วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 17:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2011, 14:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




มีแต่เหตุกับผล_resize_resize.jpg
มีแต่เหตุกับผล_resize_resize.jpg [ 40.89 KiB | เปิดดู 6800 ครั้ง ]
:b48: :b8:
เพราะ เหตุกับปัจจัย จึงมีผลเป็นขยะขึ้นในใจ

รูปภาพ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2011, 22:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1772_resize.JPG
GEDC1772_resize.JPG [ 69.79 KiB | เปิดดู 6783 ครั้ง ]
onion
ทำอย่างไรก็ได้ให้ความคิดนึกหยุดระงับไป ใจจะพ้นทุกข์และเป็นสุขทันที

"สัญญาคือความทรงจำเป็นขยะใจและ เป็นอุปาทานตัวการใหญ่ ทำให้เกิดความปรุงแต่ง(สังขาร)ทุกข์จึงเกิดอยู่ร่ำไป
การภาวนาคือการการหยุดความนึกคิดเสียให้ได้

จะหยุดชั่วคราวด้วย สมถะภาวนา

หรือจะหยุดถาวรด้วยวิปัสสนาภาวนา

ก็ล้วนแล้วแต่จะทำให้ชีวาพบสุขแท้จากธรรม..."

:b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 08:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
เมื่อยังไม่มีท่านใดแสดงความเห็น ก็ขออนุญาต เล่าต่อนนะครับ

ความในโอวาทปาติโมกข์ท่อนแรกคือ

1.สัพพปาปัสสะ อกรณัง = การไม่ทำบาปทั้งปวง ได้แก่การละเว้นตามศีล
2.กุศลัสสูปสัมปทา = การทำกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่การปฏิบัติตามธรรม ตามกุศลกรรมบท 10 อย่าง

3.สะจิตตะปริโยทปนัง = การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือเจริญมรรค 8

พุทธโอวาทข้อที่ 3 นี้เกี่ยวข้องกับเรื่อง ขยะใจเป็นอยางยิ่ง เพราะคำว่าชำระจิต นั้น แสดงว่า จิตอันหมายถึงจิตของปุถุชน กัลยาณชน หรือแม้แต่พระอริยบุคคลชั้นต้นทั้ง 3 ชั้น ย่อมจะยังมีสิ่งสกปรกคือ กิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฐิ แปดเปื้อนอยู่ มากน้อย ตามแต่ระดับชั้นการพัฒนาของจิตเจ้าของแต่ละดวง

ดังนั้นท่านที่หวังจะชำระจิต ซักฟอกจิตของตนให้ขาวรอบ ซึ่งจะขาวได้จนรอบนั้นต้องถึง อรหัตผล หมดสังโยชน์ทั้ง 10 อย่างโดยสิ้นเชิงแล้วจึงจะขาวรอบ จึงต้องเพิ่มความเข้มข้นในการศึกษาเจาะลงตรงเรื่อของ วิปัสสนาภาวนา หรือการเจริญมรรค 8 ให้ดี ว่าจะต้องรู้เรื่องนี้ละเอียดเพียงใด ขนาดไหน จึงจะนำไปสู่ปฏิบัติการ หรือภาวนามยปัญญาที่เปี่ยมประสิทธิภาพและให้ผลเร็วทันในปัจจุบันชาตินี้

ในลานธรรมเสวนาแห่งนี้ มีอยู่หลายกระทู้ที่เน้นเรื่องวิปัสสนาภาวนาโดยตรง ลองพิจารณาค้นหา ศึกษาดูนะครับ หรือจะยกมาสนทนากันในกระทู้นี้ด้วยก็คงจะยิ่งเป็นการดี
ขอให้โกยขยะออกจากใจกันให้ได้เยอะๆ และเหลือน้อยที่สุดหรือหมดไปในชาตินี้ให้ได้นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2011, 16:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ใจเราเปรียบเหมือนถังขยะใบมหึมา เราได้เก็บสะสมขยะ 2 ประเภทไว้ในถังขยะใจนี้ คือ
1.ขยะบุญ
2.ขยะบาป
เมื่อได้นั่งสงบดูกายสังเกตจิตใจทีไรก็เหมือนได้กลับไปเปิดดูขยะที่มีอยู่ในจิต

ใครมีขยะบุญมากก็จะพบแต่ความสะอาด สุขกาย สงบใจไม่เดือดร้อน

ใครมีขยะบาปสะสมไว้มากก็จะได้รับแต่ผลเป็นความทุกข์ เศร้าหมอง เดือดร้อนกายใจ

สมถะภาวนา จะเปรียบเหมือนการพยายามที่จะปิดฝา กลบบัง ถังขยะไว้เพื่อไม่ให้กลิ่นเหม็นหรือภาพอันไม่น่าดูเล็ดลอดออกมา

ส่วนการทำวิปัสสนาภาวนานั้น เปรียบเหมือนการหันกลับเข้าไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงคือขยะหรือผลบุญบาปที่มีอยู่ในใจทั้งหมดแล้วหยิบ โกยเอาขยะทั้งหลายนั้นออกทิ้ง
จนกว่าจะหมดสิ้นไปจากถังขยะ หรือเบาลงจนพอจะยกเททิ้งได้ หมดขยะก็หมดภาระ

1 อารมณ์ คือ ขยะ 1 ชิ้น ถ้าสามารถนิ่งรู้ นิ่งสังเกตมันไปโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ จนอารมณ์นั้นและลูกหลานที่เกิดจากอารมณ์นั้น ดับไปต่อหน้าต่อตา ขยะชิ้นนั้น หรืออุปาทานในเรื่องนั้นๆก็จะหายไปจากใจ
ไม่กลับมาเป็นภาระให้ต้องขุดคุ้ย เก็บ โกย อีก

ใครขยันนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ ไม่ช้าไม่นาน ขยะในใจเขาก็จะลดน้อย เบาบาง จนในที่สุดหมดเกลี้ยง เมื่อขยะหมดหรือใกล้จะหมด เบาพอยกได้แล้ว ก็

ทุบถังขยะ คือความเห็นผิดว่าเป็นตัวกู ใจกู ของกู ทิ้งไปเสีย ก็จะหมดที่จะให้ขยะค้างอยู่ หมดภาระเรื่องขยะกันเสียที

ตอนนี้ต้องอดทน มีวิริยะ อุตสาหะ มานะบากบั่น หันหน้าเข้าไปรู้กายรู้จิต ลงปัจจุบัน จนกว่าจะทำลายความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเราให้ตายขาดจากใจได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญอันดับที่ 1

เรื่องของถังขยะใจ เมื่อพิจารณาต่อไปให้ลึกซึ้งปรากฎว่า สอดคล้องและกลมกลืนกับ โอวาทปาติโมกข์ได้เป็นอย่างดียิ่งเลย
ลองพิจารณากันดูซิครับ


1.ละชั่ว คือการไม่เอาขยะบาปเติมลงไปใหม่
2.ทำดี คือการเลือกรับและใส่ลงไปเฉพาะขยะบุญ
3.ชำระจิตของตนให้ขาวรอบ คือเก็บโกยขยะทั้งบุญและบาปออกจนถังขยะเบาพอก็ยกเทขยะในใจทิ้งไปทั้งหมด
สุดท้ายทุบถังขยะใบใหญ่คือ สักกายทิฐิ หรืออัตตทิฐิ ทิ้ง แล้วเพียรเอาขยะออกจากถังขยะใบเล็กที่ซ้อน ซ่อน จม อยู่ในถังขยะใบใหญ่จนหมดหลังจากนั้นจึงทุบถ้งขยะใบเล็ก คือมานะทิฐิทิ้งไป ก็จะหมดกิจที่พึงทำทั้งปวงของชาวพุทธ

:b8:




1.ขยะบุญ คือดับความพอใจ ไม่พอใจ ทำให้เกิดศีล และสมาธิตามมา
2.ขยะบาป คือ ไม่สามารถดับความพอใจ ไม่พอใจ ทำให้เกิดความทุกข์ใจ
สมถภาวนา คือการสงบชั่วคราวเท่านั้นยังไม่มีปัญญาดับเหตุแห่งทุกข์ได้ (ผมเห็นด้วยกับฝาปิดถังครับ เหมือนการแก้ที่ปลายเหตุครับ)

วิปัสสนาภาวนา คือการเห็นสภาพตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาในการดับเหตุแห่งทุกข์ได้ (ก็คือเอาขยะออกจากถัง ไม่สะสมขยะใหม่เข้าไปอีก ทำให้ขยะเก่าเบาบาง การเอาขยะออกจากถัง นี่เรียกว่าการดับทุกข์สะสมครับ)

- ส่วนการทุบถังขยะ ที่ว่าไม่ใช่ตัวกู คือการดับทุกข์ธรรมชาติครับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย (เราจึงไม่กลัวแก่ ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย เราก็ดับทุกข์ทางใจได้ครับ) เห็นว่าถังขยะสุดท้ายต้องแตกสลาย หรือชำรุดไป
- ส่วนการดับการเกิด หรือการมีของถังขยะ ก็คือไม่สร้างขยะครับ (โลภ โกรธ หลง) ไม่มีขยะ
ก็ไม่มีถังขยะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2011, 15:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




chalermchai13_bigpi.jpg
chalermchai13_bigpi.jpg [ 33.4 KiB | เปิดดู 6746 ครั้ง ]
:b8:
[b]อนุโมนาสาธุกับอีกหนึ่งความเห็นที่ดีๆ ของคุณไม่เที่ยง เกิด ดับ ครับ[/b]
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2011, 07:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ในบรรดาขยะใจ หรือ อาสวะ สิ่งหมักดองอยู่ในใจ หรือสิ่งที่ทำให้ใจสกปรกนั้น

อวิชชาสวะ หรือขยะ "ไม่รู้" นั้น เป็นต้นเหง้าของการเกิดขยะที่เหลือทั้งหมด

การทำให้รู้ และ " รู้อย่างถูกต้อง" จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรกที่ผู้ตั้งปารถนาจะทำนิพพานให้แจ้งในชาตินี้พึงสำเหนียกไว้ในใจ และทำให้ได้ก่อน

"รู้ถูกต้องสำคัญที่สุด" นี่เป็นคำพูดของพระอาจารย์รูปหนึ่งที่มาจากเมืองไตย ประเทศพม่า ท่านกล่าวว่า

เมื่อรู้ถูกต้องแล้วย่อมจะทำให้เกิดลำดับของเหตุและผลอย่างนี้

รู้ถูกต้อง ทำให้ เห็นถูกต้อง

เห็นถูกต้องจะทำให้ คิดถูกต้อง

คิดถูกต้อง ทำให้ ทำถูกต้อง

ทำถูกต้อง ก็จักได้รับผลที่ถูกต้อง

ได้รับผลที่ถูกต้องแล้วย่อมจะเป็นคนที่ถูกต้อง

เป็นคนถูกต้องแล้วย่อมจะพูดและถ่ายทอดแต่สิ่งที่ถูกต้อง


ขอให้ผู้ที่รู้คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าจงเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นๆ ในวาระโอกาสจะสิ้นปีเก่า 2524 นี้ด้วยเทอญ

:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2011, 16:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b10: เกือบจะสิ้นปีเก่าแล้วมีวันหยุดเยอะแยะมากมาย ชวนกันไปเทขยะใจทิ้งกันเถิดครับ เพื่อจะได้ตื่นขึ้นมารับปีใหม่ด้วยใจที่เบาสบายและเป็นสุข
วัดและสำนักปฏิบัติธรรมมากหลายเปิดอ้ายินดีรับมีมากมาย สืบค้นหาเอาได้จาก Google และลานธรรม

สุขสันต์วารปีใหม่ เจริญใจ เจริุธรรมกันทุกท่านทุกคนนะครับ สาธุ
:b8: smiley น ต น ก ค ก ก ย ก ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2011, 17:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b4:
สัญญา ความจำหมายทั้งหมดในสมองนั่นคือขยะกองใหญ่ เป็นเชื้อไฟให้สังขารปรุงแต่งได้ เป็นที่เก็บไว้ของอุปาทาน

ทำสัญญาให้เป็นอนัตตาได้เมื่อไหร่ ก็จะลดขยะใจได้เป็นพะเรอเกวียน
s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2011, 18:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 06:57
โพสต์: 50


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b4:
สัญญา ความจำหมายทั้งหมดในสมองนั่นคือขยะกองใหญ่ เป็นเชื้อไฟให้สังขารปรุงแต่งได้ เป็นที่เก็บไว้ของอุปาทาน

ทำสัญญาให้เป็นอนัตตาได้เมื่อไหร่ ก็จะลดขยะใจได้เป็นพะเรอเกวียน
s005

สัญญา ความจำได้ หมายรู้ เป็นไตรลักษณ์อยู่แล้วนิครับ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย แก่ตัวลงจำอะไรไม่ได้แล้ว โรคอัลไซเมอร์ ก็คือ สัญญาอนิจจา นั่นเอง สัญญา เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สัญญานี้ ให้จำกลับลืม ให้ลืมกลับจำ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2011, 16:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:
ชิดชัย เขียน:
asoka เขียน:
:b4:
สัญญา ความจำหมายทั้งหมดในสมองนั่นคือขยะกองใหญ่ เป็นเชื้อไฟให้สังขารปรุงแต่งได้ เป็นที่เก็บไว้ของอุปาทาน

ทำสัญญาให้เป็นอนัตตาได้เมื่อไหร่ ก็จะลดขยะใจได้เป็นพะเรอเกวียน
s005

สัญญา ความจำได้ หมายรู้ เป็นไตรลักษณ์อยู่แล้วนิครับ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย แก่ตัวลงจำอะไรไม่ได้แล้ว โรคอัลไซเมอร์ ก็คือ สัญญาอนิจจา นั่นเอง สัญญา เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สัญญานี้ ให้จำกลับลืม ให้ลืมกลับจำ :b8:

:b1:
:b1: เอาเข้าจริงๆ มีสัญญาตั้งหลายอย่างที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปจากใจ อย่างเช่นชื่อ ชิดชัย ของคุณชิดชัย ถ้ามีใครมาแตะในทางลบเช่นด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคายแรงๆ ไม่ทราบว่ายังโกรธอยู่หรือเปล่าครับ
:b17: ฝ ก า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2011, 18:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 06:57
โพสต์: 50


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเชื่อพระพุทธเจ้าครับ ในพระไตรปิฏกท่านกล่าวไว้ว่า ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

คุณ asoka ไม่เชื่อ ผมก็ไม่ได้ติดใจนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 04:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




b20.jpg
b20.jpg [ 44.39 KiB | เปิดดู 6658 ครั้ง ]
ชิดชัย เขียน:
ผมเชื่อพระพุทธเจ้าครับ ในพระไตรปิฏกท่านกล่าวไว้ว่า ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คุณ asoka ไม่เชื่อ ผมก็ไม่ได้ติดใจนะครับ :b8:
:b16: เชื่ออย่างเดียวยังกินใช้ไม่ได้ นะครับ ต้องให้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลงใจจริงๆด้วยการปฏิบัติจริง เป้าประสงค์ของการถามคุณชิดชัยเรื่องปฏิฆะในใจของคุณนั้น มันปรากฏมีหรือไม่ ถ้าปรากฏแล้ว จะเอาไตรลักษณ์มาใช้อย่่างไร อยากให้แย้มสู่กันฟัง จะได้เป็นความรู้ จะได้เป็นแนวทาง ไปสู่ความสว่างอีก 1 แบบ 1 วิธี เจริญสุขเจริญธรรมในโอกาสปีใหม่โลกตามแบบคริสเตียนนะครับ ปีใหม่พุทธนี่ใหม่อยู่ตลอดทุกวินาที เพราะ มีแต่ปัจจุบันอารมณ์เท่านั้นที่ใหม่อยู่ทุกวินาที
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 19:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ asoka ไม่ทราบว่าพี่ใช่คนเดียวกับที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะรึป่าวครับ ดูจากความรู้ด้านพระไตรฯและบาลีแล้วผมคิดว่าพี่น่าจะใช่คนๆเดียวกันกับที่ผมคิดนะครับ
**เกี่ยวกับเรื่องสัญญานี่ผมได้เคยมีโอกาสอ่านจากหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งที่บอกว่าสัญญาในขันธ์ 5 นั้น เกิดจากสมอง ซึ่งผมเห็นว่ามันขัดกับธรรมที่ผมรู้อยู่นะครับ แล้วพอดีเข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้วเห็นพี่ asoka พูดว่าสัญญาเกิดจากสมองอยู่ในสมอง ก็เลยอยากจะขอคำอธิบายในเรื่องนี้ให้ชัดเจนหน่อยครับ เผื่อว่าผมเข้าใจผิดไปจะได้แก้ไขตัวเองให้ถูกต้อง ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ asoka ไม่ทราบว่าพี่ใช่คนเดียวกับที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะรึป่าวครับ ดูจากความรู้ด้านพระไตรฯและบาลีแล้วผมคิดว่าพี่น่าจะใช่คนๆเดียวกันกับที่ผมคิดนะครับ
**เกี่ยวกับเรื่องสัญญานี่ผมได้เคยมีโอกาสอ่านจากหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งที่บอกว่าสัญญาในขันธ์ 5 นั้น เกิดจากสมอง ซึ่งผมเห็นว่ามันขัดกับธรรมที่ผมรู้อยู่นะครับ แล้วพอดีเข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้วเห็นพี่ asoka พูดว่าสัญญาเกิดจากสมองอยู่ในสมอง ก็เลยอยากจะขอคำอธิบายในเรื่องนี้ให้ชัดเจนหน่อยครับ เผื่อว่าผมเข้าใจผิดไปจะได้แก้ไขตัวเองให้ถูกต้อง ขอบคุณครับ

:b8:
สวัสดีปีใหม่และเจริญธรรมครับคุณลูกพระป่า
ผมคงไม่ใช่คนเดียวกับที่คุณพูดถึงกระมังครับเพราะผมไม่ค่อยเก่งคัมภีร์มากนัก และ เคยสับสนมากเพราะคัมภีร์มาแล้ว ตอนนี้ผมเอามาจากคัมภีร์แค่ 2 - 3 สูตร กับคาถาและพุทธภาษิตอีกไม่กี่บทเอาเพียงแค่พอใช้สำหรับการทำวิปัสสนาภาวนาและเจริญมรรค 8 ได้ไม่นอกทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก็พอแล้วครับ


เรื่องสัญญานั้น เป็นเรื่องของนามธรรม ซึ่งอาจเข้าใจยากสักนิดหนึ่ง ถ้าจะว่าโดยธรรมนั้นสัญญาเป็นสิ่งที่ถูกเก็บไว้ในจิต ซึ่งคงยากสำหรับเราที่จะไปรู้ว่าสัญญาเก็บไว้ ในจิตอย่างไร

แต่จิตนี้เป็นสิ่งที่เกิดจากเหตุและปัจจัยกระทำต่อกัน โดยมีรูปเป็นปัจจัยได้แก่หทัยรูป หรือหัวใจอันเป็นที่ตั้งของมโนวิญญาณธาตุ คือประสาทรับรู้ของหัวใจ (เหมือนประสาทตา ประสาทหู ประสาทกาย ประสาทลิ้น ประสาทจมูก) เมื่อมีปัจจัยคือผัสสะเกิดขึ้นทางทวารทั้ง 6 จะเกิดการ รู้ คือจิตแรก ที่เรียกว่าวิญญาณขันธ์ แล้วส่งข้อมูลจากประสาทรับรู้ของทวารไปสู่มโนวิญญาณธาตุคือประสาทรับรู้ที่หัวใจที่นั่นจะเกิดกระบวนการทำงานร่วมกันของ เวทนา ความรู้สึก สัญญา ความจำหมาย และสังขาร ความนึก คิด ปรุงแต่งเกิดขึ้น

เบื้องแรกคลื่นสัญญาณส่งมาถึงมโนวิญญาณธาตุ ใจจะไปค้นข้อมูลความจำ(สัญญา)ซึ่งคาดเดาเอาเองว่าบันทึกไว้ในเซลสมองหรือรูปขันธ์ แล้วกลับมาปรุง (สังขาร)ที่ใจว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ จากนั้นเหตุ คืออัตตา ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน กู เรา ก็จะตอบโต้กับสัญญานั้นเป็นความรู้สึก(เวทนา)ยินดี(สุขเวทนา) ยินร้าย(ทุกขเวทนา)หรือเฉยๆ(อุเบกขาเวทนา) ถ้าสติปัญญาไม่รู้ทัน อัตตา ตัวเหต ก็จะพาปรุง(สังขาร)ต่อไปด้วยอำนาจของเวทนา
เกิดเป็น ตัณหา ความอยาก และสังขาร ความนึกคิดปรุงแต่งไปด้วยอำนาจความอยาก เป็นมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมไปตามลำดับ แล้วก็เกิดเป็นวิบากคือผลของกรรมหรือการกระทำให้ได้รับเป็นวงจรและลูกโซ่แห่งกรรมหมุนเวียนกันอย่างนี้ตลอดไป กระบวนการทำงานทั้งหมดก็จะถูกเก็บไว้ในสัญญาเช่นกัน เหมือนการบันทึกภาพและเสียงของกล้องวีดิโอ


ลองอ่านแล้วพิจารณาหาประโยชน์เอาเองนะครับ นี่เป็นเพียง 1 ความเห็นเท่่านั้น
:b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2012, 07:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
1.ขยะบุญ คือดับความพอใจ ไม่พอใจ ทำให้เกิดศีล และสมาธิตามมา
2.ขยะบาป คือ ไม่สามารถดับความพอใจ ไม่พอใจ ทำให้เกิดความทุกข์ใจ
Rec:สองข้อนี้คือสติปัฏฐาน 4 โดยแท้

สมถภาวนา คือการสงบชั่วคราวเท่านั้นยังไม่มีปัญญาดับเหตุแห่งทุกข์ได้ (ผมเห็นด้วยกับฝาปิดถังครับ เหมือนการแก้ที่ปลายเหตุครับ)

วิปัสสนาภาวนา คือการเห็นสภาพตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาในการดับเหตุแห่งทุกข์ได้ (ก็คือเอาขยะออกจากถัง ไม่สะสมขยะใหม่เข้าไปอีก ทำให้ขยะเก่าเบาบาง การเอาขยะออกจากถัง นี่เรียกว่าการดับทุกข์สะสมครับ)Rec:(ทุกข์สะสมกับอาสวะนีjเหมือนกันไหม?)

- ส่วนการทุบถังขยะ ที่ว่าไม่ใช่ตัวกู คือการดับทุกข์ธรรมชาติครับ (ดับสักกายทิฐิครับ)เกิด แก่ เจ็บ ตาย (เราจึงไม่กลัวแก่ ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย เราก็ดับทุกข์ทางใจได้ครับ) เห็นว่าถังขยะสุดท้ายต้องแตกสลาย หรือชำรุดไป Rec:(ยังไม่แตกสลายง่ายๆข้ามภพข้ามชาติได้ จนกว่าจะเกิดโสดาปัตติมรรคขึ้นมาทำลาย)

- ส่วนการดับการเกิด หรือการมีของถังขยะ ก็คือไม่สร้างขยะครับ (โลภ โกรธ หลง) ไม่มีขยะ Rec:(ใครเป็นผู้สร้างขยะ ไม่มีขยะอยู่ที่ไหน)ก็ไม่มีถังขยะครับ
:b20:
นี่ก็เป็นคำสรุปเรื่องถังขยะใจที่ดีอีกสำนวนหนึ่งของคุณไม่เที่ยง เกิดดับ ขออนุโมทนา และขอให้ทุบทิ้งถังขยะใจทั้งใบเล็กใบใหญ่ได้หมดสิ้นโดยเร็ววันเทอญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 165 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร