วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 18:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2011, 12:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2011, 11:29
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้บวชเป็นพระเมื่อเข้าพรรษา ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ประมาณสองปีที่แล้ว
เป็นเวลาประมาณสี่เดือน ตอนนั้นผมอายุ 24-25 ปี (สองสามที่แล้ว)

ช่วงก่อนสึกซักสองอาทิตย์ ผมได้คุยกับสีกา ที่ตอนนั้นเป็นแฟนผมในช่วงก่อนบวชและระหว่างบวช

ตอนนั้นคุยโทรศัพกับสีกาในกุฏิ (คุยกันบ้างแต่ไม่เยอะ) คุยไปคุยมา เกิดมีการล้อเล่นกัน ยอกกัน ในความหมายทางกาม โดยที่ไม่ได้พูดกันตรงๆ เล่นกันแล้วก็หยุด แล้วก็เล่นไหม่ เช่น พูดในความว่าเอาไปจะต้องมีอะไรกัน แต่ไม่พูดกันตรงๆ หรือ จะเอาให้นอนดิ้นเลย ผมพูด คำพูดนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมตกใจ และสีกาก็ทักว่าทำไมพูดแบบนี้...ตอนนั้น ผมรู้สึกแย่มาก รีบไปหาพระใหม่อีกท่านแล้วไปหาพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ในวัดด้วยกัน ท่านบอกว่า ถ้าจะไม่ครบองค์ ก็น่าจะเพราะไม่มีสติ ขอคำปรึกษา โดยเปิดพระวินัยดูไปด้วย พระอาจารบอกว่าน่าจะปรับเป็นถุลลัจจัย แต่ท่านก็ไม่แน่ใจ... ตอนนั้น เล่นกันไปมา มีความกำหนัดแบบเกิดดับ แต่ไม่มีสติครบพร้อม (คือ ตอนพูดไม่มีสติรู้ว่าพูดอะไรอยู่ คิดแต่เรารู้ว่าควรเล่นแค่ไหน เล่นกับกิเลส) เดียวมีเดี๋ยวหาย จนไม่แน่ใจในตัวเอง เพราะปกติเป็นคนที่จะไม่ยอมให้ศีลด่างเลย แต่วันนั้นพลาด

ตอนนั้นแม้ผมต้องอยู่กรรมจิงๆ ผมก็ไม่มีเวลาอยู่กรรมด้วยเพราะจะสึกในอีกสองอาทิตย์ แถมผมต้องสวดกระฐินเป็นองสี่อีกด้วย ผมไม่สบายใจมาก นึกถึงบาปกรรม แล้วรู้สึกมากครับ เกือบทุกวันจิตตกจะกังวลขึ้นมา

ผมตั้งใจในการบวชมาก ตั้งใจภาวนา เจริญสติเจริญปัญญามาก ทั้งปิดวาจาทั้งหมด 13 วัน เนสัชชิกอีกสามวัน ลองอดอาหารดูอีก ตั้งใจในทุกวัน... ผมอยู่ที่อเมริกา ก็ยังทำจิตภาวนาเป็นประจำ พยายามเป็นคนดี รักษาศีลเท่าทีทำได้ ตอนนั้นผมตั้งใจกลับไปบวชอย่างเดียวเท่านั้นและก็ได้ทำจริงๆ แต่ผมพลาดครั้งเดียว มันยังอยู่ในใจผมตลอด ไม่รู้ทำไงดี

ผมขอความคิดเห็นดูนะครับ

ขอคุณพระรัตนไตรทรงคุมครองทุกท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ล่วงกาลผ่านมาตั้งนมนานเป็นปีๆ แล้ว จขกท. จะเก็บมาคิดตอกย้ำให้มันเป็นทุกข์ โทมนัสทำไมครับ จะบอกวิธีแก้ให้ คิดขึ้นขณะใด กำหนดความคิดนั้นทันที คิดหนอๆๆๆๆๆ ขณะนั้นกำลังทำอะไรอยู่ดึงสติสัมปชัญญะมาระลึกรู้รู้เนื้อรู้ตัวอยู่กับงานเฉพาะหน้าเถอะครับ เจ๋งกว่ากันกันเยอะเลย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


knowing เขียน:
ตอนนั้นคุยโทรศัพกับสีกาในกุฏิ (คุยกันบ้างแต่ไม่เยอะ)
คุยในที่ลับหู

คุยไปคุยมา เกิดมีการล้อเล่นกัน ยอกกัน ในความหมายทางกาม โดยที่ไม่ได้พูดกันตรงๆ เล่นกันแล้วก็หยุด แล้วก็เล่นไหม่ เช่น พูดในความว่าเอาไปจะต้องมีอะไรกัน แต่ไม่พูดกันตรงๆ หรือ จะเอาให้นอนดิ้นเลย ผมพูด คำพูดนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมตกใจ และสีกาก็ทักว่าทำไมพูดแบบนี้...ตอนนั้นแม้ผมต้องอยู่กรรมจิงๆ ผมก็ไม่มีเวลาอยู่กรรมด้วยเพราะจะสึกในอีกสองอาทิตย์ แถมผมต้องสวดกระฐินเป็นองสี่อีกด้วย ผมไม่สบายใจมาก นึกถึงบาปกรรม แล้วรู้สึกมากครับ เกือบทุกวันจิตตกจะกังวลขึ้นมา


ติดสังฆาทิเสสครับ พาดพิงถึงอวัยวะเบื้องต่ำ จะพูดโดยตรงก็ติดโดยอ้อมก็ติด แล้วคุณกับสีกาก็เข้าใจตรงกันในความ....

คุณไม่ใช่เคสแรก หาที่บวชใหม่ แล้วเข้าสุทธันตปริวาสเลย อยู่ปริวาสแค่ 3 ราตรี มานัตต์ 6 ราตรี แล้วขออัพภาน

มีผู้ที่พลาดแบบนี้เยอะมากๆ เขาก็แก้ด้วยวิธีนี้แลมีเยอะกลับมาบวชใหม่แล้วเข้าปริวาสเลยพอออกอัพภานก็แสดงอาบัติแล้วสึกในโบสถ์เลยก็มี ติดสังฆาทิเสส สึกออกมา มักจะทำมาหากินไม่ขึ้น แค่ปาจิตตีย์ก็หนักแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: ขอให้ศึกษาแนวทางจากกระทู้ข้างล่างนี้นะคะ
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน แจ่มแจ้ง ในเรื่อง สังฆาทิเสส


:b44: จาก...วินัยสงฆ์-อาบัติ-ปาราชิก-สังฆาทิเสส
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=22785

-------> (ปรับปรุงคำตอบใหม่ เมื่อวันที่ ๓/๑๐/๒๕๕๗)
อ้างอิงความเห็น...นายฏีกาน้อย, ท่าน denchai จากกระทู้ข้างล่างนี้

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=42469

อ้างคำพูด:
สึกอุปสมบทใหม่

[๕๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่ได้ปิดบังไว้แล้วสึก
เธออุปสมบทใหม่ ไม่ปิดบังอาบัติเหล่านั้น พึงให้มานัตแก่ภิกษุนั้น ฯ

[๕๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่ได้ปิดบังไว้แล้วสึก
เธออุปสมบทใหม่ ปิดบังอาบัติเหล่านั้น

พึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดบังไว้ครั้งหลัง แล้วให้มานัตแก่ภิกษุนั้น ฯ

[๕๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ปิดบังไว้แล้วสึก
เธออุปสมบทใหม่ ไม่ปิดบังอาบัติเหล่านั้น

พึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดบังไว้ครั้งก่อน แล้วให้มานัตแก่ภิกษุนั้น ฯ

[๕๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ปิดบังไว้แล้วสึก
เธออุปสมบทใหม่ ปิดบังอาบัติเหล่านั้น

พึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดบังไว้ครั้งก่อนและหลัง แล้วให้มานัตแก่ภิกษุนั้น ฯ

------------------------------------------------------
พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๖ จุลวรรค ภาค ๑
มานัตหนึ่งร้อย สึกอุปสมบทใหม่
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... 655&Z=7210

กล่าวโดยสรุปได้ว่า...

การต้องอาบัติ “สังฆาทิเสส” ถ้าลาสิกขา (สึก) ไปเป็นคฤหัสถ์แล้วก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะอาบัติมีได้เฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น ลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์แล้วหามีอาบัติติดตัวไม่ อีกทั้งไม่มีผลปิดกั้นสวรรค์หรือมรรคผลนิพพานแต่อย่างใด สามารถสร้างบุญกุศลตามฐานะของตนก็บรรลุคุณธรรมชั้นสูงได้ แต่หากกลับมาบวชใหม่ หวนคืนสู่เพศบรรพชิตอีกครั้ง ก็จำเป็นที่จะต้องกระทำคืนหรือแก้ไขให้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ กล่าวคือ ต้องแก้ด้วยการขอมานัตอยู่ประพฤติวัตร หรือการอยู่กรรม (อยู่ปริวาสกรรม) อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ กรณี
(ตามพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๖ จุลวรรค ภาค ๑ มานัตหนึ่งร้อย สึกอุปสมบทใหม่ ข้อ ๕๐๘-๕๑๑) เท่านั้น จึงจะพ้นจากอาบัติสังฆาทิเสสได้


การอยู่ปริวาสกรรม มีความสำคัญแก่พระภิกษุที่ท่านต้องอาบัติหนัก
คือ อาบัติสังฆาทิเสส เมื่อพระท่านต้องอาบัติเข้าแล้ว
จะแก้ด้วยการปลงอาบัติไม่ได้
แต่ต้องแก้ด้วยการอยู่กรรม (อยู่ปริวาสกรรม) เท่านั้น

ภิกษุที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ ถ้าปกปิดไว้จำนวนกี่วัน
ก็ต้องอยู่ปริวาสกรรมตามจำนวนวันที่ปกปิดไว้
และต้องอาศัยสงฆ์จึงจะพ้นจากอาบัติหนักได้


เช่น เมื่อต้องอาบัติแล้วไม่ยอมบอกกับเพื่อนพระภิกษุ
เวลาผ่านไป ๑ เดือนจึงเล่าให้เพื่อนพระฟังว่าตนต้องอาบัติ

ผู้ต้องอาบัติต้องกระทำตามวินัยกรรม
โดยขอการอยู่ปริวาสจากคณะสงฆ์
หลังจากนั้นก็อยู่ปริวาสประพฤติวัตร ๑ เดือน

เมื่อครบแล้ว ต้องขอมานัตอยู่ประพฤติวัตรอีก ๖ วัน ๖ คืน
แล้ว ขออัพพาน (การประกาศยุติโทษ) จากสงฆ์ จึงจะพ้นจากอาบัติหนักได้


หรืออาจจะเข้า สุทธันตปริวาส อยู่ปริวาสกรรมเพียง ๓ วัน ๓ คืน
เมื่อครบแล้ว ต้องขอมานัตอยู่ประพฤติวัตรอีก ๖ วัน ๖ คืน
แล้วขออัพพาน (การประกาศยุติโทษ) จากสงฆ์ จึงจะพ้นจากอาบัติหนักได้


การจะมีโอกาสได้บวชในบวรพระพุทธศาสนา ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้โดยง่าย
ดังนั้น เมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ควรตั้งจิตตั้งใจ ตั้งสติให้ดี
:b8: ขอให้การบวช (แม้จะบวชชั่วคราวก็ตาม) เป็นการบวชเรียน
บวชเพื่อรักษาพระศาสนา บวชเพื่อสืบต่ออายุพระศาสนา
บวชเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และบวชเพื่อปฏิบัติธรรม เจริญจิตตภาวนา


:b40: ศึกษาเพิ่มเติมจาก คัมภีร์จุลวรรค ภาค ๑
http://watparsi.com/pdf/Jullawatbook_part1.pdf

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เดาว่า เจ้าของกระทู้ ตอนบวช คงแสดงอาบัติทุกวัน แล้วกล่าวคำว่า

สัพพาตาอาปัตติโยอาโรเจมิ(3ครั้ง)
สัพพาครุลหุกา อาปัตติโยอาโรเจมิ(3ครั้ง).....

นี่ก็ถือว่า ไม่ปิดอาบัติหนัก(สังฆาทิเสส)อาบัติเบาแล้วละครับ

เจ้าของกระทู้รีบไปหาอาจารย์...อีกนัยยะนึงก็ถือว่า แสดงแล้วด้วย ฉะนั้น อยู่ปริวาสราตรีเดียวก็พอ แต่ส่วนใหญ่ที่เขาจัดกัน 3ราตรีก็อยู่ไป ไม่ใช่เรื่องเสียหาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคน ทำกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย กรรมนั้นก็นำเขาไปนรกได้ ส่วนคนบางคน ทำกรรมชั่วเล็กน้อยอย่างเดียวกันนั่นแหละ กรรมนั้น เขาเสวยผลเสร็จไปเสียแต่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปรากฏด้วย ปรากฏแต่ที่มากๆเท่านั้น”

“คนประเภทไหน ทำกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย กรรมนั้นก็นำเขาไปนรกได้ ? คือ คนบางคนเป็นผู้ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต ไม่ได้อบรมปัญญา มีคุณน้อย มีอัตภาพเล็ก มีปรกติอยู่เป็นทุกข์ เพราะวิบากเล็กๆน้อยๆ บุคคลประเภทนี้ ทำกรรมชั่วเพียงเล็กน้อย กรรมชั่วนั้น ก็นำเขาไปนรกได้ (เหมือนใส่ก้อนเกลือในขันน้ำน้อย)”

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?t ... 207#msg207

คิดเป็นทุกข์ทีตกนรกที เดือดร้อนใจที คิดตอกย้ำความทุกข์ความลำบาก ความเจ็บ ความแค้น ฯลฯ วันละร้อยหนพันหน ตกนรกวันละร้อยครั้งพันครั้ง ท่านจึงสอนให้รู้จักยกจิตในสมัยที่ควรยก ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง เพ่งดูจิตเฉย เมื่อมันดำเนินไปถูกทางแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องอาบัติหนักยกยาก....
วินัยเอย
กฎแห่งกรรมเอย
ๆลๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าของกระทู้ก็ต้องแก้แบบที่ผมบอกแหละครับ หลายๆๆๆๆๆคน(เยอะมาก)ที่กลับมาบวชใหม่ก็ทำแบบนี้แหละครับ

ไม่ว่าจะธรรมยุต หรือมหานิกาย ที่พลาดไปไหวตัวทันก็กลับมาแก้วิธี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร