วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 17:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2011, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเข้าใจปฏิจสมุปบาทซึ่งหมายถึงการที่สิ่งทั้งหลายเกิดมีขึ้นก็เพราะการอาศัยกัน ก็จะช่วยได้เยอะครับ ในส่วนของกามราคะก็จะอธิบายได้ดังนี้



1. ขั้นผัสสะ คือถ้าเราเห็นรูป แล้วสักแต่ว่าเห็น ความกำหนัดในกามก็จะไม่เกิด



2.ขั้นเวทนา คือถ้าเราเห็นรูป แล้วไม่หยุดเป็นสักแต่ว่าเห็น ก็จะเกิดเป็นความรู้สึกชอบ ซึ่งตรงนี้แหละให้ระวังตัวให้มาก ถ้าสามารถหยุดอยู่ตรงนี้ได้ ก็จะเป็นสักแต่ว่าชอบ ทุกข์ก็จะยังไม่เกิด



3.ขั้นตัณหา คือถ้าเราเห็นรูป แล้วเกิดเป็นความรู้สึกชอบและไม่สามารถหยุดที่ตรงนี้ไว้ได้ ก็จะกลายเป็นตัณหาคือความอยากขึ้นมา ถ้าถึงขั้นเกิดเป็นตัณหาแล้วจะหยุดลำบากมากหรืออาจจะหยุดไม่ได้เลย ถ้าสามารถหยุดได้(ซึ่งก็แล้วแต่วิธีการของแต่ละคนเช่น นึกถึงผลเสียหายหรือความทุกข์ที่ตนเองเคยได้รับมา เป็นต้น) ทุกข์ก็จะยังไม่เกิด



4.ขั้นอุปาทาน คือถ้าเราเห็นรูป แล้วเกิดเป็นตัณหาคือความอยากแล้วไม่สามาถหยุดที่ขั้นนี้ไว้ได้ ก็จะกลายเป็นอุปาทานคือนึกคิดปรุงแต่งต่อ ตรงนี้แหละเป็นอันจบคือทุกข์เกิดแล้ว ก็จะเป็น ภพ ชาติ ชรา มรณะ แล้วก็วนกันอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ



สรุปท่านจึงสอนให้หยุดอยู่ที่ขั้นผัสสะเป็นสำคัญเพราะจะทำให้เราไม่มีโอกาสหลงไปได้เลย แต่หากไปถึงขั้นเวทนาถ้าสติสัมปชัญญะเกิดก็จะหยุดได้ไม่ไปถึงขั้นตัณหา ขั้นตัณหานี้มันมีฤทธิ์มาก โดยทั่วไปมักจะหยุดไม่อยู่แล้ว



ปฏิจสมุปบาทนี้ สามารถนำไปใช้ได้กับทุกๆเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา กล่าวโดยสรุปก็คือ เมื่ออดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผลแล้ว ถ้าเราไม่อยากจะทำสิ่งใดที่เราคิดว่าไม่ดี ก็พยายามอย่านึกคิดปรุงแต่งในสิ่งนั้น ให้หยุดอยู่ที่ขั้นผัสสะ ลองสังเกตุดูอดีตที่ผ่านมาก็ได้ เพราะเรานึกคิดปรุงแต่งในสิ่งๆนั้นใช่ไหม จึงส่งผลให้เราในเวลาต่อมาต้องทำในสิ่งๆนั้น ดังนั้นถ้าปัจจุบันเวลาเราเห็นอะไรหรือรู้สึกอะไรถ้าเราสามารถหยุดได้ คือสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้สึกไม่นึกคิดปรุงแต่งต่อ อนาคตเราก็จะสามารถไม่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ดีได้แน่นอน



ปล. ผู้รู้ทั้งหลายต่างกล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมย่อมนำสุขมาให้"



พระอาจารย์มิซูโอะ คเวสโก วัดสุนันทวนาราม กล่าวว่า "สติเป็นธรรมเอก"

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2011, 02:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ ดีมากครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2011, 03:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


การละนันทิในอารมณ์ รูปแบบต่างๆ (2)
ละนันทิ โดยนัยแห่ง สัมมาสังกัปปะ

ภิกษุทั้งหลาย !

ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณ์ใด ๆ มาก
จิตย่อมน้อมไป โดยอาการอย่างนั้น ๆ

ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง กามวิตก มาก
ก็เป็นอันว่า ละเนกขัมมวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่ง กามวิตก
จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในกาม

ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง พ๎ยาปาทวิตก มาก
ก็เป็นอันว่า ละอัพ๎ยาปาทวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่ง พ๎ยาปาทวิตก
จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการพยาบาท

ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง วิหิงสาวิตก มาก
ก็เป็นอันว่า ละอวิหิงสาวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่ง วิหิงสาวิตก
จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการทำสัตว์ให้ลำบาก

ภิกษุทั้งหลาย !

เปรียบเหมือนในคราวฤดูสารท คือเดือนสุดท้ายแห่งฤดูฝน
คนเลี้ยงโคต้องเลี้ยงฝูงโคในที่แคบเพราะเต็มไปด้วยข้าวกล้า
เขาต้องตีต้อนห้ามกันฝูงโคจากข้าวกล้านั้นด้วยท่อนไม้ เพราะเขาเห็นโทษ คือ
การถูกประหาร การถูกจับกุม การถูกปรับไหม การติเตียน เพราะมีข้าวกล้านั้นเป็นเหตุ

ข้อนี้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย ! ถึงเราก็ฉันนั้น

ได้เห็นแล้วซึ่งโทษความเลวทรามเศร้าหมอง แห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย
เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม ความเป็นฝักฝ่ายของความผ่องแผ้วแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย

ภิกษุทั้งหลาย !

เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอย่างนี้
เนกขัมมวิตก ย่อมเกิดขึ้น…อัพ๎ยาปาทวิตก ย่อมเกิดขึ้น…อวิหิงสาวิตก ย่อมเกิดขึ้น

เราย่อมรู้แจ้งชัดว่า เนกขัมมวิตกเกิดขึ้นแก่เราแล้ว…
เราย่อมรู้แจ้งชัดว่า อัพ๎ยาปาทวิตกเกิดขึ้นแก่เราแล้ว…

เราย่อมรู้แจ้งชัดว่า อวิหิงสาวิตกเกิดขึ้นแก่เราแล้ว
ก็อวิหิงสาวิตกนั้น ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น หรือเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย
แต่เป็นไปพร้อมเพื่อความเจริญแห่งปัญญา
ไม่เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปพร้อมเพื่อนิพพาน

แม้เราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้น ตลอดคืน
ก็มองไม่เห็นภัยอันจะเกิดขึ้น เพราะอวิหิงสาวิตกนั้นเป็นเหตุ
แม้เราจะตรึกตามตรองตามถึงอวิหิงสาวิตกนั้น ตลอดวัน หรือตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน
ก็มองไม่เห็นภัยอันจะเกิดขึ้นเพราะ อวิหิงสาวิตกนั้นเป็นเหตุ

ภิกษุทั้งหลาย !

ก็แต่ว่า เมื่อเราตรึกตามตรองตามนานเกินไปนัก กายก็เมื่อยล้า
เมื่อกายเมื่อยล้า จิตก็อ่อนเพลีย
เมื่อจิตอ่อนเพลีย จิตก็ห่างจากสมาธิ
เพราะเหตุนั้น เราจึงดำรงจิตให้หยุดอยู่ในภายใน กระทำให้มีอารมณ์อันเดียวตั้งมั่นไว้

ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? เพราะเราประสงค์อยู่ว่าจิตของเราอย่าฟุ้งขึ้นเลย ดังนี้

ภิกษุทั้งหลาย !

ภิกษุตรึกตามตรองตามถึงอารมณ์ใดๆ มาก
จิตย่อมน้อม ไปโดยอาการอย่างนั้น ๆ

ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง เนกขัมมวิตกมาก
ก็เป็นอันว่าละกามวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากซึ่งเนกขัมมวิตก
จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการออกจากกาม

ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง อัพ๎ยาปาทวิตกมาก
ก็เป็นอันว่าละพ๎ยาปาทวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากในอัพ๎ยาปาทวิตก
จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการไม่พยาบาท

ถ้าภิกษุตรึกตามตรองตามถึง อวิหิงสาวิตกมาก
ก็เป็นอันว่าละวิหิงสาวิตกเสีย กระทำแล้วอย่างมากในอวิหิงสาวิตก
จิตของเธอนั้นย่อมน้อมไปเพื่อความตรึกในการไม่ยังสัตว์ให้ลำบาก

ภิกษุทั้งหลาย !

เปรียบเหมือนในเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน
ข้าวกล้าทั้งหมด เขาขนนำไปในบ้านเสร็จแล้ว คนเลี้ยงโคพึงเลี้ยงโคได้.
เมื่อเขาไปพักใต้ร่มไม้ หรือไปกลางทุ่งแจ้ง ๆ พึงทำแต่ความกำหนดว่า
นั่นฝูงโค ดังนี้ ( ก็พอแล้ว ) ฉันนั้นเหมือนกัน

-มู. ม. 12/232-236/252

คัดลอกมาจาก http://watnapp.com/read/keep-cool/i035/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2011, 03:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ละนันทิในทุกๆอิริยาบถ :b41:

พุทธบัญญัติ ไม่ให้ปล่อยจิตเพลินกับอารมณ์ (12)
ละความเพลิน ในทุก ๆ อิริยาบถ

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุกำลังเดินอยู่

ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม ( กามวิตก )
หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น ( พยาบาทวิตก )
หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำผู้อื่นให้ลำบากเปล่า ๆ ( วิหิงสาวิตก ) ขึ้นมา
และภิกษุก็ ไม่รับเอาความครุ่นคิดนั้นไว้
สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำลังเดินอยู่ ก็เรียกว่า เป็นผู้ทำความเพียรเผากิเลส
รู้สึกกลัวต่อสิ่งลามก เป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลส อยู่เนืองนิจ

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุกำลังยืนอยู่

ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม
หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น
หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำผู้อื่นให้ลำบากเปล่า ๆ ขึ้นมา
และภิกษุก็ ไม่รับเอาความครุ่นคิดนั้นไว้
สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำลังยืนอยู่ ก็เรียกว่า เป็นผู้ทำความเพียรเผากิเลส
รู้สึกกลัวต่อสิ่งลามก เป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลสอยู่เนืองนิจ

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุกำลังนั่งอยู่

ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม
หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น
หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำผู้อื่นให้ลำบากเปล่า ๆ ขึ้นมา
และภิกษุก็ ไม่รับเอาความครุ่นคิดนั้นไว้
สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำลังนั่งอยู่ ก็เรียกว่า เป็นผู้ทำความเพียรเผากิเลส
รู้สึกกลัวต่อสิ่งลามก เป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลสอยู่เนืองนิจ

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อภิกษุกำลังนอนอยู่

ถ้าเกิดครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในกาม
หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น
หรือ ครุ่นคิดด้วยความครุ่นคิดในทางทำผู้อื่นให้ลำบากเปล่า ๆ ขึ้นมา
และภิกษุก็ ไม่รับเอาความครุ่นคิดนั้นไว้
สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ

ภิกษุที่เป็นเช่นนี้ แม้กำลังนอนอยู่ ก็เรียกว่า เป็นผู้ทำความเพียรเผากิเลส
รู้สึกกลัวต่อสิ่งลามก เป็นคนปรารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลสอยู่เนืองนิจแล

-จตุกฺก. อํ. 21/17/11.

สำหรับอกุศลวิตกทั้ง 3 คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก
ไม่รับไว้ สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำให้สิ้นสุดลงไปจนไม่เหลือ -ในขณะแม้เดิน ยืน นั่ง นอน

คัดลอกมาจาก http://watnapp.com/read/keep-cool/i018/

ขอพระคุณ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสถฺถิผโล :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2011, 03:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ทิ้งภพโดยเร็ว

พุทธบัญญัติ ไม่ให้ปล่อยจิตเพลินกับอารมณ์ (4)
ภพแม้ชั่วขณะดีดนิ้วมือก็ยังน่ารังเกียจ

ภิกษุทั้งหลาย !
คูถ แม้นิดเดียว ก็เป็นของมีกลิ่นเหม็น ฉันใด

ภิกษุทั้งหลาย !
สิ่งที่เรียกว่า ภพ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
แม้มีประมาณน้อยชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไม่มีคุณอะไรที่พอจะกล่าวได้

-เอก. อํ. 20/46/203.

คัดลอกจาก http://watnapp.com/read/keep-cool/i010/#content


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2011, 09:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: :b44:

:b8: :b8: :b8:

:b41:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร