วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 03:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2011, 21:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ค. 2011, 09:29
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณว่า คนทำให้เกิด กับ คนที่เลี้ยงเรามาใครมีพระคุณกว่ากัน แล้วถ้าผมสมมุติกรณีเข้าไปอีกว่า คนทำให้เกิดไม่ได้เลี้ยงดู กับคนที่เลี้ยงดูเรา ใครกันแน่สมควรที่พระคุณมากกว่ากัน เพราะคนทำ ตอนทำก็สบาย แต่คนเลี้ยงดู นี้เขาคงลำบาก น่าดู ผมว่ามันเป็นคำถามที่ตอบลำบาก เพราะตอนมาวัด ผมก็โดนสอนมาด้านเดียว แต่มนุษย์โลก 6 7 ล้านล้าน คงจะหลาย cases น่าดู


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2011, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หากจะเอาเกณท์....ทำให้ชีวิตเรารอดมาได้....

ก็ถือว่า..เท่ากัน

ทุกวันนี้..การทำแท้งทำได้ง่าย..พอ ๆ กับหาร้าน seven

คุณนี้โชคดี..มีแม่ถึงสองคน..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2011, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามความเห็นเรา มันก็เทียบไม่ได้เพราะมีพระคุณทั้งนั้น
คนหนึ่งให้เลือด เนื้อ แค่อาหารมื้อเดียวเรายังต้องระลึกถึงบุญคุณเลย
นี่เขาให้ตัวให้ตน และดูแลเรามา 9 เดือนกว่าจะคลอด
ถ้าเขาไม่ให้เราได้คลอดออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่มีเลย
พระคุณที่ให้เราเป็นตัวเป็นตนนี่ก็มหาศาลแล้ว
คนที่เลี้ยงเรามา ก็เหมือนๆกัน ไม่ไ้ด้ให้เลือดให้เนือ้แต่ก็เป็นบุพพาจารย์

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2011, 21:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ค. 2011, 09:29
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


จริงๆมนุษย์โลกมีประมาณ6 7 พันล้านอ่ะครับ เขียนผิด จริงๆแล้วผมกล่าวอ้างไปถึงฝ่ายชายมากกว่าครับ เพราะเขาทำให้เราเกิดมาแต่ไม่ได้คลอดเรา
ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบครับ แต่จากที่ท่านตอบผมมาเหมือนกับว่าเราต้องใช้เกณที่การกระทำด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2011, 21:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ค. 2011, 09:29
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะคนที่ให้กำเนิดให้ชีวิตเราแต่คนที่เลี้ยงเราก็ให้ชีวิตเราเหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2011, 21:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2011, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ท่านใดจะมีบุญคุณกับเรามากกว่ากัน
คงไม่สำคัญเท่า.....เรามีความกตัญญูต่อท่านทั้งสองหรือเปล่า?
และมากเท่าไหร่? :b10: :b10:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2011, 15:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักทาย เขียน:
ท่านใดจะมีบุญคุณกับเรามากกว่ากัน
คงไม่สำคัญเท่า.....เรามีความกตัญญูต่อท่านทั้งสองหรือเปล่า?
และมากเท่าไหร่? :b10: :b10:


สาธุ อันนี้แจ่มจริงๆ แม้จะตอบไม่ตรงคำถาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2011, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าจะไม่แล้วเชียว เอาซักหน่อย...
แม้จะหมายถึงผู้ชายที่ทำให้เกิด หรือ ทำให้ปฏิสนธิ ไม่ได้เลี้ยงดูเรา ข้อนี้ก็พึงทราบเถิดครับ บุญคุณท้วมท้นแล้ว หาที่สุดประมาณมิได้
เหตุก็เพราะว่า มีพระพุทธดำรัสไว้ การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่ง

อย่าเพิ่งมองหรือพิจารณาเผินๆผ่านไปครับ ลองมาคิดถึงเหตุปัจจัยให้คนเรา หรือ เราเองได้เกิดมา
ต้องอาศัยเหตุคือ กรรม จึงได้เกิดมา ต้องมีการกระทำอันใดอันหนึ่งทั้งฝ่ายเราเองและฝ่ายผู้ที่ทำให้เราเกิดมาด้วย ทั้งสองฝ่ายต้องมีกรรมสัมพันธ์กันมาแต่อดีตทั้งนั้น หาไม่แล้วคงไม่ได้มาปฏิสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำให้เกิดและผู้ที่เกิด

ฉะนั้นแล้วเราเองผู้เกิด คงต้องมีกรรมสัมพันธ์กับผู้ทำให้เกิดก่อน อันนี้ข้อแรก

ข้อที่สอง เมื่อมีเหตุคือกรรมที่ได้ร่วมกันทำมาแล้ว ต้องมีปัจจัยเกื้อหนุน เช่น คนที่ทำให้เราเกิดต้องเจอ พบ กับคู่ที่ร่วมกรรมกับเขา หรือกับเรา ซึ่งในสงสารอันหาที่สุดได้ยากนี่ การที่ปัจจัยและเหตุจะมาบรรจบพร้อมกันนั้นเป็นการยากยิ่ง จึงได้มีดำรัสตามที่ผมยกไว้เบื้องต้น

บุญคุณก็จะมีตรงนี้ละครับ คือตรงที่ผู้ทำให้เกิดเอง ทำกรรมดีไว้บ้าง ไม่พิกลพิการถึงขนาดทำให้คนเกิดไม่ได้ ผู้ทำให้เกิดเขาก็อุตส่าห์ทำความดีจนสามารถได้เกิดมาเป็นคน เป็นเหตุให้เหตุปัจจัยทั้งหลายที่จะทำให้เราเกิดมาได้นั้นประชุมพร้อมกัน ตรงนี้ละครับที่ว่าคุณความดีของเขา เมื่อเหตุปัจจัยที่เขาทำมาพร้อมมีคุณเกิดมา ภายหน้าคุณอาจจะได้ปฏิบัติธรรม บรรลุมรรคผลนิพพานก็อาจเป็นได้ ตรงนี้ละพระคุณใหญ่หลวงเลย

อย่าได้เชื่อผมละ ผมคิดเองเออเอง


ส่วนข้อที่ว่าใครจะมีพระคุณกว่ากัน ถ้าตอบแบบทั่วไปตามลักษณะที่ควรผมคงตอบว่า
ไม่ใช่ฐานะที่จะเอามาเปรียบเทียบกัน

แต่ถ้าตามใจผมแบบไม่สนใจใคร ก็คงตอบว่า....
คนที่เป็นเหตุให้คุณเ้กิดนั่นละครับ บุญคุณเขามากกว่า

ผมพิจารณาที่ว่า ถ้าไม่มีเขาคนนั้นที่ทำให้เกิด อีกคนก็คงไม่มีคนที่มีบุญคุณในฐานะเลี้ยงดู

ผมมองในแง่ของคนที่เป็นเหตุก่อน

เดี๋ยวก่อน ยังมีอีก แยกออกอีกข้อหนึ่งก็ดี

การจะเทียบว่าใครมีพระคุณมากกว่ากัน เห็นทีจะเทียบยาก เพราะไม่มีอะไรที่จะมาเป็นหลักเกณฑ์กำหนดคะแนนได้มากๆ นอกจากความรู้สึกของผู้ตอบแต่ละคน ผมเสนอทางสายกลางๆดีกว่า

มีพระคุณเท่ากัน แบบนี้สวยงามดี บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น เพราะมีพระพุทธดำรัสยืนยันไว้ว่า

การได้เกิดเป็นมนุษย์ยากยิ่ง การเลี้ยงชีวิตนั้นยากยิ่ง


สรุปคือ คนที่ทำให้เกิดนั้น มีพระคุณในฐานะตามวรรคแรกของพระพุทธดำรัส
คนที่เลี้ยงเรา ช่วยให้เรามีชีวิตรอด มีพระคุณตามฐานะของพระพุทธดำรัสวรรคที่สอง

สนทนาสนุกๆ อย่าได้เอาเป็นจริงเป็นจังนะครับ ผมคิดเองเออเองทั้งนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2011, 22:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 21:46
โพสต์: 373

ชื่อเล่น: ฮานะ ธรรมอาสา
อายุ: 28

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes ฮ๊าฮานะ ไม่มีใครมีพระคุณกว่ากัน
แต่มีกรรมด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ละเจ้าข๊า :b4:

อ้างคำพูด:
"กัมมุนา วัตตะตี โลโก"
สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม

กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท
เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์

กัมมะปะฏิสะระโน ยัง กัมมัง กะริสสามิ
เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้

กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา
เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม

ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ
เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น

เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆ อย่างนี้แล.


ไม่ว่าใคร ก็ล้วนแล้วแต่ มีกรรม กันทั้งนั้น ละเจ้าค่า
หมู หมา กา ไก่ ใส้เดือน กิ้งกือ พยาธิตัวตืด พยาธิปากขอ ... ก็ไม่ละเว้น
พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด เทียด ลูก หลาน คนข้างบ้าน เจ้าหนี้ เจ้านาย นายกรัฐมนตรี ฯลฯ
ยิ่งใกล้ชิดกันมาก ยิ่งมีอิทธิพลมาก ก็เป็น เจ้ากรรมนายเวรรายใหญ่ นะเจ้าข๊า

tongue สำนึกในกรรม แล้ว ขอขมากรรม และ อโหสิกรรม ต่อกันนะเจ้าค๊า
อย่าได้อาฆาต พยาบาท เบียดเบียน จองเวร ซึ่งกันและกันเลย

ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเป็นอะไรกันจริงๆ เลย
มีแต่ความหลงเท่านั้น พาให้เวียนว่ายไปตามยถากรรม

ชาติก่อนอาจเป็นพ่อ ชาตินี้อาจมาเป็นแม่ ชาติหน้าก็อาจจะเป็นศัตรูกัน
เรื่องสมมุติไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน
:b34: แต่ กรรมยุติธรรมเสมอ นะเจ้าข๊า :b4:

ใครมีทิฏฐิความหลงในเรื่องอะไรก็จะต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น
ยิ่งหลงมาก ยิ่งทุกข์แสนสาหัส จนต้องดิ้นรนหาทางออกจากทุกข์ นั่นแหละ

:b42: การปฏิบัติธรรม ชำระความหลงในกายและจิตมีอานิสงส์มาก
เพราะเป็นกรรมอันทำให้สัตว์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
เมื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรซึ่งเป็นเพื่อนทุกข์ฯ ย่อมมีผลมากเช่นกัน :b42:

:b8: ฮานะ อนุโมทนา ข๊า rolleyes

:b46: :b48: :b53: :b47: :b41:

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2011, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


"มาก".. แล้วชดใช้หมดไหม
"น้อย".. แล้วจะไม่ตอบแทนเลยหรือ

ผู้มีพระคุณของคุณเขาตั้งเงื่อนไขหรือว่า
ถ้าตอบแทนเขา แล้วห้ามตอบแทนอีกคน?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กาลามสูตร เขียน:
คุณว่า คนทำให้เกิด กับ คนที่เลี้ยงเรามาใครมีพระคุณกว่ากัน แล้วถ้าผมสมมุติกรณีเข้าไปอีกว่า คนทำให้เกิดไม่ได้เลี้ยงดู กับคนที่เลี้ยงดูเรา ใครกันแน่สมควรที่พระคุณมากกว่ากัน เพราะคนทำ ตอนทำก็สบาย แต่คนเลี้ยงดู นี้เขาคงลำบาก น่าดู ผมว่ามันเป็นคำถามที่ตอบลำบาก เพราะตอนมาวัด ผมก็โดนสอนมาด้านเดียว แต่มนุษย์โลก 6 7 ล้านล้าน คงจะหลาย cases น่าดู

กระทู้นี้จขกทคงรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า จะได้รับคำตอบอย่างไร
สรุปคือ กล้าที่จะตอบมั้ย ตอบแบบลำเอียงมั้ย ตอบโดยไม่รู้ไม่เข้าใจแค่อยากโชว์ว่า
ตัวเองเป็นคนดีรักพ่อรักแม่ มีความกตัญญูพ่อแม่เป็นเช่นไรฉันก็รับได้
คุณเจ้าของกระทู้ครับ ถ้าเป็นแบบนี้คุณคิดว่าจะได้รับคำตอบที่มีเหตุผลหรือครับ
แม้แต่ตัวจขกทเองก็เถอะ ใจก็กลัวกับเหล่าสมาชิกที่เข้ามาตอบกระทู้
ทำไมผมบอกแบบนั้น ก็เพราะตัวเองยังไม่ได้รับคำตอบที่แท้จริง แต่ด้วยความกลัว
ที่จะโดนสมาชิกประนามเลยเลี่ยง พยามเบี่ยงประเด็นคำถามตัวเอง ตอนแรกบอก"คนทำให้เกิด"
พอมีคนแสดงความเห็นชนิดไปไหนมาสามวาสองศอก แทนที่จขกทจะบอกผู้ออกความเห็นว่า
ที่ตอบมาไม่ตรงประเด็น กลับไปเปลี่ยนหัวข้อกระทู้ตัวเองเฉยเลย
คำว่าผู้ให้กำเนิดมันมีความหมายทั้งพ่อและแม่นั้นแหล่ะครับ
เขาไม่แยกหรอกครับว่าใครอุ้มท้องไม่อุ้มท้อง การตั้งท้องมันเป็นเรื่องธรรมชาติ
ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าเลือกได้ว่าลูกคนนี้ใครระหว่างพ่อหรือแม่จะเป็นคนตั้งท้อง
แล้วเกี่ยงกัน แบบนี้ค่อยมาโยนความผิดให้อีกฝ่ายครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2011, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของทางโลก การดำรงชีวิตของมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วในมงคล38ประการ
คำตอบที่จขกทต้องการรู้มันก็มีอยู่ในมงคล38ประการนั้น แต่การจะให้ได้คำตอบเราต้องรู้จัก
การพิจารณาเทียบเคียงไปด้วย ไม่ใช่อ่านแต่หัวข้อแล้วก็เชื่อตามนั้น
แบบนี้เรียกนกแก้วนกขุนทอง

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน พระองค์ทรงสอนไปตามเหตุและผลของมัน
เช่นคนที่มีอาชีพเป็นครู แต่เขาไม่ได้สอนเรา เขาสอนคนอื่น
ถึงแม้เราจะเรียกเขาว่าครู แต่เขาก็ไม่ได้เป็นครูของเรา

มันก็เหมือนในกรณีของพ่อแม่ พระพุทธองค์ทรงกำหนดหน้าที่ของพ่อแม่ไว้ในมงคลชีวิต38
คือ....มงคลชีวิต๑๒. การสงเคราะห์บุตร
การที่เราเป็นพ่อ เป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ
๑.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
๒.ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี
๓.ให้การศึกษาหาความรู้
๔.ให้ได้คู่ครองที่ดี (ใช้ประสพการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูให้)
๕.มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร (การทำพินัยกรรม ก็ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)
บนนี้นี้คือสิ่งที่ชายหรือหญิงสักคน มาปฏิบัติต่อเราในลักษณะนี้
นี่แหล่ะความเป็นพ่อเป็นแม่ในความหมายของพระพุทธเจ้า

ทีนี้ลองดูสิ่งที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่า บุตรพึงกระทำต่อบิดามารดา
มงคลชีวิตที่11 การบำรุงบิดามารดา

ท่านว่าพ่อแม่นั้นเปรียบได้เป็นทั้ง ครูของลูก เทวดาของลูก พรหมของลูก และอรหันต์ของลูก ความหมายโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ

ที่ว่าเป็นครูของลูก เพราะว่าท่านได้คอยอบรมสั่งสอนลูก เป็นคนแรกก่อนคนอื่นใดในโลก

ที่ว่าเป็นเทวดาของลูก เพราะว่าท่านจะคอยปกป้อง คุ้มครอง เลี้ยงดู ประคบประหงมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก บำรุงให้เติบใหญ่เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกในทุกด้าน

ที่ว่าเป็นพรหมของลูก เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร 4 นั่นก็คือ มีเมตตา หมายถึงความเอ็นดู ความปรารถนาดีต่อลูกในทุกๆด้าน ไม่มีที่สิ้นสุด มีกรุณา หมายถึงให้ความกรุณาต่อลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ลูก ให้การศึกษาเล่าเรียน ส่งเสียเท่าที่มีความสามารถจะให้ได้ มีมุทิตา หมายถึงความรักที่ยอมสละได้แม้ชีวิตของตัวเองเพื่อลูก ยอมเสียสละได้ทุกอย่าง และมีอุเบกขา หมายถึงการวางเฉย ไม่ถือโกรธเมื่อลูกประมาท ซน ทำผิดพลาดเพราะความไร้เดียงสา หรือเพราะความไม่รู้

ที่ว่าเป็นอรหันต์ของลูก เพราะว่าท่านมีคุณธรรม 4 ประการอันได้แก่

เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อลูก คืออุปการะเลี้ยงดูมาด้วยความเหนื่อยยาก กว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่

เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก คือให้ความอบอุ่นเลี้ยงดู ปกป้องจากภยันตรายต่างๆ นานา

เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือลูกเป็นส่วนหนึ่งของกรรมดีที่พ่อแม่ได้ทำไว้ และเป็นผู้รับผลบุญ ที่พ่อแม่ได้สร้างไว้แล้วทางตรง

เป็นอาหุไนยบุคคล คือเป็นเหมือนพระที่ควรแก่การเคารพนับถือและรับของบูชา เพื่อเทอดทูนไว้เป็นแบบอย่าง

คุณจขกทครับผมยกเอามงคลชีวิตที่11มาเทียบเคียงให้ดู
คุณลองดูครับ พระพุทธเจ้าบอกไว้เลยว่า คนเป็นพ่อแม่มีคุณสมบัติอย่างไร
ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้ครับ มันไม่ใช่มีชายหญิงคู่หนึ่งให้กำเนิดเรามา
แต่พระองค์ให้ไปดูที่คุณสมบัติและการกระทำที่มีต่อเราครับ
จะเป็นใครที่ไหนก็ได้มาให้และปฏิบัติต่อเราแบบนี้ คนนั้นแหล่ะครับเป็นพ่อแม่เรา
เราต้องตอบแทนท่านด้วยวิธี...

การทดแทนพระคุณบิดามารดาท่านสามารถทำได้ดังนี้

ระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงานให้ท่าน ดำรงวงศ์ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การเป็นสืบทอดมรดกจากท่าน ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าไว้ดังนี้
๑.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี
๒.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ ให้ได้
๓.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน คือพยายามให้ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน
๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา คือพยายามให้ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้

หวังว่าคงจะแยกแยะออกนะครับว่า
คนให้เกิดกับคนที่เลี้ยงเรามาใครมีพระคุณต่อเรา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2011, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ คุณจขกท

ในความคิดเห็นส่วนตัวของเรา เราคิดว่าคนที่มีบุญคุณกับเรามากที่สุด คือคนที่ให้การเลี้ยงดูเรา
ให้ข้าวให้น้ำ ให้ความรู้ ให้การศึกษาเล่าเรียน อบรมบ่มนิสัยให้เติบโตเป็นคนดีของครอบครัวและสังคม
การจะเลี้ยงดูเด็กสักคนให้เขาเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทีดีไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
ซึ่งแน่นอนท่านผู้นั้นต้องมีความเมตตากรุณาต่อเราอย่างมากมายดังคำพระท่านเปรียบเทียบไว้ว่า
บิดามารดาเป็นดั่ง "พระพรม" ของบุตร นั่นเอง
ทำไมพระท่านจึงเปรียบเช่นนั้นก็เพราะ "คุณธรรม" ที่มีอยู่ในตัวของท่านนั่นเอง...
...ผู้ที่ให้กำเนิดก็มีพระคุณ
.....ผู้ที่เลี้ยงดูให้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วยความเมตตากรุณา..มีพระคุณมากกว่า...

คำว่า บิดา มารดา และบุตร เป็นเพียงคำสมมุติที่ใช้เรียก ผู้ที่ถูกเรียกก็จะมีสถานะภาพอย่างนั้นๆ
ขึ้นมาทันที...แต่ถามว่ามีคุณสมบัติไหม...อันนี้ต้องพิจารณากันอีกขั้นนึง
ผู้เป็นบิดามารดา ก็มีคุณธรรมของบิดามารดาที่ต้องประพฤติ
ผู้เป็นบุตร ก็มีคุณธรรมของบุตร ที่ต้องประพฤติ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2011, 15:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 13:10
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่ทำให้เราเกิดกับคนที่เลี้ยงมาต่างมีพระคุณทั้งคู่..ถ้าเปรียบเทียบว่าใครมีพระคุณมากกว่ากันแล้วมีประโยชน์อย่างไร...พระสารีบุตรถือว่าแม้ผู้เคยใส่บาตรเพียงครั้งเดียวยังถือว่าเป็นผู้มีพระคุณและคิดตอบแทน..

ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์ผู้หนึ่ง ชื่อราธะ อยากจะอุปสมบทในพระพุทธศาสนา แต่ไม่มีภิกษุรูปใดรับอุปสมบทให้ เพราะเป็นผู้ชราเกินไป ราธะเมื่อไม่ได้บวชก็มีความเสียใจมาก มีร่างกายซูบซีด ผิวพรรณไม่ผ่องใส พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นราธะ จึงตรัสถามได้ความจริงแล้ว จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะบ้าง พระสารีบุตรได้กราบทูลว่าท่านระลึกได้ ครั้งหนึ่งท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ราธะได้ถวายข้าวแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาทรงสรรเสริญว่า ท่านเป็นผู้กตัญญูดีนัก อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจำได้ จึงตรัสให้ท่านรับบรรพชาอุปสมบทราธพราหมณ์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 121 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร