา
ไม่ประหารเราด้วยท่อนไม้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์
จักมีความคิดอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.


พ . ดูก่อนปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหาร
เธอด้วยท่อนไม้เล่า ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.


ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ประหารข้าพระองค์ด้วยท่อนไม้ไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิด
อย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้เจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขา
ไม่ประหารเราด้วยศาตรา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์
จักมีความคิดอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.
พ. ดูก่อนปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหาร
เธอด้วยศาตรา ในข้อนั้น เธอจักมีความคิดอย่างไร.


ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ประหารข้าพระองค์ด้วยศาตราไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์จักมีความคิด
อย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้เจริญหนอ เจริญดีหนอ ที่เขา
ไม่ปลงเราเสียจากชีวิตด้วยศาตราอันคม ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้
ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้
ข้าแต่พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.


[๑๑๖] พ. ดูก่อนปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ปลงเธอเสียจากชีวิตด้วยศาตราอันคมเล่า ในข้อนั้น เรอจักมีความคิดอย่างไร.


ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจัก
ปลงข้าพระองค์เสียจากชีวิตด้วยศาตราอันคมไซร้ ในข้อนั้น ข้าพระองค์
จักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
อึดอัดระอาเกลียดชังอยู่ด้วยกายและชีวิต ย่อมแสวงหาศาตราสำหรับปลง
ชีวิตเสีย มีอยู่ ศาตราสำหรับปลงชีวิตที่เราแสวงหาอยู่นั้น เราได้แล้ว
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้ ข้าแต่
พระสุคต ในข้อนี้ ข้าพระองค์จักมีความคิดอย่างนี้.


พ. ดีละ ๆ ปุณณะ เธอประกอบด้วยทมะและอุปสมะเช่นนี้ จักอาจ
อยู่ในสุนาปรันตชนบทได้ บัดนี้ เธอย่อมรู้กาลอันควรไปได้.
[๑๑๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณะชื่นชมยินดีพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำ
ประทักษิณแล้ว เก็บเสนาสนะแล้ว ถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทาง
สุนาปรันตชนบท เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ก็บรรลุถึงสุนาปรันตชนบท
ได้ยินว่า ท่านพระปุณณะอยู่ในสุนาปรันตชนบทนั้น ครั้งนั้นแล ใน
ระหว่างพรรษานั้น ท่านพระปุณณะให้ชาวสุนาปรันตชนบทแสดงตนเป็น
อุบาสกประมาณ ๕๐๐ คน ได้ทำวิชชา ๓ ให้แจ้งและปรินิพพานแล้ว


ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อว่าปุณณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนด้วย
พระโอวาทอย่างย่อนั้น ทำกาละแล้ว กุลบุตรนั้นมีคติเป็นอย่างไร มี
อภิสัมปรายภพเป็นอย่างไร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุลบุตรชื่อว่าปุณณะ เป็นบัณฑิต กล่าวคำจริง กล่าวธรรมสมควรแก่ธรรม
มิได้ลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรชื่อว่าปุณณะ
ปรินิพพานแล้ว.
จบ ปุณณสูตรที่ ๕

พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 256

...................................

[๖๔] ๑. อินทริยาคุตตทวารบุคคล บุคคลผู้มีทวารอันไม่

คุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นไฉน ?

ความเป็นผู้มีทวารอันไม่คุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ในข้อนั้น

เป็นไฉน ?

บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นรูปด้วยตา เป็นผู้ถือเอาซึ่งนิมิต เป็น

ผู้ถือเอาซึ่งอนุพยัญชนะ อกุศลธรรมทั้งหลายอันลามก คืออภิชฌา และโทมนัส

พึงซ่านไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวมอินทรีย์ คือ จักษุนี้อยู่ เพราะการไม่สำรวม

อินทรีย์ คือ จักษุใด เป็นเหตุ ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมอินทรีย์ คือจักษุ

พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 257

นั้น ย่อมไม่รักษาอินทรีย์ คือ จักษุ ย่อมไม่ถึงความสำรวมในอินทรีย์ คือ

จักษุ ฟังเสียงด้วยหู ฯลฯ สูดกลิ่นด้วยจมูก ฯลฯ ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ ถูกต้อง

โผฏฐัพพะด้วยกาย ฯลฯ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว เป็นผู้ถือเอาซึ่งนิมิต เป็น

ผู้ถือเอาซึ่งอนุพยัญชนะ อกุศลธรรมทั้งหลายอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัส

พึงซ่านไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวมอินทรีย์ คือ ใจใดเป็นเหตุ ย่อมไม่ปฏิบัติ

เพื่อสำรวมอินทรีย์ คือ ใจนั้น ย่อมไม่รักษาอินทรีย์ คือ ใจ ย่อมไม่ถึงความ

สำรวมอินทรีย์ คือ ใจ การไม่คุ้มครอง การไม่ปกครอง การไม่รักษา การไม่

สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ เหล่านั้นอันใด นี้ชื่อว่า ความเป็นผู้มีทวารอันไม่คุ้มครอง

แล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย บุคคลประกอบด้วยความเป็นผู้มีทวารอันไม่คุ้มครอง

แล้วในอินทรีย์ทั้งหลายนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีทวารอันไม่คุ้มครองแล้วใน

อินทรีย์ทั้งหลาย.

๒. โภชเนอมัตตัญญูบุคคล บุคคลผู้ไม่รู้จักประ-

มาณในโภชนะ เป็นไฉน ?

ความเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะในข้อนั้น เป็นไฉน ? บุคคล

บางคนในโลกนี้ไม่พิจารณาแล้ว โดยแยบคาย บริโภคซึ่งอาหารเพื่อเล่น เพื่อ

มัวเมา เพื่อประดับ เพื่อตกแต่ง ความเป็นผู้ไม่สันโดษ ความเป็นผู้ไม่รู้จัก

ประมาณในโภชนะนั้น ความไม่พิจารณาในโภชนะอันใด นี้เรียกว่า ความ

เป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้ไม่รู้จัก

ประมาณในโภชนะนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ.



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของมารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2011, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 96 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร