วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 15:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 157 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2011, 16:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b32: :b32: :b32:

UFO ซุ๊ดยอด :b4: :b4: :b4:

ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ตอนที่เอกอนคลั่งไคล้เรื่องแนวนี้นะ เอกอนมีคติประจำใจไงรู้มั๊ย
"เพราะความคิดนั้นมีอยู่ จึงปรากฎความคิดนั้นขึ้นในใจเรา"
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ช่างคิดเข้าข้างความคิดตัวเองไปได้....


:b32: :b32: :b32:


อิอิ สงสัยต้องขยายความ กล่าวสั้น ๆ เดี๋ยวท่านจะงง
คือก่อนหน้านี้เอกอนจะปรากฎอาการนี้บ่อยมาก
คือ อยู่ ๆ ก็จะมีก้อนความรู้บางอย่าง โผล่แว๊บเข้ามาในทัศนะ ทันที
แทบจะเป็นเรื่องเป็นราวเลย
และพอไม่กี่วันถัดมา เมื่อเดินเข้าไปในร้านหนังสือ
ก็จะเห็น หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ วางจำหน่าย
เป็นปรากฎที่เกิดเป็นประจำ
แต่เอกอนไม่ได้แปลกใจนัก เพราะมันเป็นอาการที่เกิดประปรายตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
ดังนั้นจะเฝ้าพิจารณาสังเกตุการปรากฎอยู่
เอกอนปฏิบัติไม่เคยกางตำราเพราะอาศัยความรู้จากการเข้าไปรู้สิ่งนี้

เหมือนชั้นบรรยากาศ หรือ ชั้นความลึกของน้ำ ความร้อนความเย็น
จะทำให้ชั้นบรรยากาศ / ชั้นของน้ำ มีจุดเหลื่อมของการเกาะตัวกัน
ทำให้อากาศ/น้ำ แม้จะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่เกิดการแบ่งแยกออกเป็นชั้นเป็นส่วน ๆ

กับการเดินทางของกระแส ที่ไปได้ไกล ในระดับต่าง ๆ

ในโลกแห่งวัตถุ เราจะเห็นโซนความหนาแน่น กับโซนความละเอียด ได้อย่างชัดเจน
แต่ในภาคนามธรรม มันเป็นเรื่องของ กระแส กระแสหนาแน่น กระแสละเอียด
ก็หลักการ ที่กระทู้ก่อนที่เอกอน กล่าวเรื่อง จิตที่นิ่งเหมือนผื่นน้ำ
เมื่อโยนหินไปตรงไหน ก็ย่อมรู้ และย่อมเห็นการปรากฎ วิญญาณ และ อายตนะ
นี่เป็นหลักการที่เอกอนใช้คือ การสร้างปัจจัยการกระทบให้เกิด
ทำใจให้นิ่ง (เข้าไปสร้างความละเอียดของอัตภาพ) และเฝ้าดูการกระทบ
กระแสจิตของเราอยู่ในย่านความถี่ใด ก็จะรับสัญญาณกระแสที่ในย่านความถี่นั้น ๆ
ดังนั้น ในทะเลแห่งกระแส เราจะเจอกระแสที่ตรงกับสภาวะที่เหมาะสมกับตัวเราได้
เอกอน เห็นจิตที่ทำงานได้ประหนึ่ง เครื่องส่งสัญญาณ และเครื่องรับสัญญาณ
มาตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มต้นปฏิบัติ และเห็นศักยภาพความแม่นยำของเขา(จากการพิสูจน์หลาย ๆ กรณี)
(สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่บอกยาก เขาเหมือนจะไร้ตัวตน ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน
แต่เขาสามารถ create ทุกอย่างขึ้นมาได้ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟัน ยันดาวเทียม
เขาสร้างสงครามขึ้น มาจากความไม่มี และเขาก็สร้างสันติให้เกิดได้
แต่ไม่ใช่จากการที่อีกฝ่ายต่างออกมาต่อต้านโจมตีอีกฝ่าย
แต่เป็นการ ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ปั่นกระแสในจุดที่ตนยืนอยู่
ประหนึ่ง เมล็ดพันธ์ที่หย่อนลงสู่ดินแล้ว แต่เราไม่รดน้ำมัน
ต้นไม้นั้น ย่อมเฉาตายไปในที่สุด และกระถางนั้นก็จะว่างเปล่าลงอีกครั้ง :b1: :b32: :b9: )

ในบรรยากาศของกระแส มันครอบคลุมพื้นที่กว้างไกล
มีกระแสมากมาย เมื่อกระแสวิ่งไปเจอจุดกระทบ ความรู้ในสิ่งที่กระทบจะปรากฎ

เกจิอาจารย์ที่มาสอนธรรม ก็ปรากฎได้
เมื่อเราไปกระทบกับ กระแสธรรมไหลเวียนอยู่ใน ทะเลแห่งกระแส

นี่คือที่มาของ "เพราะความคิดนั้นมีอยู่ จึงปรากฎความคิดนั้นขึ้นในใจเรา" ที่เอกอนหมายถึง

เพราะ การเข้าไปรู้เช่นนี้ ความรู้ทุกอย่างที่เข้าไปรู้ เอกอนจะเห็นว่ามันไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว
เพราะ เอกอนเห็นกระบวนการ
การเข้าไปรู้เช่นนี้ จะเบาหัว เพราะมันคัดมาด้วยพื้นจิตของเราเอง
ดังนั้น จิตจะหยิบสิ่งที่เขาเคี้ยวได้ ขบได้
เหมือนเรากำลังนั่งแพล่องไทรโยค และเราก็เอาขาหย่อนลงไปในน้ำ
เราก็สัมผัสรู้ถึงน้ำนั้น เช่นนั้นเอง
แต่ถ้าเป็นการเคลื่อนสังขารคิดนี่ จะเป็นความรู้ที่มีน้ำหนัก และเป็นของหนัก
เพราะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นแรงผลักดัน
และการขับเคลื่อนของกิเลส ทำให้เราไปหยิบเอาธรรมตามใจชอบ

คือ เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้น เอกอนก็เลยเป็นคนที่ค่อนข้าง
วางใจกับการให้ธรรมชาติของจิตนั้นเป็นไป
เราแค่ดูแลจิตให้เป็นกุศล เท่านั้น

:b22: :b22: :b22:

นี่เป็นประเด็นหนึ่ง ที่ทำให้เอกอนคิดอยากจะเข้าศรีธัญญาอยู่ตลอดเวลา :b32: :b9:
ศรีธัญญาจ๋าาาาาา อิอิ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2011, 18:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: :b14: :b14:

อิอิ อย่าคิดว่าเอกอนจะรู้อะไรที่ล้ำลึก วิจิตรยิ่งกว่านี้นะ
เพราะ ตลอดมาไอ้ที่ปรากฎน่ะ เอกอนคิดว่า เอกอนท่าจะบร้าาาา 5555

:b22: :b22: :b22:

เปรตก็ไม่เคยเห็น นางไม้ เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา แม้แต่ผีก็ไม่เคยเจอจัง ๆ
เรื่องสนทนากับเทวดา เทพ พรหม ไม่ต้องห่วง ไม่เคย

ไม่ต้องทดสอบภูมิหรอก
เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะหาได้ง่าย
ที่คนฉลาดจะแสดงความโง่ออกมาได้อย่างวิกลจริต :b32: :b32:

ก็ มันกลัวนี่ กลัวตัวเอง :b14:
ก็เลย ต้องคอยขู่ตัวเองเป็นประจำ
ประมาณว่า เอกอนยอมที่จะไม่คิดที่จะไปหาหมอศรีธัญญาก็ได้
จะลองศึกษาธรรม แต่อย่าโผล่อะไรทำนองนั้นมานะ
ถ้าโผล่มาเมื่อไร เค้าจะวิ่งเข้าศรีธัญญาทันทีเลย จริง ๆ ด้วย
5555

รับมือกับความฉลาด ด้วยปัญญานิ่ม ๆ นี่ล่ะ

ขำ ขำ

หะ หะ ก็เลยเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางธรรมที่มี
ความเซ่อ ๆ ซ่า ๆ เปิ่น ๆ 5555
มีสาระ และ ก็ไร้สาระ อยู่ในก้อนเดียวกัน

เหมือนเราฝันไปว่าเราเป็นคนฉลาด
แต่ทีไหนได้ พอตื่นขึ้นมาข้าก็พบกับข้าบร้าาาาา เหมี๋ยนเดิม อิอิ


:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2011, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


จิตใจของคนเราจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ความไม่รู้ ต่างๆ ก็ต่อเมื่อมอง
เห็นเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า คือเห็นชัดว่าตัวเราไม่มี และต้องเห็นชัดติดต่อไปทุกขณะจิต เมื่อเห็นไปเป็นเวลานานๆเข้า กิเลสตัณหาต่างๆก็คลายตัวลงตามลำดับ ส่วนจะเป็นเวลานานเท่าไหร่ก็สุดแล้วแต่ว่า บุคคลนั้นยึดมั่นถือมั่นเรื่องอะไร มากน้อยอย่างไร

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2011, 10:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


การเข้าถึงความว่างนี้
ถ้าผู้ใดทำใจให้ว่างได้ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่ปัญหาสำคัญคือคนส่วนมากทำไม่ได้
ตัวอย่างเช่น สิ่งของบางอย่างในเมื่อ แตก หัก เสียหาย หรือถูกคนอื่นโกง หรือถูกขโมยเอาไป
ทั้งที่รู้อยู่ว่าเอาคืนกลับมาไม่ได้แล้ว เขาควรจะเลิกคิดถึงเรื่องนี้ได้ แต่บางคนทำไม่ได้
ถึงแม้สิ่งของนั้นจะมีค่าเพียงเล็กน้อย ความรัก ความเสียดาย ความยึดถือ ทำให้อดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้
นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ทำใจให้ว่างไม่ได้จากเรื่องซึ่งไม่มีประโยชน์ ในเมื่อแม้แต่เรื่องอย่างนี้บางคนทำไม่ได้
เพราะฉะนั้นการปล่อยวางเรื่องการยึดมั่นถือมั่นเกี่ยวกับตัวตนของผู้นั้น ก็ถือว่ายังอยู่อีกห่างไกล
โดยเหตุผลจริงๆแล้ว เขาก็รู้อยู่ว่าสิ่งของนั้นเอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว
แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้


ในทำนองเดียวกัน เราทั้งหลายต่างก็รู้เป็นอย่างดีว่า ตัวเราไม่มี มีแต่ตัวตนที่เป็นสมมติ
ซึ่งตัวตนที่เป็นของสมมตินี้ ในที่สุดก็จะต้องแตกดับสูญสลายไป ทางที่ถูกควรจะปล่อยวาง
เพราะถ้าปล่อยวางได้ ก็จะทำให้จิตใจสบาย ซึ่งเราทุกคนก็ต้องการความสบายใจ
ทั้งที่รู้อยู่อย่างนี้แต่ส่วนใหญ่ก็ปล่อยวางไม่ได้
คนบางคนสามารถปล่อยวางได้ง่ายมากสำหรับสิ่งของที่แตกหัก หรือสูญหาย
เขามักจะพูดว่า ช่างมันเถอะ เอาคืนมาไม่ได้แล้ว ทำให้ดีเหมือนเก่าไม่ได้แล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ก็สามารถปล่อยวางเลิกคิดในสิ่งเหล่านี้ได้
การทำใจให้ว่างคือ ขับไล่ความคิดเรื่องการยึดมั่น หรือยึดถือกับสิ่งของนั้นออกไปได้หมด
แต่สิ่งที่ปล่อยวางลงได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้เหตุผลเพียงอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความเสียสละด้วย

คนไหนซึ่งในอดีตเคยเสียสละสิ่งของเงินทองเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นมามาก ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อให้แล้วสบายใจ
มีความยินดีที่เกิดจากการให้ คนที่มีนิสัยอย่างนี้ สามารถปล่อยวางในเรื่องการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งของได้ง่ายมาก

แต่จะได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสิ่งของที่เคยให้ คนที่เคยให้แต่ของเหลือใช้ที่ไม่ต้องการแล้ว ก็ปล่อยวางได้ก็แต่เฉพาะของอย่างนี้
แต่คนไหนเคยเสียสละให้ในสิ่งของที่ตนเองยังต้องใช้อยู่และยังรักอยู่มาก ให้แก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจได้
การปล่อยวางเกี่ยวกับเรื่องของรักก็จะปล่อยวางได้ง่าย

ส่วนผู้ที่ไม่เคยฝึกในเรื่องนี้มาก่อนย่อมทำไม่ได้

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2011, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หากไม่่มีอุปทานอยู่ ย่อมว่าง ย่อมไม่แสวงหา

เพราะยังมีอุปทาน จึงเข้ามาบอร์ด เพราะยังมีการแสวงหา:b38:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


jedrapus เขียน:
[center]กฎธรรมชาติมีอยู่แล้วในโลกมนุษย์อันได้แก่
1.อนิจจัง คือความไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ จนถึงวัยชราซึ่งมีลักษณะแห่งการเกิดขึ้นและปรากฏอยู่ชั่วคราว จนกระทั่งตายไปในที่สุด

ความไม่เที่ยงหรืออนิจจังในหลักของวิปัสสนา ความหมายที่แท้จริงก็คือ อารมณ์ของผู้
พิจารณาธรรม มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกกายใจของผู้พิจารณาธรรม การมองสิ่งที่อยู่นอกกายใจต้องมองว่าเป็นเพียงธรรมชาติ เป็นเพียงคนสัตว์สิ่งของ สิ่งที่ต้องมองหรือพิจารณาก็คือ อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะภายในที่ไปกระทบอายตนะภายนอกหรือสิ่งต่างๆนอกกายใจเรา

การเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่จนชรา ไม่สามารถเรียกว่าอนิจจังในกฎแห่งไตรลักษณ์ เพราะสิ่งที่ว่า มันเป็นนิจจังแห่งธรรมชาติ มันเป็นความเที่ยงของธรรมชาติ เพราะทุกคนเกิดแล้วต้องแก่และตายไม่มีใครหลีกหนีพ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


jedrapus เขียน:
2.ทุกขัง คือ การทนได้ยาก โดยการทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นสำหรับผู้ที่เข้าไปยึดถืออนิจจัง(ความไม่เที่ยงนั้น) สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
- เพราะความเปลี่ยนแปลงนั้นเอง ทำให้เกิดลักษณะอาการที่เรียกว่าทุกข์
- ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อสิ่งที่เป็นทุกข์
- ทำให้เกิดโอกาส พบวิธีแห่งการปล่อยวาง

ก่อนอื่นต้องขอบอกครับว่า ทุกขังในไตรลักษณ์ไม่ใช้ลักษณะความไม่สบายกายไม่สบายใจ
แต่ทุกขังในไตรลักษณ์คือ การเห็นเหตุปัจจัยแห่งทุกข์ เห็นหนทางที่จะพ้นทุกข์แห่งความ
ไม่สบายกายและใจครับ
ดังนั้นต้องเข้าใจกับบัญญัติของทุกข์ให้ดี มันมีสองลักษณะคือ เป็นทุกข์กับเห็นทุกข์
มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


jedrapus เขียน:
[ 3.อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นสิ่งที่ไม่ควรถือว่าเป็นตัวตน มีลักษณะแห่งการที่ใครๆไม่อาจจะเข้าไปเป็นเจ้าของได้ และ เป็นเจ้าของตัวมันเองก็ไม่ได้ เช่น รูปลักษณะของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ความรู้สึกอารมณ์ต่างๆ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ร่างกาย ดวงจิต แต่ละส่วนๆก็ไม่ใช่ตัวตนของมันเอง เป็นเพียงสังขารที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัย
แต่ละส่วนๆย่อมเป็นไปเพื่อการบุบสลาย ชำรุด ทรุดโทรม ถ้าแต่ละส่วนเป็นตัวตนที่แท้จริงแล้ว มันก็ไม่ควรชำรุดทรุดโทรมหรือเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เพราะเหตุที่ในตัวของมันเองไม่มีอำนาจที่จะหยุดยั้ง มิให้เกิดการชำรุดทรุดโทรมเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จึงถือว่ามันไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง คือไม่มีตัวตนที่แท้จริง[/center]

อนัตตาคือการอธิบายความให้รู้ว่า อารมณ์ในลักษณะไตรลักษณ์ มันเป็นสิ่งที่เราไปบังบังคับ
บัญชามันไม่ได้ มันย่อมเกิด ตั้งอยู่และดับไป การที่เราไปบังคับมันไม่ได้นั้นย่อมแสดงว่า
มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
อารมณ์ที่ยังคงอยู่มันเกิดจากผัสสะตัวใหม่หรือการปรุงแต่ง มันไม่ใช่ความจริงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
หรือความไม่สบายกายและใจ

jedrapus เขียน:
แต่ละส่วนๆย่อมเป็นไปเพื่อการบุบสลาย ชำรุด ทรุดโทรม ถ้าแต่ละส่วนเป็นตัวตนที่แท้จริงแล้ว มันก็ไม่ควรชำรุดทรุดโทรมหรือเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เพราะเหตุที่ในตัวของมันเองไม่มีอำนาจที่จะหยุดยั้ง มิให้เกิดการชำรุดทรุดโทรมเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จึงถือว่ามันไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง คือไม่มีตัวตนที่แท้จริง[/center]

อันนี้อธิบายความคนละเรื่องครับ เรื่องของจิตของอารมณ์ไม่เกี่ยวกับการบุบสลาย ชำรุดทรุดโทรม
อันนี้มันเป็นเรื่องของสิ่งของภายนอกกายใจ ไม่เกี่ยวกับอนัตตาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


การปล่อยวางเกี่ยวกับเรื่องตัวตนย่อมหมายถึง
การปล่อยวางเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียง ความสุข ความสะดวกสบาย ตลอดจนถึงการเสียสละชีวิต คนที่สามารถทำใจให้ว่างในเรื่องตัวตนจริงๆต้องเป็นคนที่เคยผ่านการเสียสละเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียง ความสุข ความเจริญ รวมทั้งเสียสละชีวิตเพื่อผู้อื่นมาแล้วมากมาย ซึ่งการเสียสละนั้นจะต้องทำด้วยความเต็มใจไม่หวังผลตอบแทน เช่นไม่ได้ทำเพื่อหวังผลตอบแทนในชื่อเสียง เกียรติยศ ความรัก ความเคารพนับถือ ความกตัญญู หวังผลให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ หรือ ความร่ำรวยในชาติหน้า เป็นต้น

บุคคลทั่วไปส่วนใหญ่ตกเป็นทาสแห่งความรู้สึกนึกคิดของตนเอง อย่างที่พูดกันว่า อดคิดไม่ได้ อดเสียใจไม่ได้ อดวิตกกังวลไม่ได้ หรือเวลานั่งสมาธิก็ควบคุมจิตใจให้เป็นสมาธิไม่ได้ มีความคิดฟุ้งซ่าน ไม่สามารถทนอยู่ได้ในสภาวะนี้ได้ เป็นต้น

ดังนั้นคำว่าว่างในความหมายอันที่หนึ่ง
ก็คือแม้จะมีความรู้สึกนึกคิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ก็ไม่ติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น พร้อมจะปล่อยวางได้อยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น คนที่ดื่มเหล้าเพราะติด จะไม่ดื่มอยู่ไม่ได้ ส่วนคนที่ดื่มเหล้าแต่ไม่ติด ที่ดื่มก็เพื่อจะศึกษาหรือเพื่อที่จะรู้อะไรบางอย่าง ถึงจะดื่มเหล้าเหมือนกันกับคนที่ติด แต่มีลักษณะบางอย่างแตกต่างกัน กล่าวคือคนที่ติดเหล้าเมื่อถึงเวลา หรือมีสิ่งยั่วเย้าจะบังคับตนเองไม่ให้ดื่มไม่ได้ แม้จะถูกกังขังหรือบังคับไม่ให้ดื่ม ก็บังคับได้แต่เพียงร่างกาย ส่วนใจก็คิดถึงแต่เหล้าอยู่เสมอ แม้จะติดธุระกับเรื่องอะไรอยู่ก็ตามก็อดจะคิดถึงเรื่องเหล้าไม่ได้ หากไม่ได้ดื่มจะหงุดหงิด เกิดอารมณ์โกรธโมโหได้ ส่วนคนที่ไม่ติดเหล้า เมื่อคิดว่าจะไม่ดื่ม ก็ไม่ดื่มจริงๆ จิตใจก็ไม่ข้องติดอยู่กับเหล้า จะเลิกคิดเมื่อไหร่ก็ทำได้ นี่คือข้อแตกต่างกัน คนดื่มเหล้าเพราะติด ใจย่อมไม่ว่างจากเหล้า ส่วนคนที่ไม่ติดถึงแม้จะนึกถึงเหล้าใจก็ไม่ติด เพราะพร้อมจะปล่อยวางได้อยู่ตลอด ความผิดหวังเรื่องเหล้าจะไม่กระทบ กระเทือนจิตใจอะไรเลย


ดังนั้นคนที่ดื่มเหล้าเพราะติด ใจย่อมไม่ว่าง ส่วนคนที่ดื่มแต่ไม่ติด ใจย่อมว่างอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้ความว่างตามตัวอย่างนี้
“ ไม่ได้หมายความว่าต้องไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆจึงจะเรียกว่า ว่าง

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
หลับอยู่อยากฟังความเห็นหลับอยู่ หง่ะ

:b1: :b1: :b1:

คุณnarapanยังต่อจิ๊กซอว์จากพระสูตรต่างๆได้เลยคนเดียวด้วย :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 13:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: อืมมม

ท่านกล่าวถึงเขาอย่างชื่นชม :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่า ผู้ที่เข้าถึงความว่างได้ย่อมไม่ยึดถืออะไรเลย
แต่แท้จริงแล้วคนเราจะต้องมีความยึดถือในสิ่งที่ดีและถูกต้อง
แต่ต้องไม่มีอารมณ์ความโลภ โกรธ หลง ซึ่งหากไม่มีการยึดถือก็ไม่มีหลักในการดำเนินชีวิต
คนเราก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้ สังคมก็มีปัญหาได้ เช่น การยึดถือในกฎหมาย กฎระเบียบสังคม จารีตประเพณี เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น เราเป็นคนที่แต่งกายเรียบร้อย ตามแบบที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงามถูกต้อง
เมื่อเห็นคนอื่นแต่งตัวนำสมัยหรือไม่ถูกกาละเทสะ เราอาจมีความรู้สึกไม่พอใจ หรือขวางหูขวางตา
หากแต่ในความหมายของคำว่าทำใจให้ว่างแล้ว แม้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ดี ก็ต้องมีความรู้สึกเฉยๆ
ความไม่พอใจ ความโกรธหรือความเกลียด ที่จะทำให้ขุ่นมัวย่อมไม่เกิดขึ้นในจิตใจ

คำว่าว่างในความหมายที่สองก็คือ
การทำใจให้ว่างจากอารมณ์ทุกอย่าง ในใจไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ไม่มีอารมณ์ใดๆ หรือ ไม่มีเรื่องอื่นใด
ที่ผ่านเข้ามาแล้วยังคงติดค้างอยู่ในจิต ซึ่งหากต้องการจะหยุดความรู้สึกนึกคิดใดๆ ก็สามารถทำได้ในทันทีโดยไม่ยาก
อารมณ์ค้างหรือความกดดันต่างๆ ไม่มีเหลืออยู่ในจิตใจ

มนุษย์เคยชินกับการอยู่และใช้ชีวิตเพื่อตัวเองมาโดยตลอด
ความรู้สึกนึกคิดต่างๆก็ถือว่าเป็นตัวเราเป็นของๆเรา ความรู้สึกนี้ฝังใจอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นไม่ว่า จะนึก จะคิด จะพูด หรือจะทำอะไร ก็ทำเพื่อตัวเรา เพื่อร่างกาย
เพื่อสนองความปรารถนาความต้องการที่เข้าใจว่าเป็นของๆเรา
การดำรงชีวิตของมนุษย์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นไปในทางที่สุจริตถูกต้องสักเพียงใด
ก็ทำเพื่อตัวตนที่เข้าใจว่าเป็นตัวเขาจริงๆอยู่นั่นเอง

ส่วนผู้ที่เข้าถึงความว่างได้แล้วนั้น
ความรู้สึกที่ว่าทำให้ตัวเราไม่มี เพราะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเราไม่มี
แต่ถ้าจะมีการยึดถือว่าตัวเรามีอยู่ ก็ยึดถือได้เพียงอย่างเดียวคือตัวตนที่เป็นผลแห่งกรรม
แต่ก็ยังรู้สึกอีกว่าตัวตนที่เป็นผลแห่งกรรมก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ ดับได้ สูญสิ้นได้ ก็ย่อมเป็นตัวเราไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


หากผู้ใด
เข้าถึงความว่างได้
ก็สามารถพบกับความสงบอันประณีต
เป็นความสงบที่สูงกว่า ประณีตกว่า
สงบกว่า
ความสงบใดๆที่เกิดจากสมาธิหรือวิปัสสนา
แม้ว่าจะได้ฌานขั้นสูงสุด เจริญวิปัสสนาได้แกร่งกล้า
ความสงบที่มีอยู่แม้จะประณีตหรือสูงสุดอย่างไร
ก็ยังเปลี่ยนแปลงได้ไม่คงที่
โดยเฉพาะกิเลสต่างๆที่มีอยู่ในสันดาน ยังละไม่ได้จริงๆ
เพียงแต่ระงับหรือข่มเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมาในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

ความสงบอันประณีตนี้ เป็นความสงบขั้นนิพพาน เป็นความสงบอันสูงสุด อยู่ตัว
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์ ตามสภาพร่างกาย แม้ว่าตายแล้วเกิดอีก ความสงบที่เคยมีก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม
และด้วยการเข้าถึงความสงบอันประณีตนี้เท่านั้น กิเลสต่างๆในสันดานจึงสามารถละได้โดยเด็ดขาด โดยกิเลสตัวไหนละได้แล้ว
ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกไม่ว่ากรณีใดๆ

ความสุขสงบที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมาธิหรือวิปัสสนานั้น อาศัยความข่มด้วยการไม่นึกถึงอารมณ์ที่ก่อให้เกิดกิเลส
และในขณะเดียวกันต้องพยายามนึกถึงหลักธรรมอยู่เสมอ แต่ถ้าเข้าถึงความสงบอันประณีตแล้ว ลักษณะที่ว่านี้ไม่มีเลย และที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ ความสงบอันประณีตจะพบได้ทันทีหรือสัมผัสได้ทันที ในขณะที่ละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการเข้าถึงความสงบอันประณีต

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1: อืมมม

ท่านกล่าวถึงเขาอย่างชื่นชม :b1:

นั่นยังไม่มากแต่ต้องยกย่องที่narapanเขาจับจุดในมหาวรรคอานาปานกถา,โมคัลลานะสังยุตต์ๆลๆได้รวดเร็วอีกท่านที่ต้องยกย่องคือรุ่นพี่ผมที่สอนเราอ่านพระไตรปิฏกยังจำได้ไหม?
จะบอกใบ้ให้อีกนิดส์

ใครที่ปรามาสหลวงพ่อวัดปากน้ำทีท่านเมตตาแฉความลับของธรรมชาติเช่นธรรมกายขั้นนั้นขั้นนี้กี่วาขั้นโน้นกี่วาตายไปลงล่างทุกคนไม่เว้นครับมีฌาณใดก็เสื่อมจากฌาณนั้นแถมยังเป็นวิบากติดตัวข้ามภพข้ามชาติแบบหนักๆอีกมหาศาล(น่ากลัว).....อย่างน้อยๆผู้นั้นไม่มีความรู้เรื่องจักรวาลวิทยาอย่างหยาบๆเลย..แม้แต่ระยะโยชน์ระหว่างภพภูมิต่างๆในพระไตรปิฏกก็ไม่รู้เรื่องๆลๆ
เกจิดังๆในเรื่องฤทธิ์บ้านเราหลายๆองค์ในยุคก่อน(วัตถุมงคลราคาแพงด้วยหลายๆท่าน)เขามีฌาณเป็นพื้นอยู่แล้วบางท่านแค่อ่านหรือฟังเสียงหลวงพ่อสดท่านเทศน์แป๊บเดียวก็ได้ธรรมกายกันแล้วเห็นกายเวทนาจิตธรรมกันแล้วการดำเนินจิตในมหาวรรคอานาปานกถาทำจิตให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้นหยุดแล้วเข้ากลางแต่ละท่านทำได้ไม่ยาก...แต่ใครจะได้ขั้นไหนอันนี้ไม่รู้และแต่ละท่านท่านไม่เที่ยวไปบอกใครต่อใครหรอกครับเพราะก่อนหน้านั้นก็ดังกันอยู่แล้ว

สมถะไม่ได้จะเอาวิปัสสนาอันนี้ยิ่งขำครับฌาณไม่เอาอันนี้ไปกันใหญ่ :b32: Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้ชัดภายนอก มีแต่เรื่องของเหตุ

รู้ชัดภายใน มีแต่มุ่งดับที่เหตุ จึงไม่มีทั้งว่างและไม่ว่าง

ต่อให่รู้สารพัดวิธีการ สารพัดรูปแบบ แต่ไม่สามารถรู้ชัดภายในได้ จึงมีแต่เหตุไม่รู้จบเพราะเหตุนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 157 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 96 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร