วันเวลาปัจจุบัน 23 พ.ค. 2024, 11:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2011, 12:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 09:47
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีเรื่องไม่สบายใจอยู่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ของผมครับ ต้องขอเล่าที่มาที่ไปก่อน คือ...

คุณแม่ของผมท่านเป็นคนประหยัด และ มัธยัสถ์ เมื่อก่อนผมเคยอาย และไม่ชอบใจที่ท่านมีนิสัยแบบนี้
แต่ตอนนี้ไม่คิดแบบนั้นแล้ว กลับมองว่าผมโชคดีมาก ที่ได้เกิดมาในครอบครัวนี้ มีบุคคลที่น่ายกย่อง
ให้ดูเป็นตัวอย่างถึง 2 คน คนหนึ่งคือ "พ่อ" พ่อผมความรู้น้อย (จบแค่ป. 4) แต่มีความขยันมาก
ก้าวหน้ามาได้ถึงขั้นมีบริษัทเป็นของตัวเอง แถมมาจากน้ำพักน้ำแรงล้วนๆ ได้มีหุ้นในบริษัทเพราะเจ้านาย
เมตตาเห็นในความพยายาม และขยัน ก่อนท่านจะมีผม ท่านมีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง เจ้านายอยากให้พ่อสบาย
และมีหลักเป็นของตัวเอง เลยชักชวนให้พ่อนำเงินมาลงทุนเสีย ทุกวันนี้พวกผมที่เป็นลูกเลยได้อนิสงค์นั้น
จากความานะของพ่อ ... อีกคนคือ "แม่" ของผมเอง ท่านไม่มีอาชีพอะไร อยู่บ้านดูแลบ้าน และพวกผม
สมัยเมื่อยังเป็นเด็กๆ แม่ผมมีนิสัย ประหยัด และ ใช้ของทุกอย่างอย่างมีคุณค่ามาก ตอนเด็กๆ ผมไม่ชอบ
ใจกับการถูกบังคับให้กินข้าวให้หมด ไม่ชอบใจที่เวลาแม่บ่นเวลาใช้เงินซื้อขนมสิ้นเปลือง ไม่ชอบใจที่
แม่ไม่ชอบให้เงินทองไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ

ทั้งพ่อและแม่จะมีหลักการดำเนินชีวิตคล้ายๆ กันคือ เป็นคนมัธยัสถ์ มีเท่าไร ใช้เท่านั้น ไม่มีก็ไม่ใช้
ที่บ้านผมจะเป็นแบบนี้มาตลอด เลยไม่เคยมีหนี้มีสิน ไม่เคยต้องยืมเงินใคร ด้วยความเคารพก่อนที่
ในหลวงของเราจะประกาศเศรษฐกิจพอเพียง พ่อกับแม่ของผมใช้หลักการนั้นมาตั้งนานแล้ว

ผมเองแต่ก่อนก็ไม่เข้าใจ และเหมือนทำประชด คือ แม่สอนอย่างไร ก็จะทำตรงกันข้าม นิสัยผม
ออกจะเป็นคนเชื่อความคิดตัวเองสูง จริงๆ ลึกๆ ก็รู้ว่าที่แม่สอนมันถูก แต่เหมือนหยิ่งในความคิดตัวเอง
ไม่ชอบให้ใครมาสอน เลยพยายามทำอะไรตรงกันข้ามมาตลอด ผมทำให้แม่เสียใจก็หลายครั้ง
โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงินฟุ่มเฟือย ที่ผมทะเลาะกับแม่บ่อยๆ เพราะ เราอยู่ด้วยกันทุกวัน ส่วนพ่อ
นานๆ ทีจะได้คุยกันท่านทำงานตลอด อีกอย่างพ่อจะไม่ค่อยดุด่าลูกๆ เท่าไรนัก ท่านจะพูดไม่กี่คำ
ถ้าลูกไม่ฟังแกก็จะวางเฉยซะ มีแต่แม่ที่เป็นคนคอยสอนตลอด เรื่องที่ทะเลาะกันก็มาจากความฟุ่มเฟือย
เรื่องอื่นผมไม่ยุ่งอยู่แล้ว เหล้า ยา บุหรี่นิสัยผมไม่ชอบของแบบนี้อยู่แล้ว พ่อกับแม่ท่านไม่เคยยุ่งกับของ
พวกนี้เลย ผมเลยติดนิสัยนั้นมาด้วย แต่ที่จะโดนตำนิบ่อยๆ ก็เรื่องใช้เงินเปลือง ชอบซื้อของใช้แพงๆ

ตอนนั้นเราก็อ้างเหตุผมไปต่างนานา ว่าซื้อเพราะเข้าสังคม ฯลฯ ว่าไปเรื่อยตามประสาคนหัวดื้อนั่นแหละครับ
แต่เริ่มมาคิดได้ตอนที่เราจบและเริ่มทำงานเอง ถึงได้รู้ว่าแต่ละบาทแต่ละสตางค์มันหายาก
และที่เปลี่ยนตัวเองแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ก็ตั้งแต่เมื่อตอนที่เริ่มมาปฏิบัติธรรม เริ่มมองสิ่งต่างๆ เป็นเหตุและผลมากขึ้น
ถึงได้รู้ว่า ตัวอย่างที่วิเศษที่สุด ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย อยู่ใกล้ๆ ตัวเรามาตลอด แต่เรากลับมองไม่เห็น
วิ่งหาบุคคล สิ่งของ ที่เป็นที่น่าชื่นชมจากที่อื่นๆ จนลืมมอง สุดยอดต้นแบบทั้งสองไป

มาตอนนี้ถึงคิดได้ว่าที่แม่มีนิสัยแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะท่านไม่ได้มีรายได้ และเห็นใจพ่อ เลยใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างมีคุณค่า ความประหยัด นั่นถือเป็นคุณธรรมของแม่ผมเลยนะ :b8:
ส่วนพ่อ ความขยัน หมั่นเพียร ก็คือคุณธรรมของพ่อผม :b8: ผมมีต้นแบบคุณธรรมดีๆ อยู่ถึงสองคนในบ้าน อย่าอิจฉาผมเลยครับ :b13:

.........................................................................................................
เอาหละรู้เบื้องหลังแล้ว ต่อไปเป็นสิ่งที่ผมยังไม่สบายใจอยู่
.........................................................................................................

ตอนนี้ผมชอบที่จะไปทำวัตรที่วัดอยู่ทุกสัปดาห์ ในช่วงเย็นๆ หลังเสร็จกิจในประจำวันแล้ว
แต่แม่ถึงแม้ท่านจะไม่ห้าม แต่ท่านก็มักจะพูดอยู่เป็นนัยๆ ว่าสวดมนต์สวดที่บ้านก็ได้
ขับรถเข้าไปที่วัดมันเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ ผมก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรท่าน ก็ลดวันลงจากที่
ปกติไปอาทิตย์ละ 2 วัน ก็ลดลงเหลือ อาทิตย์ละ 1 วัน (ปกติผมจะไปวันพฤ. กับ เสาร์)
หลังๆ คงไว้แค่วันพฤ. ที่จะไปทุกอาทิตย์ ส่วน เสาร์ก็แล้วแต่สะดวก ถ้าเสาร์ไหนตรงกับวันพระ
ก็จะไป ก็พยายามทำไม่ให้ท่านตำนิมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่พ้น....ท่านยังคงมองว่า
มันเป็นเรื่องไม่จำเป็นและสิ้นเปลือง แต่ท่านไม่ได้ห้ามนะครับ แค่เอ่ยออกมาเฉยๆ

ผมเคยลองพยายามชวนท่านลองไปทำวัตรที่วัดด้วยกันแล้ว แต่ท่านบอกไม่ชอบไปข้างนอก
สวดมนต์อยู่ที่บ้านก็ได้ พยายามชวนมาหลายรอบแล้วก็ปฏิเสธทุกที แต่ท่านก็ทำบุญนะครับ
แต่ทำน้อยๆ ท่านถือว่าท่านหาเงินไม่ได้ เงินที่ใช้ทำก็เป็นน้ำพักน้ำแรงของพ่อ
ไม่ใช่จากตัวท่านเอง ภายนอกคนอื่นอาจจะมองว่าท่านตระหนี่ (ผมเองเมื่อก่อนก็เคยมองท่านแบบนั้น)
แต่จริงๆ ไม่ใช่หรอกเพราะสถานะ และ ความรับผิดชอบของท่านมันบังคับให้แม่เป็นคนแบบนั้น
เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ตำนิอะไรแม่เอาตามแม่สบายใจ บางทีเวลาไปทำบุญเรายังต้องแอบๆ ทำไม่ให้แม่เห็น
กลัวแม่จะว่าว่าเปลืองเงิน เพราะผมเคยซื้อของมาทำบุญเยอะ แม่จะชอบว่าว่าซื้ออะไรเยอะแยะมันเปลือง
หลังๆ ก็เลยซื้อเอาตามแม่สบายใจ เพราะจุดประสงค์ของการทำบุญมันอยู่ที่ใจ ณ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ ถ้าทำให้แม่สงสัย หรือ รำเคืองในใจตั้งแต่ก่อนให้ มันจะไม่ได้บุญ

ส่วนเรื่องที่ไปทำวัตร ผมก็ไม่ค่อยสบายใจ แสดงว่าท่านยังไม่เห็นดีเห็นชอบด้วยกับเรื่องนี้
ผมควรจะเลิกไปทำวัตรตามที่แม่ต้องการไหมครับ? หรือ ไปแบบนี้แหละ ท่านก็ไม่ได้ห้ามอะไร
ซักวันท่านคงจะยอมรับได้ และเลิกคิดอคติกับการไปสวดมนต์ข้างนอกบ้าน? ที่ไปทำวัตรนี่ก็ไม่ได้
ทำเพื่อตัวเองหรอก ทุกวันนี้พยายามสร้างสมบุญไว้ ก็จะได้เพื่อแผ่ให้พวกท่านทั้งสองนั่นแหละ
ส่วนเรื่องที่ชอบไปทำวัตร ก็เพราะไปแล้วมันรู้สึกได้บรรยากาศ อีกทั้งบทไหนที่เราสวดไม่คล่อง
ก็ได้ไปฟังเอาจังหวะทำนองจากคนอื่นๆ ที่เขาสวดกันคล่องแล้วมาด้วย แต่อีกใจก็เกิดสงสัยว่า
ที่เรามาทำแบบนี้ ถึงแม้แม่จะไม่ได้ห้าม หรือ ตำนิ แต่การพูดออกมาแบบนั้นก็ถือว่าเจตนาแม่
ไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องแบบนี้ แล้วที่ผมทำ มันเป็นบุญ หรือ บาป ครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2011, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่าที่ทำไปแล้วนั้นเปนบุญ สิ่งที่ตั้งใจทำไป แล้วเกิดผลลัพธ์ที่ดีกลับมา หรือเปนประโยชน์ย้อนกลับมาที่ตัวเอง ต้องเปนบุญแน่นอน คุนแม่ของคุณต้องการให้ประหยัดและอดทนเหมือนท่านๆเลยแนะนำบอกให้รู้ตัว และใช้เงินให้จำเปนที่สุด ซึ่งท่านทำมาทั้งชีวิต ดังนั้นอะไรที่เหนแตกต่างจากนี้ ท่านจึงต้องเตือนบอกกล่าวไว้ เพื่อไม่ให้เสียเงินเสียทองมากไป

การปฏิบัติธรรม ที่เกิดจากการสวดมนต์โดยจิตที่เลื่อมใสตั้งใจ และนั่งสมาธิจนจิตเกิดความสงบนี่เปนบุญที่เรียกว่าปฏิบัติบูชาไม่ต้องใช้ตังค์ ส่วนบุญหนึ่งที่ทำบริจาควัตถุ ให้เงินเปนทานปัจจัยอย่างนี้เรียกว่าอามิสบูชา ซึ่งต้องมีเงินก่อนหรือมีทรัพย์สินก่อนถึงจะไปทำบุญหรือบริจาคได้ ซึ่งบุญ2 ประเภทนี้จะเลือกทำอย่างไหนตามอัธยาศรัย แต่บุญที่ให้เกิดกุศลที่สุดคือการปฏบัติ อันเปนบุญอย่างแรก ชำระล้างด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ให้จิตสะอาด ผ่องใส และสบายใจ เหมือนหนองน้ำใหญ่ที่ไม่มีสิ่งใดๆไปรบกวน
บุญนั้นเกิดจากผลของเจตนาที่ศรัทธาเปนสำคัญ ไม่ได้ขึ้นกับผลหรือปริมาณของเงินที่เอาไปทำบุญว่า
ไปทำมากจะได้บุญมากเสมอไป ดังนั้นเมื่อแม่ของท่านให้ทำบุญเท่าที่พอทำได้ เราก้ทำไปเท่าที่จะทำได้ แต่อาจจจะให้เปนประจำแต่ไม่มาก แค่นี้ก้พอ ส่วนการไปวัดอาทิตย์ถือเปนเรื่องดีแล้ว ทำให้ได้มีโอ
กาสได้ทำจิตใจให้เกิดกุศลได้มากกว่าเดิมเพราะสถานที่สัปปายะกว่าที่บ้าน ส่วนการสวดมนต์ ถ้าสวดที่วัดแล้ว จะสวดที่บ้านก้ได้ เพราะบ้านเปนที่ๆอย่มากกว่าที่อื่น และสามารถทำได้ตลอด ถ้าสวดได้ที่บ้านก้จะดีมาก เพราะต้องบังคับจิตใจให้เอาชนะสิ่งแวดล้อมที่อย่รอบๆตัวเราเองด้วย ถ้าเกิดว่าจะเชื่อแม่ท่าน
ก้ขอให้ยึดความสบายใจของท่านและแม่ของท่านไปด้วย จึงจะได้เกิดความสมดุลในชีวิตคือทั้งแม่และเราต่างก้สบายใจทั้งคู่บุญที่ได้ก้จะได้เปนสองต่อ หากท่านจะเดินบนเส้นทางสายนี้โดยที่ชีวิตก้ต้องดูและพ่อและแม่ไปด้วยก้ตาม :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2011, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้อ่านเรื่องราวแล้วน่าเห็นใจนะครับ ประเด็นที่ว่า ต้องการไปสวดมนต์ที่วัด เหมือนคุณแม่คุณจะไม่เห็นด้วย เพราะว่าเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ ทั้งที่ก็ลดลงมาเหลือเพียงสัปดาห์ละ ๑ วันแล้วก็ตาม

นอกเรื่องซักนิด ผมโชคดีมากๆ ทางบ้านผมมีแต่เขี้ยวเข็นให้เข้าวัดเข้าวา เพราะตระกูลทางคุณปู่ผมปฏิบัติ
ธรรมมาตั้งแต่ครั้งสมัยเจ้าคุณโชดก วัดมหาธาตุ พอมามีลูกมีหลาน คนไหนจะเข้าวัด จะบวช จะปฏิบัติ
ทางบ้านผมมีแต่สนับสนุน ไม่มีขัดซักนิด

การที่ท่านบอกว่า สวดที่บ้านก็ได้ ไปวัดเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ คุณอย่าเพิ่งไปตั้งโจทย์ว่าเป็นการต้อง
เลือกระหว่างคำที่แม่บอกกับการไปสวดมนต์ ผมว่า เราแยกแยะดีกว่า

ลองคิดดูดีๆ หรือถามท่านตรงๆครับ นอกจากที่คิดว่าเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุแล้ว ลึกๆมีอะไรอีกไหม
เพราะการขับรถไปสวดมนต์ที่วัด ซึ่งถ้่าไม่ไกลจนเกินไป ไม่น่าจะเป็นการเปลืองอะไรมากมายเลย มองดูว่า
คุ้มค่ากับการได้อบรมจิตในขณะสวดมนต์ด้วยซ้ำ ผมคิดว่า น่าจะมีสาเหตุอื่น ท่านอาจจะกลัวว่าเราไปพบ
เจอกับวัดหรือพระที่ไม่ดี ต้องเสียเงินเสียทองไปมากเพราะถูกวัดนั้นๆพระนั้นๆชักชวนทำบุญประมาณนี้หรือ
เปล่าครับ ลองถามท่านดู

ส่วนที่ถามว่าควรจะเลิกไปวัดดีไหม ข้อนี้ถ้าเป็นผม คิดว่าอย่าเพิ่งเลิกเลยครับ สัปดาห์ละวัน ไม่มากเลย
ทำไปเถอะครับ เราทำนิ่งเมื่อคุณแม่พูดซะ อย่าไปเถียง ถึงเวลาเราก็ทำของเราไป ในหน้าที่ลูกส่วนอื่นๆ
เราก็ทำให้ท่านสบายใจไป ส่วนนี้ให้คงไว้

การที่เราได้ไปสวดที่วัดนั้น ถือว่าได้สละหลายๆอย่าง น้ำมันรถ เวลา ฯลฯ
ผลที่ได้ ได้เห็นสมณะ อาจได้พบกัลยาณมิตร ได้ความคล่องใจเบาใจ ความสงบเกิดง่าย ฯลฯ

ถ้ายังไม่ถึงกับต้องมีเรื่องหมางใจกัน ก็อย่าเพิ่งไปลดละเสีย
ถ้าคุณยอมรับว่า คุณเป็นคนดีได้ คุณไม่ทำให้คุณแม่คุณเดือดร้อนเสมอมา คุณไม่เกเรจนคุณแม่ต้อง
ทุกข์ใจ เพราะศาสนามีส่วนช่วยให้คุณเป็นคนดี ก็ทำต่อไปครับ

บางคนหาโอกาสที่จะเข้าวัด มีเงินทองล้นฟ้า ปัญญาจะเข้าวัดยังไม่มี เมื่อเรามีโอกาส ก็อย่าเพิ่งด่วนละทิ้งเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2011, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตอนนี้ผมชอบที่จะไปทำวัตรที่วัดอยู่ทุกสัปดาห์ ในช่วงเย็นๆ หลังเสร็จกิจในประจำวันแล้ว
แต่แม่ถึงแม้ท่านจะไม่ห้าม แต่ท่านก็มักจะพูดอยู่เป็นนัยๆ ว่าสวดมนต์สวดที่บ้านก็ได้
ขับรถเข้าไปที่วัดมันเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ ผมก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรท่าน ก็ลดวันลงจากที่
ปกติไปอาทิตย์ละ 2 วัน ก็ลดลงเหลือ อาทิตย์ละ 1 วัน
(ปกติผมจะไปวันพฤ. กับ เสาร์)
หลังๆ คงไว้แค่ วันพฤ. ที่จะไปทุกอาทิตย์ ส่วนเสาร์ก็แล้วแต่สะดวก ถ้าเสาร์ไหนตรงกับวันพระก็จะไป ก็พยายามทำไม่ให้ท่านตำนิมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่พ้น....ท่านยังคงมองว่า
มันเป็นเรื่องไม่จำเป็นและสิ้นเปลือง แต่ท่านไม่ได้ห้ามนะครับ แค่เอ่ยออกมาเฉยๆ



ท่านเคยชินต่อการประหยัดอย่างนั้นมานมนานตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาว จนเกิดความเคยชินแล้ว ยากจะเปลี่ยนใจ
มีบางครอบครัว อาชีพทำมาค้าขายขยันประหยัดอดออม เก็บเงินส่งเสียลูกๆเรียนจนจบปริญญา ได้การได้งานทำมีหลักฐานมั่นคง บางคน ขับเบนซ์ไปทำงาน แต่แม่ยังนั่งถอนหญ้าที่ขึ้นข้างกำแพงบ้านด้วยตนเอง ลูกๆห้ามว่าอย่าทำเลย แต่แม่ก็จะทำ นี่คือความเคยชินเป็นปกติ

อ้างคำพูด:
ผมชอบที่จะไปทำวัตรที่วัดอยู่ทุกสัปดาห์ ในช่วงเย็นๆ หลังเสร็จกิจในประจำวันแล้ว
แต่แม่ถึงแม้ท่านจะไม่ห้าม แต่ท่านก็มักจะพูดอยู่เป็นนัยๆ ว่าสวดมนต์สวดที่บ้านก็ได้
ขับรถเข้าไปที่วัดมันเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ


ขับรถเข้าไปที่วัดมันเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ

ธรรมชาติของแม่ย่อมสงสารลูก ไม่อยากให้ลูกลำบากลำเข็ญ

ในเมื่อประเด็นอื่นท่านไม่ท้วงติง เพียงแต่กลัวสิ้นเปลืองน้ำมันหากขับรถไปเองเท่านั้น
(จากบ้านไปวัดไกลไหมครับ) ลองพูดหยั่งเชิงวัดใจแม่ดูสิว่า...ถ้าอย่างนั้น...จะปั่นจักรยานไป หรือเดินไป หรือขึ้นรถเมล์ไป (แนะแนวกว้างๆตามระยะทางจากบ้านไปวัด) แล้วเราก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ลองดู

สวดมนต์สวดที่บ้านก็ได้

คุยกันได้ พูดแลกเปลี่ยนความคิดกับแม่ดู... :b1:

สวดมนต์ที่ไหนก็ได้ที่บ้านก็ได้ก็ถูกของแม่ แต่ที่วัดน่า เวลาทำวัตรสวดมนต์กันหลายๆคนได้เปล่งเสียงสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยพร้อมๆกันแล้วฟังเพราะดี ทำให้เกิดปีติเกิดศรัทธา ได้แรงจูงใจมากกว่าสวดคนเดียวที่บ้าน...อยากให้แม่ไปได้ยินด้วยตัวเองจัง...สวดผิดสวดถูกตรงไหนอย่างไร ก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน แล้วก็มีพระอาจารย์คอยชี้แนะด้วย (พูดไปตามที่เราเห็นข้อดี)


ปล. ถึงเทศกาล หรือ วันนักขัตฤกษ์ พูดโน้มน้าวให้ท่านเห็นจริงว่า เรามีการมีงานทำเป็นหลักแหล่งแล้ว ลูกมีเงินพอที่จะเลี้ยงแม่ พาแม่ไปนั่นไปนี่ได้แล้ว เพื่อให้ท่านคลายความเคยชินอย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2011, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว





ลองฟังเสียงสวดพาหุงดู

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2011, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย สำหรับบุคคลสองท่าน เราไม่กล่าวว่าจะกระทำการตอบแทนคุณได้ง่ายเลย
สองท่าน คือ ใคร คือ มารดาและบิดา

หากบุตรจะเอามารดาไว้บนบ่าข้างหนึ่ง เอาบิดาไว้บนบ่าข้างหนึ่ง ปรนนิบัติ ถึงเขาจะมีอายุยืนร้อยปี อยู่ได้ตลอดศตวรรษ และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสองด้วยการขัดสี นวดฟั้น อาบน้ำให้ และแม้ว่าท่านทั้งสองนั้นจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขา นั่นก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นอันได้กระทำคุณหรือตอบแทนแก่มารดาบิดา

ถึงบุตรจะพึงสถาปนามารดาบิดาไว้ในราชสมบัติ ทรงอิสราธิปัตย์ บนมหาปฐพี อันมีสัตตรัตนะมากหลายนี้ ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นการได้ทำคุณหรือได้ตอบแทนแก่มารดาบิดา
ข้อนั้น เพราะเหตุไร? เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก เป็นผู้บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย

“ส่วนว่า บุตรคนใด ชักจูง ปลูกฝัง ประดิษฐานซึ่งมารดาบิดา ผู้ไม่มีศรัทธา ไว้ในศรัทธาสัมปทา...
ซึ่งมารดาบิดาผู้ทุศีล...ไว้ในศีลสัมปทา...
ผู้มีมัจฉริยะ ไว้ในจาคสัมปทา...
ผู้ทรามปัญญา ไว้ในปัญญาสัมปทา ด้วยการกระทำเพียงนี้ จึงชื่อว่าเป็นอันได้ทำคุณ ได้ตอบแทนแก่มารดาบิดา”

(องฺ.ทุก.20/278/78)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2011, 09:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 09:47
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ พอได้แง่คิดอะไรดีๆ บ้างแล้ว ขอบคุณครับผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2011, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


สวดมนต์ที่บ้านก็ได้ เรื่องทำนองก็หาตามเว็ปก็ได้ ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่ต้องไปสวด

หลักสำคัญของชาวพุทธคือ การทำพระนิพพานให้แจ้งเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด ดูที่กายที่ใจนั่นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2011, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำบุญ การบริจาคทานนั้น เป็นการทำความดีอย่างนึง เป็นลดความตระหนี่ถี่เหนียวจากตัวของเราลง การทำความดีประเภทนี้ แม้ว่า สิ่งของหรืออะไรก็ตาม
ที่เราให้แม้จะมีค่าเพียงน้อยนิดสำหรับผู้อื่นที่เห็นหรือไม่เห็นก็ตาม แต่เมื่อใดเมื่อเราทำบุญหรือบริจาคไปแล้วรู้สึกว่าการทำความดีของเราเมื่อทำลงไปแล้วรู้สึกอิ่มเอิบใจ
นั้นก็แปลว่าเราได้บุญ ได้ความสุขใจจากการบริจาคหรือการทำบุญนั้นๆแล้ว
ส่วนการสวดมนต์ไหว้พระนั้นเราจะทำที่ใดก็ได้ ยิ่งเราสามารถทำที่บ้านก็ยิ่งดี และหากว่า เราได้รักษาศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ และมี หิริโอตัปปะ เป็นเครื่องค่อยกระตุ้นเตือนตัวเราเอง(รักษาไว้ตลอดเวลา) และหมั่นบำเพ็ญสมาธิภาวนาเป็นประจำ เราก็ถือได้ว่ากำลังสร้างพุทธะให้เกิดขึ้นในจิตในใจเรา
...ดังนั้นที่คุณแม่ของท่านบอกกล่าวมาก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ให้เราสร้างพระในใจเรา และสร้า้งวัดในบ้านได้ ก็เหมือนๆกับ ไปปฎิบัติธรรมที่วัด สวดมนต์ทำวัตรที่วัดนั้นแหละครับ
และการเลี้ยงดูบิดามารดาให้ดี เลี้ยงดูครอบครัวให้ดี เอาใจใส่ดูแลบิดามารด ครอบครัว ก็เรียกได้ว่าเป็นการปฎิบัติธรรม เพราะว่าเราเอาธรรมะมาปฎิบัติ ไม่แต่เพียงว่า ต้องไปสวดมนต์ไหว้พระ ถือศีล๕ ศีล๘ หรือศีล๑๐ แล้วก็ทำสมาธิ กันแต่ในวัดเท่านั้น เราควรเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันตลอดเวลา ทุกลมหายใจ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฎิบัติธรรมโดยแท้จริง

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2011, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


จะพูดกับพ่อแม่วาจานั้นต้องเป็นวาจาสุภาษิต
เหมาะควรแก่กาล
เป็นความจริง
อ่อนหวานน่าฟัง
มีประโยชน์
และประกอบด้วยเมตตา

ค่อยๆชี้แจงให้ท่านฟัง
ต้องอดทนให้มาก และนิ่งให้ถึงที่สุด

เราทำบ้านให้เป็นที่สัปปายะได้ ถ้ากายดี วาจาดี ใจดี อยู่ที่ไหนก็ดีหมด


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 23 ส.ค. 2011, 22:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2011, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 09:47
โพสต์: 19


 ข้อมูลส่วนตัว


ครับผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2011, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าไม่สบายใจที่จะไปวัดก็คิดว่าไปวัดเพื่อไปทำบุญทำกุศลให้ท่านก็ได้นะครับ
หลังจากทำทานสวดมนต์ภาวนาแล้วก็ตั้งใจแผ่บุญกุศลที่เกิดขึ้นให้บิดามารดา บุญนี้เราทำให้ท่านได้นะ
พอมาถึงที่บ้านก็นึกถึงบุญกุศลที่ได้ไปทำมาแล้วนำมาแผ่บุญกุศลที่บ้านอีกรอบหนึ่งก็ได้นะ
อีก5วันถ้าทำที่บ้านก็ลองดูปฏิกิริยาท่านไปด้วยนะครับ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2011, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


คุณทำให้ผมนึกถึงเรื่องแม่ปูกับลูกปูเลยครับ ตอนเด็กๆ ลูกปูจำเป็นต้องเดินตามแม่ปู
เพราะถ้าเดินออกนอกทางอาจได้รับอันตราย เพราะลูกปูยังเล็กจึงปกป้องตนเองไม่ได้
และคิดเองยังไม่เป็น

แต่ตอนนี้คุณไม่ใช่เด็ก คุณปกป้องตัวเองได้ และคุณก็มีความคิดเป็นของตนเอง
การขัดใจแม่ คุณอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเพราะอาจทำให้ท่านไม่สบายใจ
แต่เรื่องบางเรื่องถ้าคุณเห็นว่าทำไปแล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
เป็นสิ่งที่ดีงาม ในบางครั้งอาจไม่ถูกใจแม่คุณบ้าง เพราะแม่คุณอาจไม่เห็นด้วย
เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้แม่ของคุณหนักอกหนักใจ ลำบากใจ หรือเป็นกังวลมากนัก
อีกทั้งคุณก็ทำในสิ่งที่ดีต่อตนเองและครอบครัว สักวันท่านก็ยอมรับเองแหละครับ

ที่ท่านเห็นการกระทำของคุณในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ ก็เป็นเพราะว่าท่าน
เป็นห่วงอนาคตของคุณ อยากเก็บเงินไว้ให้ลูกให้หลาน เงินที่หามาได้ทุกบาทก็เก็บไว้
ให้คุณ เพราะไม่อยากให้คุณลำบากในวันข้างหน้า ท่านจึงพยายามเก็บออมไว้อย่างดีที่สุด
อีกทั้งท่านไม่เข้าใจว่าสิ่งที่คุณกำลังทำ คือการไปสวดมนต์ที่วัดมันดียังไง ทำไมต้อง
เดินทางไปสวดมนต์ไกลๆให้สิ้นเปลือง

ปัญหาของแม่คุณก็คือ ท่านอยากให้คุณใช้เงินอย่างประหยัด แต่ที่จริงท่านก็ไม่ได้ห้าม
ที่คุณจะไปปฏิบัติธรรมหรือไปสวดมนต์ที่วัด เพียงแต่ท่านยังไม่เข้าใจว่าทำไมแค่สวด
มนต์จะต้องนั่งรถไปสวดไกลๆเปลืองเงินเปลืองทอง สวดที่บ้านก็ได้ คุณจึงต้องค่อยๆ
ทำความเข้าใจกับท่านในเรื่องนี้ ค่อยๆอธิบายให้ท่านฟังว่าสิ่งที่คุณทำลงไปมันดียังไง
และถ้าสิ่งที่คุณทำนั้นดีจริงอย่างที่คุณบอก สักวันท่านก็จะเข้าใจเองครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

บางครั้งถ้าการขัดใจแล้วส่งผลดี แม่คุณอาจไม่เห็นด้วยบ้าง แต่ผมว่าท่านคงไม่คิดมาก
หรอกครับ เพราะท่านก็ไม่ได้ห้ามคุณ แสดงว่าท่านไม่ได้หนักใจอะไร เพียงแต่ท่านต้อง
การประหยัดและอยากให้คุณใช้เงินอย่างประหยัดเหมือนท่าน จึงไม่บาปหรอกครับที่คุณ
จะทำสิ่งดีๆให้ตัวคุณเองและครอบครัวของคุณ

.....................................................
รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร