ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สร้างความปรองดองด้วย "ธรรมะ" http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=38832 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ [ 30 มิ.ย. 2011, 19:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | สร้างความปรองดองด้วย "ธรรมะ" |
"สร้างความปรองดองด้วย ธรรมะ" (หากทีมงานเห็นว่าไม่สมควร ไม่เหมาะสมก็กรุณาเอาลงขยะได้เลยขอรับ) ในช่วงเวลานี้ เป็นช่วงของการหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งที่จะมีในวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ บรรดาพรรคการเมืองต่างๆมักกล่าวถึง "ความปรองดอง" กันแถบทุกพรรค ซึ่งคำว่า ปรองดอง หมายถึง [ปฺรอง-] ก. ออมชอม, ประนีประนอม, ยอมกัน, ไม่แก่งแย่งกัน, ตกลงกันด้วยความไกล่เกลี่ย, ตกลงกันด้วยไมตรีจิต (พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน) ความปรองดอง ก็คือ ความสามัคคีของกลุ่ม ของชุมชน ของชาติ นั้นๆ ส่วนคำว่า "สามัคคคี"นั้น หมายถึง น. ความพร้อมเพรียงกัน, ความปรองดองกัน.ว. ที่พร้อมเพรียงกันทำ, ที่ร่วมมือร่วมใจกัน (พจนานุกรมไทย ฉบับบราชบัณฑิตยสถาน) ดังนั้น "คำว่า สามัคคี กับ ปรองดอง ก็เป็นความหมายเดียวกัน คือ " ออมชอม ,ประนีประนอม,ยอมกัน,ไม่แก่งแย่งกัน ,ตกลงกันด้วยความไกล่เกลี่ย,ตกลงกันด้วยไม่ตรีจิต,ด้วยความพร้อมเพรียงกัน, พร้อมเพรียงกันทำ, ร่วมมือร่วมใจกันทำ,หรือ กระทำร่วมกันโดยความพร้อมเพรียง ความปรองดองหรือความสามัคคีนั้น ย่อมเกิดจากสภาพสภาวะจิตใจในตัวมนุษย์ ซึ่งในทางพุทธศาสนาเรียกว่า "พรหมวิหาร ๔" เพราะสภาพสภาวะจิตใจชนิดนี้ เป็นสภาพสภาวะจิตใจที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์เกิดขึ้นเองตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ หลักพรหมวิหาร ๔ นั้น ได้แก่ ๑.เมตตา หมายถึง ความรักใคร่,กิริยารักใคร่ ๒.กรุณา หมายถึง ความสงสาร ,กิริยาสงสาร ๓.มุทิตา หมายถึง ความพลอยมีความยินดี ๔. อุเบกขา หมายถึง ความวางเฉย ปัญหาของประเทศไทยที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีต้นตอมาจากสิ่งใด ก็ต้องขจัดสิ่งนั้นให้หมดสิ้นไป ก็เท่ากับว่า ปัญหาาจบสิ้นไปด้วย ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เกิดจากกิเลส ตัณหาของกลุ่มบุคคล แล้วก็แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น โดยเอาประชาชนบังหน้า อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย เสียงประชาชนข้างมาก เป็นการหลอกลวงประชาชน ขาดความเป็นผู้นำผู้ปกครอง ไม่มี หิริ,โอตัปปะ ไม่มีหลักพรหมวิหาร ๔ อย่างแท้จริง จึงทำให้เกิดปัญหา จนประชาชนต้องล้มตายและประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ปัญหาอยู่ตรงไหน ต้องแก้ตรงจุดนั้น คือแก้ต้นตอของปัญหา ถ้ากลุ่มบุคคลหรือบุคคลในพรรคการเมืองที่เสียผลประโยชน์ หัดศึกษาปฏิบัติธรรมในข้อ"พรหมวิหาร ๔" ปัญหาต่างๆก็จะหมดสิ้นไป เพราะทุกคน ต่างมี ความรักใคร่ กิริยารักใคร่ ซึ่งกันและกัน ,ต่างมีความสงสาร,กิริยาสงสาร ซึ่งกันและกัน,ต่างมีความพลอยมีความยินดี ซึ่งกันและกัน,ต่างมีความวางเฉยในอารมณ์ ซึ่งกันและกัน ความปรองดองย่อมเกิดขึ้น การจะยุติปัญญาของการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมือง ของพรรรคการเมือง เพื่อให้เกิดความปรองดองขึ้นในชาติ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัย หลักธรรมทางพุทธศาสนา ตามที่ได้กล่าวไป ถ้านักการเมืองมีศีลธรรม มีหลักพรหมวิหาร ๔ ในจิตใจ อย่างแท้จริง ไม่เอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจ ด้วยการอ้างว่า เป็นประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ซึ่งในทางที่เป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะเป็นเพียงข้ออ้างเอาเสียงของประชาชนมาเป็นเครื่องมือทำให้เกิดความแตกแยกความสามัคคีของคนในชาติ ควรได้ยุติปัญหานี้อย่างเด็ดขาดและแน่นอน ปัญหาของประเทศไทยเรายังมีอีกมาก เช่นปัญหา เขตแดน กัมพูชา ในเรื่องการจัดการบริเวณรอบประสาทเขาพระวิหาร ปัญหาการปักปันเขตแดน ไทย-กัมพูชา ความจริงแล้ว พวกผู้ปกครองของ กัมพูชา เป็นอันธพาล มากกว่าจะเป็นนักปกครองประเทศ ได้คืบจะเอาศอก แทนที่จะนำเอางบประมาณทางทหาร ไปสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ สร้างชุมชนใหม่ หาช่องทางสร้างทางขึ้นประสาทเขาวิหารใหม่ ปิดทางขึ้นประสาทเขาพระวิหารด้านติดกับประเทศไทยหรือไม่ปิดก็ได้ อันเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชาติคือสร้างรายได้ให้กับประเทศและประชาชนชาวกัมพูชา นี้แสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่ไม่ได้รับการขัดเกลาทางธรรมะในศาสนา ไม่ได้รับการปรึกษาหารือจากผู้รู้ผู้ชำนาญในการบริหารบ้านเมือง ถ้าผู้นำกัมพูชา หรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้อ่านกระทู้นี้ ควรได้นำไปเจรจา รีบแก้ไขให้ปํญหาต่างๆยุติลงไป จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |