วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 18:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2011, 00:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2011, 15:36
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


คือ ดิฉันพยายามคิดหาธรรมะว่าข้อใดที่จะช่วยให้ดิฉันหายทุกข์จาก ชีวิตที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
และจะใช้ธรรมะข้อใดที่จะทำให้ดิฉันสามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ค่ะ

เรื่องก็คือ เมื่อประมาณ 3-4 เดือนก่อนพ่อดิฉันตรวจเจอว่าเป็นโรคตับแข็ง และคุณหมอสั่งห้าม
ทำงานหนักเด็ดขาด พ่อดิฉันจึงต้องออกจากงานเลยค่ะ เพราะก่อนที่จะตรวจเจอ สุขภาพท่าน
แย่มากแล้ว ตัวเหลือง ไม่มีแรง หมอให้พักผ่อนมากๆ ดูแลเรื่องการกินอาหารให้ดีที่สุด
และต้องทานยาต้านไวรัสตับอักเสบบีด้วย พ่อดิฉันเป็นไวรัสมาเกือบ ยี่สิบกว่าปีแล้วค่ะ
ดังนั้น เมื่อครอบครัวขาดเสาหลัก ดิฉันจึงต้องเป็นเสาหลักแทน เนื่องจากแม่ก็ป่วยหลายโรคค่ะ
ผ่าตัดหมอนรองกระดูก เป็นข้อเข่าเสื่อม และบิ่น เป็นความดัน โรคหัวใจ ทำงานหนักไม่ได้ค่ะ

เรื่องที่ดิฉันเป็นทุกข์ใจอยู่ขณะนี้ก็คือ เงินเดือนของดิฉัน ณ ปัจจุบันหมื่นกว่าบาท ซึ่งไม่สามารถ
เลี้ยงดูครอบครัวดิฉันได้เพียงพอเลยค่ะ ไหนจะซื้อของใช้ประจำวัน ค่ากินของพ่อและแม่
ค่าเดินทางไปทำงานของดิฉัน ค่ากินส่วนตัวของดิฉันเอง ดิฉันมีเพราะเงินทานข้าวแค่วันละ30 บาท
ซึ่งถ้าเกินกว่านี้ ก็ไม่มีเงินเพียงพอได้ทานข้าวครบเดือนนั้นแน่ๆ ค่ะ

ซึ่งดิฉันก็พยายามคิดหาทางออกว่าจะทำยังไงเพื่อหารายได้เพิ่มเติมจากเดิม เพราะดิฉันยังมีภาระอีก
อย่างหนึ่งซึ่งค่อนข้างหนัก คือการผ่อนบ้าน ซึ่งได้ไปรีไฟแนนซ์มาแล้วก่อนที่จะรู้ว่าพ่อดิฉันจะป่วย
ซึ่งเดิมคิดกันไว้ว่า ถ้าพ่อและดิฉันช่วยกันผ่อนก็พอไหว แต่เมื่อพ่อดิฉันป่วยสะแล้ว จึงไม่รู้จะทำยังไงค่ะ
เพราะดิฉันเองก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนนึงที่ความรู้ จบแค่ ปวส.ค่ะ แต่ว่าประสบการณ์การทำงานหลายปี
เพราะทำงานตั้งแต่เรียนจบ ซึ่งก็ไม่มีเงินเดือนเหลือมากพอที่จะไปเรียนต่อค่ะ

แค่ลำพังค่าใช้จ่ายที่บ้านก็มากแล้ว และไม่พอใช้จ่ายด้วยซ้ำ ดิฉันอยากขอคำแนะนำจากทุกท่านค่ะ

ดิฉันจะใช้ธรรมะข้อไหนดีคะ ที่จะทำให้ดิฉันสามารถหารายได้เพิ่มได้ และไม่เป็นทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้
สงสารพ่อ กับแม่มากค่ะ ที่ท่านก็แก่แล้ว แต่ดิฉันยังไม่สามารถดูแลท่านให้กินอิ่ม นอนอุ่นได้ค่ะ
ดิฉันจะทำอย่างไรดีค่ะ ไม่อยากบอกปัญหาให้พ่อกับแม่ได้รับรู้ค่ะ เพราะท่านจะยิ่งเครียดมากขึ้น และเป็นทุกข์
กับเราค่ะ เพราะทุกวันนี้ท่านก็ทุกข์มากอยู่แล้ว จากคนที่เคยมุ่งมั่นทำงานอย่างจิรงจัง มีเงินเดือนใช้จ่ายได้
แต่ทุกวันนี้เหมือนเค้าต้องพึ่งเราค่ะ บางทีพ่อก็เปรยๆ ว่าไม่น่าออกงานเลย ไม่น่าป่วยเลย จะได้ไม่เป็นภาระของลูก ดิฉันจะทำอย่างไรดีค่ะ สงสารพ่อกับแม่มากๆ เลยค่ะ ดิฉันอยากร้องไห้มากเลยค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไร
ดีแล้วค่ะ รบกวนทุกท่านกรุณาชี้แนะดิฉันด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2011, 04:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ธัมมะ อาจช่วยให้คลายทุกข์
แต่ เรื่องเงินทอง คงต้องหาแบบทางโลกละกระมังครับ

ทำงานอย่างมีธัมมะ ....................ดีไหม

ส่วนการหารายได้เพิ่ม
ผมว่าคงไม่พ้น การขายสินค้า นะครับ
การรับจ้าง คงไม่ได้ เพราะคุณเอง มีงานทำอยู่แล้ว

ซื้อมาในราคาทุน แล้วขาย ในราคาปลีก
แค่นี้ก็ได้เงิน

สามารถทำได้ 24 ชั่วโมง โดยใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ
ส่วนจะได้ยอดขายบ้างหรือไม่ ไม่มีใครรับประกันครับ ต้องลองดูเอง........เท่านั้นครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2011, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ คุณpanita

ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละค่ะ เหตุการณ์ไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นเสมอ ๆ เป็นธรรมดาของโลก
พระศาสดาจึงทรงตรัสว่าอย่าใช้ชีวิตด้วยความประมาท
ทำเหตุในวันนี้ให้ถูกตรง ผลที่จะได้รับในอนาคตย่อมถูกตรง ทำวันนี้ให้ดีที่สุดค่ะ
ธรรมะที่เราควรใช้เป็นหลักในการดำรงชีวิตคือ

1.อิทธิบาท 4
คำว่า อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ

๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น

ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน

ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้ ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ

วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง

จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วยอย่างเต็มที่

วิมังสา หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่

2.ความกตัญญู
พระพุทธศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี คนดีย่อมเป็นที่ปราถนาที่ต้องการในที่ทุกหนทุกแห่งในทุกกิจการ และในทุกยุคทุกสมัย คนดีทำให้ครอบครัวเจริญ โรงเรียนเจริญ ชุมชนเจริญ สังคมและประเทศชาติเจริญ คนดีอยู่ในครอบครัวใด โรงเรียนใดและสังคมใด ครอบครัว โรงเรียน และสังคมนั้นๆ ย่อมมีความสุข ความกตัญญู คือ คุณสมบัติและสัญลักษณ์ของคนดี กตัญญูกับกตเวทีรวมเป็นกตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมคู่กันเสมอ เป็นหลักถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของสัตบุรุษ คือ คนดี หรือคนในอุดมคตินั่นเอง ในสังคมชาวพุทธ คนมีกตัญญูกตเวทีย่อมเป็นผู้ควรค่าแก่ความรัก เกียรติ ศักดิ์ศรี และการยกย่องสรรเสริญจากผู้อื่น เพราะได้ปฏิบัติธรรมอันถือเป็นมงคลยิ่งข้อหนึ่ง คือ ความกตัญญู บุคคลย่อมมีชีวิตประสบแต่ความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง

ธรรมะข้อที่จะทำให้หารายได้เพิ่ม จริง ๆ แล้วไม่มีถ้ามีก็คงจะเป็นเพียงแค่ผลพลอยได้เท่านั้น
เช่น ถ้าเราปลูกต้นมะม่วง ผลที่ได้รับก็คือ ลูกมะม่วง แต่จากการที่เราได้ "ลูกมะม่วง" เราจะได้เงิน
มากหรือน้อยหรือไม่ได้เลยก็เป็นอีกเรื่อง(เป็นผลพลอยได้เท่านั้น)ดังนั้นการที่เราจะได้เงินมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องที่เราต้องบริหารจัดการด้วย "สติปัญญา" อีกขึ้นนึง
จะขอยกอีกตัวอย่างเพื่อจะได้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น ถ้าเราตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ผลที่ได้รับคือ สอบผ่านจบการศึกษาได้รับ ปริญญาบัตร แต่ผลจากการจบการศึกษาไม่ได้หมายความว่าเราจะร่ำรวย ความร่ำรวยต้องเกิดจากการทำงาน ถามว่าต้องทำงานอย่างไรจึงจะร่ำรวย ต้องถามตัวคุณเองว่า มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการไหม...อย่างนี้เป็นต้น..
จากที่ยกตัวอย่างก็คิดว่าคุณจขกท น่าจะเข้าใจมากขึ้น...
ดังนั้นจะขอแนะนำวิธีการเพิ่มรายได้ที่นอกเหนือจากงานประจำที่คุณทำอยู่ เช่นการรับงานมาทำที่บ้านเป็นลักษณะรับจ้างประกอบดอกไม้ประดิษฐ์ หรือประกอบของชำร่วยที่ใช้ในงานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ (ซึ่งงานเบา ๆ คุณพ่อคุณแม่น่าจะช่วยทำได้บ้าง) หรือคุณจะออกแบบขึ้นมาเองแล้วนำไปเสนอขายตามร้านขายของชำร่วย (ย่านพาหุรัด) หรืออาจจะทำลักษณะฝากขายก็ได้ งานประดิษฐ์หรือทำขนมแบบง่ายๆ คุณสามารถไปเรียนฟรีได้ที่ ศูนย์ฝึกอาชีพของกรุงเทพมหานคร สาขาใกล้บ้าน (สามารถเข้าไปดูข้อมูลในเว็ปไซด์ของ กทม.ได้ค่ะ) หรือการขายของทาง Internet ก็เป็นอีกช่องทางที่สามารถทำได้

แต่สิ่งสำคัญที่อยากจะแนะนำคือเรื่องการศึกษา คุณควรจะศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมให้ได้อย่างน้อยปริญญาตรี การศึกษาหาความรู้และประกาศณียบัตร ยังเป็นสิ่งจำเป็นมากในสังคมปัจจุบัน คุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายอะไร มหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือ ม.สุโขทัย เป็นช่องทางที่คุณสามารถศึกษาเล่าเรียนได้ด้วยเงินที่น้อยนิด...แต่ต้องใช้ความอดทนและความเพียรให้มาก คุณจึงจะสำเร็จการศึกษาได้
ขอย้ำว่าการศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับเรา และผลพลอยได้จากการที่เรามีความรู้จะนำมาซึ่งทรัพย์สินและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น...

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 06:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้คุณ Panita:
"คือ ดิฉันพยายามคิดหาธรรมะว่าข้อใดที่จะช่วยให้ดิฉันหายทุกข์จาก ชีวิตที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
และจะใช้ธรรมะข้อใดที่จะทำให้ดิฉันสามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ค่ะ"


คงต้องใช้ขันติความอดทน ในช่วงวิกฤตให้ได้ก่อนนะ คือพยายามทำใจให้นิ่ง มีสติเพราะทุกข์ที่คุณ Panita ประสบอยู่นั้น ที่จริงมันเป็นทุกขสัจจะที่มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้น นั่นคือทุกข์จากการเกิด-แก่-เจ็บ-ตายของเราและคนที่เรารัก แต่ว่าบังเอิญ เราอาจไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ก็ต้องเข้าใจและทำใจให้ได้ถึงโลกธรรมนี้นะครับ ความเข้าใจ รวมทั้งการหาโอกาสไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิก่อนนอนและแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายรวมทั้งตัวเราเองให้พ้นจากทุกข์กายทุกข์ใจ จะช่วยผ่อนคลายความทุกข์รวมทั้งลดละเลิกกิเลสความโลภความโกรธความหลงจากใจได้ นำใจให้ไปสู่ความสงบสุขได้ง่ายขึ้น

หลังจากมีสติและรู้สึกใจนิ่งสงบสบายดีจากการภาวนาสมาธิอย่างสม่ำเสมอแล้ว คุณ Panita ก็จะเริ่มมีความคิดที่แจ่มใสและพบทางออกของปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้นด้วย รวมถึงพยายามเสาะแสวงหาข้อมูลจากสื่อหรือแหล่งต่าง ๆ เช่นเพื่อนกัลยาณมิตร, หนังสือพิมพ์, google, youtube, facebook เป็นต้น เกี่ยวกับงานอาชีพเสริมที่สุจริต ที่ทำได้ ดังตัวอย่างที่คุณ ปลีกวิเวก แนะไว้เป็นต้น ที่พอจะช่วยให้ครอบครัวเรามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเพียงพอในแนวที่เราถนัดและเหมาะสมกับสภาพของเราที่สุด ข้อสำคัญเมื่อได้งานอาชีพเพิ่มที่เลือกดีแล้วต้องไม่หักโหมจนทำให้ร่างกายทรุดโทรมไปอีกคน ควรรักษาสมดุลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจของเราให้ดีอยู่เสมอ หากเห็นว่าส่วนตัวทานอาหารโดยใช้เงินเพียง 30บาท และสามารถอยู่ได้โดยไม่เจ็บไข้ได้ป่วยขาดธาตุอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเห็นว่าไม่ไหวร่างกายเราไม่มีสารอาหารเพียงพอมาต่อสู้โรคก็ไม่ควรทำเพราะสุขภาพร่างกายเราถือเป็นสิ่งที่เราต้องใช้ในการประกอบกิจกรรมในชีวิตและการงานซึ่งสำคัญอันดับต้นๆ ไม่ควรละเลย ประกอบกับพยายามคิด พูด ทำแต่สิ่งที่ดี ๆ อย่าประมาท อย่าทำจิตตก ก็จะเป็นแนวทางช่วยเสริมบุญกุศลต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคงถาวรให้แก่ชีวิตเราและครอบครัว รวมถึงสังคมแวดล้อมด้วยได้พบแต่สิ่งดี ๆ สามารถฟันฝ่าวิกฤติและประสบผลสำเร็จในการแก้ปัญหาที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ต่าง ๆได้ดีและยั่งยืนในที่สุด....

หมายเหตุ.- ต้นเหตุของการขาดสมดุลของรายรับและรายจ่ายเงินทองของคนส่วนมากมักเกิดจากการที่ไม่ค่อยมีนิสัยการจดบันทึกบัญชีเลยว่าเรารับหรือจ่ายอะไรไปบ้างวันหนึ่ง ๆ ทำให้ขาดโอกาสในการนั่งวิเคราะห์จากตัวเลขที่แท้จริงว่าเหมาะสมหรือพอเพียงประการใดหรือไม่ ทำให้หลายครั้งก็ใช้จ่ายไปโดยไม่มีประโยชน์ และไม่มีเหตุผลสมควรโดยไม่รู้ตัว เช่นซื้ออะไรตามแฟชั่นค่านิยมไม่คำนึงว่าเรายังมีภาระอะไรอื่นไหมที่มีลำดับความสำคัญมากกว่าที่ควรทำก่อนแต่ไม่ได้ทำ ทั้งนี้เพราะขาดเครื่องมือหรือบัญชีซึ่งเป็นเสมือนการบันทึกกรรมหรือพฤติกรรมที่เป็นจริงของเราในการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมขณะมีชีวิตอยู่ในโลกในฐานะคฤหัสผ่านทางการใช้จ่ายทรัพย์ ลองดูตัวอย่างการจัดทำสมุดบัญชีส่วนบุคคลที่พอเป็นแนวทางที่ลิ้งค์นี้ http://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/Others/Documents/Saving2554.xls#มาออมกันนะ!A1

อนึ่ง สำหรับการจัดสรรทรัพย์ที่หามาได้อย่างเหมาะสมสมดุล ตามหลักธรรมของทางพระพุทธศาสนา สำหรับคฤหัสถ์ นั้น ท่านได้แนะไว้เข้าใจง่าย ๆแบ่งออกเป็น 4 ส่วน สรุปได้ดังนี้
1. เอาไว้ใช้จ่าย 1 ส่วน
2. เอาไว้เก็บออม 1 ส่วน
3. เอาไว้ลงทุนอาชีพ 1 ส่วน
4. เอาไว้ทำบุญกุศล 1 ส่วน

...สู้ ๆ ต่อไปนะ เหนื่อยก็พักแต่อย่าท้อนะครับ.......ขอเป็นกำลังใจ :b44: :b53: :b51: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจนะครับโยม ขอชื่นชมในความกตัญญูต่อพ่อแม่
ทุกข์กายต้องยืนหยัดต่อสู้ ทุกข์ใจต้องเปิดใจยอมรับความเป็นจริง
คนเราจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร มีเท่านี้แหละครับ หลักดับทุกข์

ทุกข์กาย ให้คุณโยมใช้สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ทำทุกอย่างลุยไปทุกทาง
ีที่ไม่ผิดกายกรรม ๓ ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้ลักขโมย ไม่ผิดลูกเมีย เพิ่มเติม
พูดไปถ้าไม่ผิด วจีกรรม ๔ ไม่โกหก ไม่หยาบคาย ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ
จะงานประจำ งานเสริม ถนัดอะไรชอบอะไรรักอะไร ทำอันนั้น ดึงพ่อแม่
ให้สู้ บอกพ่อแม่ว่าใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว
ถ้าใจถ้อ กายจะถอย ถ้าใจลอย กายจะคอยป่วย บอกว่าพระท่านบอก
มีกี่ร้อยกี่พันก็กินได้แค่สามมื้อ ถือศีล ๘ งดทานเนื้อหันทานผัก ทานเพื่อ
สุขภาพ ทั้งครอบครัว ประหยัดรายจ่าย งดมือเย็น ไหว้พระสวดมนต์
ประยุกต์ปฏิบัติ ธรรมบำบัดแบบองค์รวม ค้นหาข้อมูลเรื่องสุขภาพ มีมากมาย
ขออย่างเดียว ศรัทธาต้องไม่มีถอยไม่มียอมแพ้

อันนี้สำหรับฝากโยมพ่อโยมแม่ ออกจากงานแล้วก็อย่าทำใจลอย คอยป่วย
โทษสุขภาพ โทษตัวเอง โทษนู้นโทษนี้ งานหลักคือรักษากายใจ
ให้สบาย ให้มีสติ ว่างให้คิด ให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ไม่อยากให้ลูกลำบากอย่าท้อแท้ มองอะไร คิดอะไรต่อไปนี้ให้ติดขอบคุณ
ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วกำลังจิตกำลังใจจะดีขึ้น ^^

ตื่นมาไหว้พระสวดมนต์ ดูลมหายใจเข้าออกตัดวิตกกังวล ทำงานรักษา
จิตรักษาใจ แต่ก่อนหาแต่เงินไม่เคยทำงานขาดทุนเยอะแล้ว ตอนนี้หาเงิน
ไม่ได้ก็ยิ่งต้องรักษาจิตรักษาใจให้เป็น อย่าขาดทุนอีก มีเวลาหากำไรใน
ช่วงสุดท้ายของชีวิต ดีกว่าจากไปแบบไม่เคยเรียกกำไรคืนเลย ขาดความสุข
ทุกข์ฟรีๆ ไปทำไม^^

จบตรงนี้คิดถึงยายยิ้มเลย โยมเคยดูไหม หาคลิปให้พ่อแม่ดู แปดสิบกว่าแล้ว
อยู่ในป่าคนเดียว ยายว่าขาดอย่างเดียวคือความทุกข์! ยายว่าสำคัญที่ใจนะ ^^

อะต่อสำหรับโยม ให้ใช้สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ฝืดเคือง
รายรับมากกว่ารายจ่าย ตอนี้ปัญหาทุำกข์กาย เพราะรายได้ไม่พอ นอกจาก
ช่วยพ่อแม่มีสติ รักษาใจ ทำจิตทำใจเข้มแข็ง ร่วมด้วยช่วยกันทั้งครอบครัวแล้ว
อาจหาอะไรทำเล็กๆ น้อยๆ ให้ท่านไม่วิตกกังวลคิดมากกัน บอกแล้วใจลอย
คอยแต่จะป่วย คนมีอายุจะเป็นแบบนี้ โรคมันก็จะเข้ามาหา สลัดทุกข์ทางใจ
ไม่ยอมขาดทุน ให้ท่านสู้หน่อย เรายังมีกำลัง ไม่ต้องให้ท่านเป็นห่วง และ
ไม่ต้องโทษแต่ตัวเอง ต้องคุยกัน เคลียร์กัน ว่าแต่ละคนต้องทำหน้าที่อะไร
ไม่คุยกัน ท่านก็ลอยของท่านไป ทรุดไป เราก็ลำบากไปหนักไป จะดีหรือ?

กำลังใจดีมันก็ดีกันไปด้วยกันทั้งหมดนะครับ คิดว่า นี้เป็นภารกิจ เป็นแผนงาน
ของครอบครัวเลยก็ว่าได้ ประชุมวางแผน ปรึกษา ปิดรอยรั่วช่องโหว่ ตรงนี้
คุณโยมพ่อเคยทำงาน เป็นคนเก่งอยู่แล้ว หันกลับมาจัดการกับครอบครัว
เราให้ข้อเสนอ รวมกันทั้งครอบครัว คงไม่ยากเกินไปใช่ไหม นี้แหละธรรมะ

ทุกข์ทางใจ ที่ว่าต้องเปิดใจยอมรับความจริง คือพระท่านสอนไว้ ความเกิด
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากนี้ จะมีเงินทองมากจะมีน้อย
ล้วนหนีไม่พ้นว่างั้น ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเองทั้งนั้น สุขภาพไม่ดี อดีตเคย
ผิดศีลข้อปาณาติบาตมาเยอะ(กรรมเ่ก่า) หรืออาจเป็นที่อาหารการกิน เป็นที่
การดูแลรักษาสุขภาพ เป็นที่อากาศสภาพแวดล้อม ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้เลยบอกเลยชวนให้รักษาศีล ๘ งดทานเนื้อทานมื้อเย็น หายใจเข้าออก
เจริญสติ เพื่อให้อากาศออกซิเจนไปเลี้ยงไปซ่อมแซมเซลที่เสื่อมให้กลับมาแข็ง
แรงมีสุขภาพทีดี ทั้งหมดเกิดจาก กำลังจิตกำลังใจล้วนๆ ต้องสร้างเองทำเอง
วันหนึ่ง เรื่องราวคุณโยมพ่อโยมแม่ ตัวคุณโยมอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจ
ให้กับอีกหลายๆ ครอบครัวสู้ อาศัยความเพียร ล่วงทุกข์พ้นไปก็เป็นได้

ความทุกข์ทางใจมันเนื่องด้วยกายเนอะ ถ้าพ่อแม่รับรู้ปัญหา เราก็ไม่จำเป็น
ต้องไปบอกว่า เพราะเงินเดือนเพราะรายได้ไม่พอ เพราะอันที่จริง พ่อและแม่
ก็วิตกกังวลเรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้นมีแต่ให้กำลังใจกันครับ ช่วยกันคุยกัน พอทุกคน
ตัดสินใจช่วยกันนี้แหละ ความทุกข์ทางใจก็จะได้คลี่คลายไปด้วย การยอมรับ
ความจริง ก็ไม่ได้แปลว่าต้องนิ่งนอนใจเฉยๆ ไปหมดกำลังใจ ปล่อยกายปล่อย
ใจให้เหม่อลอย คอยป่วย บอกแล้ว คนมีอายุจะรังแต่เจ็บป่วยยิ่งขึ้น ต้องลุก
ต้องพลิกจิตพลิกใจเสียใหม่ เราเองก็เหมือนกัน ต้องสลัดเรื่องไม่มีไม่พอออกไป
ลุยมองหาโอกาส หารายได้หลายๆ ทางที่ไม่ผิดกฏหมาย ให้พ่อแม่ท่านได้ช่วย
เหลือตัวเอง ยังมีความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง

กำลังจิตกำลังใจจะได้เข้มแข็ง ไม่ถ้อถอย มองดูแล้วหากพ่อแม่ไม่ทุกข์ไม่ลำบาก
ตัวคุณโยมก็คงจะไม่ทุกข์ไม่กังวลใช่ไหมครับ ดังนั้นต้องร่วมมือกันนะครับ
ให้ท่านรู้ถึงความห่วงความกังวล ต่อสุขภาพกายสุขภาพใจที่เรามีต่อท่าน
เรื่องค่าใช่จ่าย ผู้ใหญ่คิดเป็นอยู่แล้ว ควรเลี่ยงกันอยุ่แล้วครับ มุ่งไปที่ประเด็น
เป้าหมายภารกิจ ให้มีสติ รักษาจิต รักษาใจ มีสุขภาพกายใจที่แข็งแรง อย่า
มัวแต่ขาดทุนกันทั้งบ้าน สุขภาพตัวเราเองก็สำคัญ ต้องรักษาดูแลตัวเองดีๆ
ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วย ทำงานทำการไม่ได้ ก็จะลำบาก แต่ไม่ได้พูดให้ิวิตกนะครับ
แค่พูดไว้ ว่าพระท่านบอกไม่ผิด ทุกคนมี ความแก่ ความเ็จ็บ ความตาย ความ
พลัดพรากเป็นธรรมดา มีกรรมเป็นของแต่ละคนเองจริงๆ

ทุกข์มีไว้ให้รู้ ไม่ได้มีไว้ให้เป็นทุกข์ ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้แบกกับปัญหาครับ
ขอเอาใจช่วยนะครับ ขอให้มีสติปัญญา หาลู่ทางรายได้ และน้อมนำ
พระธรรมคำสั่งสอน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งพิงครับ ขอเจริญพร



รูปภาพ



Credit image by:
http://widget.sanook.com

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2011, 15:36
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบพระคุณ สำหรับคำแนะนำจากทุกท่านมากๆๆๆๆ เลยค่ะ

ดิฉันและครอบครัว เราคุยกัน หาทางแก้ปัญหากันมาตลอดค่ะ

และพ่อกับแม่ ก็พยายามที่จะหาทางเพิ่มรายได้อยู่ค่ะ แต่ยังนึกไม่ออก

ส่วนที่แนะนำเรื่องการทำขนม หรือ รับงานมาทำที่บ้าน ก็คิดไว้แล้วค่ะ

ว่าอยากทำขนมไปฝากขาย แต่ปัญหาคือ ไม่มีเงินทุนค่ะ และไม่มี

ความรู้เรื่องการทำขนมเลย คิดไว้ว่าจะซื้อแฟรนไชน์ขนมค่ะ

แต่ว่าต้องหาเงินมาลงทุนให้ได้สะก่อนค่ะ ส่วนใจน่ะพร้อมสู้เต็มร้อย

เลยค่ะ ขอเพียงแต่มีช่องทางให้เท่านั้นเองค่ะ (ซึ่งเงินทุนเนี่ยแหล่ะค่ะ

ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ค่ะ แต่ไม่ยอมแพ้แน่นอนค่ะ ต้องสู้เพื่อพ่อและแม่ค่ะ

ส่วนเรื่องที่ตัวดิฉันมีเงินทานข้าวแค่วันละ 30 บาทนั้น ดิฉันไม่ทุกข์เลยค่ะ

ถ้าสามารถมีเงินให้พ่อแม่ กินอิ่มได้ ความเป็นอยู่ ดีได้พอควร

นั่นคือความสุขที่สุด ของลูกอย่างดิฉันเลยค่ะ แต่ปัญหาคือ

เมื่อมีรายจ่ายที่คาดไม่ถึง เช่น เวลาแม่ป่วย หรือเงินฉุกเฉินต่างๆ

ตรงนี้ไม่สามารถหาเงินมาได้เลยค่ะ ก็เลยทุกข์อยู่แค่เรื่องรายได้

แต่ก็จะพยายามทุกวิถีทางที่สุจริตค่ะ จะไม่ยอมแพ้ค่ะ

ขอบคุณอีกครั้ง สำหรับทุกๆ กำลังใจและคำแนะนำที่มีค่ามากมายเลยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 18:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


วิธีแก้ปัญหาก็คือ

ถามตัวเองว่าปัญหาของคุณคืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร และพอรู้ถึงสาเหตุ
ก็จงถามตัวเองต่อไปว่า ณ ขณะนี้คุณสามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้หรือไม่ มีกำลัง
และสติปัญญาพอที่จะสะสางสิ่งที่เผชิญอยู่หรือไม่ ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นใหญ่เกิน
กำลังของคุณหรือไม่ หากไม่เกินกำลังที่จะแก้ไขคุณก็คงหาทางออกได้ ขอแค่
อดทน.....
แต่หากปัญหานั้นเกินกำลังของคุณ.....ปลงซะบ้างครับ เพราะถ้ามันหนักมาก
มันเกินกำลังของคุณ ก็รู้จักวางซะบ้าง ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ รู้จักอยู่
กับปัจจุบัน การวางแผนชีวิตเป็นเรื่องที่ดี.....แต่อย่าวางแผนระยะยาวเพราะ
การวางแผนระยะยาวคือการกดดันตนเอง.....จงอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่
เป็นไปได้ ไม่เกินกำลังของตน.....อะไรที่มันหนักหนา และเกินกำลังของตน
ก็วางมันลงบ้าง อย่าแบกมันไว้โดยที่แก้ไขอะไรไม่ได้

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 22:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


panita_tangmo เขียน:
คือ ดิฉันพยายามคิดหาธรรมะว่าข้อใดที่จะช่วยให้ดิฉันหายทุกข์จาก ชีวิตที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
และจะใช้ธรรมะข้อใดที่จะทำให้ดิฉันสามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ค่ะ

เรื่องก็คือ เมื่อประมาณ 3-4 เดือนก่อนพ่อดิฉันตรวจเจอว่าเป็นโรคตับแข็ง และคุณหมอสั่งห้าม
ทำงานหนักเด็ดขาด พ่อดิฉันจึงต้องออกจากงานเลยค่ะ เพราะก่อนที่จะตรวจเจอ สุขภาพท่าน
แย่มากแล้ว ตัวเหลือง ไม่มีแรง หมอให้พักผ่อนมากๆ ดูแลเรื่องการกินอาหารให้ดีที่สุด
และต้องทานยาต้านไวรัสตับอักเสบบีด้วย พ่อดิฉันเป็นไวรัสมาเกือบ ยี่สิบกว่าปีแล้วค่ะ
ดังนั้น เมื่อครอบครัวขาดเสาหลัก ดิฉันจึงต้องเป็นเสาหลักแทน เนื่องจากแม่ก็ป่วยหลายโรคค่ะ
ผ่าตัดหมอนรองกระดูก เป็นข้อเข่าเสื่อม และบิ่น เป็นความดัน โรคหัวใจ ทำงานหนักไม่ได้ค่ะ

เรื่องที่ดิฉันเป็นทุกข์ใจอยู่ขณะนี้ก็คือ เงินเดือนของดิฉัน ณ ปัจจุบันหมื่นกว่าบาท ซึ่งไม่สามารถ
เลี้ยงดูครอบครัวดิฉันได้เพียงพอเลยค่ะ ไหนจะซื้อของใช้ประจำวัน ค่ากินของพ่อและแม่
ค่าเดินทางไปทำงานของดิฉัน ค่ากินส่วนตัวของดิฉันเอง ดิฉันมีเพราะเงินทานข้าวแค่วันละ30 บาท
ซึ่งถ้าเกินกว่านี้ ก็ไม่มีเงินเพียงพอได้ทานข้าวครบเดือนนั้นแน่ๆ ค่ะ

ซึ่งดิฉันก็พยายามคิดหาทางออกว่าจะทำยังไงเพื่อหารายได้เพิ่มเติมจากเดิม เพราะดิฉันยังมีภาระอีก
อย่างหนึ่งซึ่งค่อนข้างหนัก คือการผ่อนบ้าน ซึ่งได้ไปรีไฟแนนซ์มาแล้วก่อนที่จะรู้ว่าพ่อดิฉันจะป่วย
ซึ่งเดิมคิดกันไว้ว่า ถ้าพ่อและดิฉันช่วยกันผ่อนก็พอไหว แต่เมื่อพ่อดิฉันป่วยสะแล้ว จึงไม่รู้จะทำยังไงค่ะ
เพราะดิฉันเองก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนนึงที่ความรู้ จบแค่ ปวส.ค่ะ แต่ว่าประสบการณ์การทำงานหลายปี
เพราะทำงานตั้งแต่เรียนจบ ซึ่งก็ไม่มีเงินเดือนเหลือมากพอที่จะไปเรียนต่อค่ะ

แค่ลำพังค่าใช้จ่ายที่บ้านก็มากแล้ว และไม่พอใช้จ่ายด้วยซ้ำ ดิฉันอยากขอคำแนะนำจากทุกท่านค่ะ

ดิฉันจะใช้ธรรมะข้อไหนดีคะ ที่จะทำให้ดิฉันสามารถหารายได้เพิ่มได้ และไม่เป็นทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้

ดีแล้วค่ะ รบกวนทุกท่านกรุณาชี้แนะดิฉันด้วยค่ะ


:b8: พอดีพึ่งเข้ามาดูเลยขอแสดงความเห็นหน่อยครับ
อย่างแรก วิธีหารายได้เพิ่มอาจเป็นเรื่องไกลตัว สิ่งที่ทำง่ายกว่าคือการลดรายจ่าย รายจ่ายประจำเราุรู้อยู่แล้วเช่นค่าผ่อนบ้าน เงินกู้นั้นแยกไว้ได้เลย ส่วนรายจ่ายที่จำเป็นน้อยลองช่วยกันลดดูยิ่งทั้งครอบครัวคุยกันแล้วย่อมช่วยกันง่ายขึ้น เช่นค่าน้ำ่ ไฟ เสื้อผ้า การแต่งตัว โทรศัพท์ บัตรเครดิต การผ่อนของบางอย่างที่ไม่จำเป็นอาจยอมทิ้งไป หรือขายดาว ลดรายจ่ายกับข้าวโดยปลูกผักสวนครับบ้าง(ถ้าทำอยู่แล้วก็ขออภัย)
ส่วนการรักษาน่าจะมีสิทธิรักษาฟรีตามกองทุนของรัฐบาล หรือหาข้อมูลตามมูลนิธิต่างๆน่าจะช่วยลดรายจ่ายได้นะครับ รพ.ของรัฐอาจช้าและเสียเวลาสักหน่อยต้องทำใจนิดครับแต่คงช่วยแบ่งเบาภาระเราได้
อีกอย่างที่ควรลดคือความเครียด เราต้องเข้าใจว่าโรคนี้เป็นโรคร้าย เมื่อดูแลรักษาจนสุดความสามารถแล้วต้องยอมรับว่าการพลัดพรากและความตายเป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติ คารทำใจยอมรับอย่างมีสติ ดังตัวอย่างคนดังหลายๆท่านที่จากไปด้วยโรคนี้ก็เรียนรู้และยอมรับความจริงของธรรมชาติข้อนี้อย่างสงบ
ส่วนการเพิ่มรายได้ผมไม่ค่อยมีความรู้เท่าไร แต่ก็เห็นด้วยกับหลายๆข้อแนะนำที่ผ่านมา
ส่วนข้อธรรมที่ผมนำเสนอ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาครับนี่คือความจริงของสังขารทั้งมวล ของทุกชีวิต เป็นโอกาสแห่งการศึกษา แห่งการเจริญธรรม ขันติ เจริญสติ ไม่ประมาท เป็นการแสดงความกตัญญู เป็นการสัมผัสธรรม ไม่มัวเมาลุ่มหลงอยู่อย่างผู้ที่ยังสบายดีผู้อื่น ที่ยังหลงในความหนุ่ม สาว ยังประมาท
"เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไป นี่เป็นกฏตายตัวแห่งอนิจจัง ขอความเจริญในธรรมจงบังเกิดแก่คุณ"

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 112 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร