ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

สติปัฏฐาน 4
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=38105
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  kriwut [ 16 พ.ค. 2011, 13:33 ]
หัวข้อกระทู้:  สติปัฏฐาน 4

สติปัฏฐาน 4 คือ การปฏิบัติอย่างไร ใครรู้ช่วยอธิบายทีครับ
tongue tongue tongue

เจ้าของ:  เช่นนั้น [ 16 พ.ค. 2011, 16:56 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติปัฏฐาน 4

การเจริญกายคตาสติ เช่นการเจริญอานาปานสติ คือการเจริญสติปัฏฐาน

เจริญธรรม

เจ้าของ:  2504 [ 16 พ.ค. 2011, 18:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติปัฏฐาน 4

สาธุครับ

เจ้าของ:  อนัตตาธรรม [ 16 พ.ค. 2011, 20:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติปัฏฐาน 4

tongue
ปัจจุบันอารมณ์เป็นที่รวมแห่งธรรมมะเพื่อความหลุดพ้นซึ่งมีธรรมอื่นที่จำเป็นและหมายถึงโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการด้วย
เริ่มต้นคือ อานาปานสติและสติปัฏฐาน 4
ในร่างกายเรานี้จะมีปัจจุบันซ้อนปัจจุบันอยู่หลายชั้นโดยธรรมชาติ ใครจะสัมผัสรู้ปัจจุบันชั้นใดได้นั้นขึ้นอยู่กับระดับความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้าของสติ ปัญญา และระดับความตั้งมั่นของสมาธิของผู้ปฏิบัติแต่ละคน
ที่ระลึกรู้ปัจจุบันอารมณ์ของสติจะปรากฏบนฐานทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ในระดับต่างๆมีเรียงลำดับลงไปจากหยาบถึงละเอียดดังนี้คือ
1.ที่สัมผัสของทวารทั้ง 5 (กาย)
2.ความรู้สึกต่างๆ (เวทนา)
3.ความนึกคิด (จิต)
4.อารมณ์ (ธรรม)
5.ลมหายใจ (กาย)
6.หัวใจเต้น (กาย)
7.ชีพจร (กาย)
8.ความสั่นสะเทือนในร่างกาย (กาย)
9.อุเบกขาที่สมบูรณ์ หรือสังขารุเปกขาญาณ (เวทนาและธรรม)
สิ่งชี้วัดว่าสติ ปัญญา ตามทันปัจจุบันอารมณ์ คือ ความนึกคิดหยุดรำงับไป เหลือแต่สภาวธรรมแสดงอยู่ตามกำลังแห่งเหตุและปัจจัยจนดับสนิทลง
ตราบใดที่ยังมีความนึกคิดเกิดขึ้นในจิต แสดงว่าสติ ปัญญา ตามไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ ถ้าวิเคราะห์ วิจัยดูจะพบว่าขณะที่คิดนึกอยู่นั้น จิตติดอยู่กับอดีตหรืออนาคต

สรุปว่าปัจจุบันอารมณ์เป็นที่รวมและที่เกิดของสติปัฏฐานทั้ง 4

วิธีเจริญสติปัฏฐาน 4 ที่ง่าย และไม่ต้องจำอะไรมากคือการ
ตั้งใจ (มนสิการ) ตั้งสติ ปัญญา (โยนิโส)ขึ้นมา นั่ง ยืน หรือ นอน เจริญสติปัญญา เฝ้าตามดู ตามรู้ ตามสังเกต พิจารณา เข้าไปในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ เป็นสำคัญ
เมื่อเฝ้า ดู เห็น รู้ และ สังเกต พิจารณา สภาวธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในกายและจิต ในที่สุดก็จะรู้ธรรมตามความเป็นจริง

ความเป็นจริงของสภาวธรรมทั้งหมดคือ
1.อนิจจัง ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดเวลา
2.ทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้ (ต้องเปลี่ยนแปลง)
3.อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไร้แก่นสาร ตัวตน กลวง ว่างเปล่า

เมื่อเห็นความจริงทั้ง 3 อย่างนี้ผู้ปฏิบัติแต่ละคนจะเห็นชัดต่างกัน บางคนชัดอนิจจัง บางคนชัดทุกขัง บางคนชัด อนัตตา เห็นชัดในข้อใดก็ได้ตามจริตนิสัยและการสร้างสมมาของแต่ละคน ที่สุดจะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายจาง ละวาง อุปาทานความเห็นผิด ว่าขันธ์ 5 นี้เป็นอัตตา ตัวตน ตัวกู ของกู
หรือละสักกายทิฐิได้นั่นเอง
:b53:

ไฟล์แนป:
caliz10.jpg
caliz10.jpg [ 13.95 KiB | เปิดดู 5856 ครั้ง ]

เจ้าของ:  kriwut [ 18 พ.ค. 2011, 14:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติปัฏฐาน 4

:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:
ขอบคุณครับ

เจ้าของ:  Supareak Mulpong [ 19 พ.ค. 2011, 11:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติปัฏฐาน 4

สติปัฏฐาน ๔ แปลง่ายๆ เป็นภาษาชาวบ้านว่า สภาวะที่เราระลึกนึกถึงโลกและชีวิตตามความเป็นจริงที่แท้จริง

ชีวิต ประกอบด้วย กาย เวทนา จิต ธรรมที่เหลือ ก็คือ โลก

การทำให้ความคิดเห็นนี้มั่นคง หรือ การเจริญสติปัฏฐาน ก็คือ การทำความเห็น หรือ สัมมาทิฐิให้มั่นคง เมื่อสัมมาทิฐิมั่นคง สติปัฏฐานก็มั่นคงตามมาด้วย

การเจริญสติปัฏฐาน ต้องไปปฏิบัติที่เหตุของการทำให้สติระลึกนึกถึงโลกและชีวิตตามความเป็นจริงที่แท้จริง ซึ่งก็คือ การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘

การเจริญสติปัฏฐานในมหาสติปัฏฐานสูตร สรุปได้ง่ายๆ ว่า ให้พิจารณากิเลสที่เหลือ แล้วเอามาช่วยในการวิปัสสนา

กายานุปัสนา มาจากคำว่า กาย + อนุ + วิปัสสนา แปล่า พิจารณากาย ถ้ายังมีตัวฉันหลงเหลืออยู่ ก็ให้วิปัสสนาเพิ่มเติม

เวทนานุปัสนา มาจากคำว่า เวทนา + อนุ + วิปัสสนา แปล่า พิจารณาเวทนาที่ยังเกิดขึ้นอยู่ ถ้ายังมีเวทนาหลงเหลืออยู่ ก็ให้วิปัสสนาเพิ่มเติม

จินตานุปัสนา มาจากคำว่า จิต + อนุ + วิปัสสนา แปล่า พิจารณาจิต ถ้ายังมีอกุศลจิตหลงเหลืออยู่ ก็ให้วิปัสสนาเพิ่มเติม

ธัมมานุปัสนา มาจากคำว่า สิ่งแวดล้อม + อนุ + วิปัสสนา แปล่า พิจารณาสิ่งที่อยู่รอบๆ ถ้ายังมีความกำหนัดในวัตถุกามหลงเหลืออยู่ ก็ให้วิปัสสนาเพิ่มเติม

สมดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า

ฯลฯ ส่วนบุคคลเมื่อรู้เมื่อเห็นจักษุตามความเป็นจริง เมื่อรู้เมื่อเห็นรูปตามความเป็นจริง เมื่อรู้เมื่อเห็นจักษุวิญญาณตามความเป็นจริง เมื่อรู้เมื่อเห็นจักษุสัมผัสตามความเป็นจริง เมื่อรู้เมื่อเห็นความเสวยอารมณ์เป็นสุขก็ตามเป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยตามความเป็นจริง ย่อมไม่กำหนัดในจักษุ ไม่กำหนัดในรูป ไม่กำหนัดในจักษุวิญญาณ ไม่กำหนัดในจักษุสัมผัส ไม่กำหนัดในความเสวยอารมณ์ เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย

เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดนักแล้ว ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ไม่ลุ่มหลง เล็งเห็นโทษอยู่ ย่อมมีอุปาทานขันธ์ ๕ ถึงความไม่พอกพูนต่อไป และเขาจะละตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดี อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ ได้ จะละความกระวนกระวายแม้ทางกาย แม้ทางใจได้ จะละความเดือดร้อนแม้ทางกาย แม้ทางใจได้ จะละความเร่าร้อนแม้ทางกาย แม้ทางใจได้ เขาย่อมเสวยสุขทางกายบ้าง สุขทางใจบ้าง

บุคคลผู้เป็นเช่นนั้นแล้ว มีความเห็นอันใด ความเห็นอันนั้นย่อมเป็นสัมมาทิฐิ มีความดำริอันใด ความดำริอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะ มีความพยายามอันใด ความพยายามอันนั้นย่อมเป็นสัมมาวายามะ มีความระลึกอันใดความระลึกอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสติ มีความตั้งใจอันใด ความตั้งใจอันนั้นย่อมเป็นสัมมาสมาธิ ส่วนกายกรรม วจีกรรม อาชีวะของเขา ย่อมบริสุทธิ์ดีในเบื้องต้นเทียว ด้วยอาการอย่างนี้ เขาชื่อว่ามีอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐถึงความเจริญบริบูรณ์ ฯ

[๘๒๙] เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐนี้อยู่อย่างนี้ ชื่อว่ามีสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ ถึงความเจริญบริบูรณ์ บุคคลนั้นย่อมมีธรรมทั้งสองดังนี้ คือสมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันเป็นไป เขาชื่อว่ากำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ละธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง เจริญธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง

ฯลฯ
๗. สฬายตนวิภังคสูตร (๑๔๙)


วิปัสสนา หรือ การเจริญอริยมรรค
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=38128

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 21 พ.ค. 2011, 18:01 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติปัฏฐาน 4

:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ

วรานนท์ก็เพิ่งกลับมาจากการปฏิบัติที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร

ไปเกือบสองเดือนเลยครับ smiley smiley smiley

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  buddha's student [ 22 พ.ค. 2011, 02:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สติปัฏฐาน 4

สติปัฏฐาน4 (หากแปลง่ายๆเลย) คือ ฐานที่ตั้งแห่งสติ
สติ คือ การระลึกได้ คล้ายกับความจำ คือ รู้ว่าในอดีต ปัจจุบัน ได้ทำอะไรไปบ้าง
ประกอบด้วย
ฐานกาย... พิจารณากาย
- ให้พิจารณาอิริยาบถต่างๆที่เป็นอยู่ ประกอบด้วย
1. อิริยาบถหลัก เช่น การยืน การเดิน การนั่ง การนอน
2.อิริยาบถย่อย เช่น การกิน การถือของ การเคาะแป้นพิมพ์^^

ฐานเวทนา... พิจารณาอารมณ์ ความรู้สึก
- ให้พิจารณาอารมณ์ที่กำลังเป็นอยู่ เช่น มีความสุข มีความทุกข์ หรือเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย

ฐานจิต... พิจารณาจิตใจ
- ให้พิจารณาจิตที่กำลังเป็นอยู่ เช่น
จิตมีความโลภ จะมีความอยากได้ อยากมี อยากเป็น
จิตมีความโกรธ จะมีความหงุดหงิด ไม่พอใจในสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
จิตมีความหลง จะมีความหมกหมุ่นในเรื่องใดเรื่องนึงมาก เช่น เรื่องการงาน เรื่องการเงิน เรื่องความรัก

ฐานธรรม... พิจารณาหลักธรรม
-ให้พิจารณาหลักธรรมที่กำลังเป็นอยู่ เช่น
ตอนนี้มีสติ สัมปชัญญะ
ตอนนี้มีนิวรณ์5เช่น ความง่วง ความฟุ้งซ่าน ความโกรธ เกิดขึ้น
ตอนนี้มีอนิจจังเกิดขึ้น เช่น ความทุกข์ที่กำลังเป็นอยู่นี้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ไม่ได้ตามติดตัวเราตลอดเวลาซักกะหน่อย

เพื่อนำไปสู่นิพพาน

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/