วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 18:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 20:43
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คือช่วงที่ผ่านมาค่ะ ไม่รู้ว่าหนูเป็นอะไร รู้สึกได้มากเลยว่าใจร้อนมากขึ้น โมโหง่าย โมโหร้าย ขี้หงุดหงิด ใครทำอะไรให้หมางใจหน่อยไมได้ เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้ค่ะ ใจเย็น ใจดี คิดดี ค่ะ ตอนนี้เหมือนคนละคน รู้นะค่ะว่าตัวเองเปลี่ยนแต่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ค่ะ จะมาคิดทบทวนได้ทีหลัง คือหนูควรปรับอารมณ์ยังงัยดีค่ะ

พยายามใจเย็นแต่ทำไม่ได้เลยค่ะ

ช่วยชี้แนกด้วยนะค่ะ ไม่อยากเป็นแบบนี้เลยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองง่ายๆหยาบๆก่อนคือหางานให้จิตทำ เช่น นับ 1-100 :b1: แล้วก็นับถอยหลัง จาก 100-1 :b12:

โบราณว่าให้นับ 1-10 แต่เราคนรุ่นใหม่นับเก่งกว่า นับ 1-100 เลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 20:43
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากๆนะค่ะที่ช่วยแนะนำ จะลองทำดูค่ะ ไม่รู้จะนับ 1-100 ได้ครบมั้ย จะพยายามนับให้ได้มากที่สุดค่ะ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Buaywhan เขียน:
สวัสดีค่ะ คือช่วงที่ผ่านมาค่ะ ไม่รู้ว่าหนูเป็นอะไร รู้สึกได้มากเลยว่าใจร้อนมากขึ้น โมโหง่าย โมโหร้าย ขี้หงุดหงิด ใครทำอะไรให้หมางใจหน่อยไมได้ เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้ค่ะ ใจเย็น ใจดี คิดดี ค่ะ ตอนนี้เหมือนคนละคน รู้นะค่ะว่าตัวเองเปลี่ยนแต่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ค่ะ จะมาคิดทบทวนได้ทีหลัง คือหนูควรปรับอารมณ์ยังงัยดีค่ะ
พยายามใจเย็นแต่ทำไม่ได้เลยค่ะ


ที่ผ่านมาค่ะ ไม่รู้ว่าหนูเป็นอะไร รู้สึกได้มากเลยว่า ใจร้อนมากขึ้น โมโหง่าย โมโหร้าย ขี้หงุดหงิด

พอรู้สึกตัวว่าใจร้อน หรือ โมโห หรือหงุดหงินงุ่นง่านงอแง...นับเลยครับ นับไป แล้วสังเกตดูความคิดด้วยว่ามันจะสงบลง เมื่อถึงหมายเลขเท่าไหร่ เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ต้องครบ 100 ก็ได้ ดังกล่าวให้เป็นแนวสูงสุดไว้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 22:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อกดมันอยู่...ก็อย่าลืมให้ความรู้กับมันซะหน่อย...ว่าทำไม...เราจึงไม่ควรโกรธ..หรือโมโห..หรือหงุดหงิด..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ติตถิยสูตร

[๕๐๘] ๖๙. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชกจะพึงถามเช่นนี้ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ ราคะ โทสะ โมหะ

ผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๓ อย่างนี้แล ผู้มีอายุ ธรรม ๓ อย่างนี้ผิดแผกแตกต่างกันอย่างไร

เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว จะพึงพยากรณ์แก่พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านี้ว่าอย่างไร ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ธรรมของพวกข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย ขอประทานพระวโรกาสขอเนื้อความแห่งภาษิตนั้น จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเถิด

ภิกษุทั้งหลายได้สดับต่อพระผู้มีพระภาคแล้วจักทรงจำไว้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์จะพึงถามเช่นนี้ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๓ อย่างเป็นไฉนคือ ราคะ โทสะ โมหะ ผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๓ อย่างนี้ ผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๓ อย่างนี้ ผิดแผกแตกต่างกันอย่างไร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาถามอย่างนี้ พึงพยากรณ์แก่ปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ราคะมีโทษน้อยคลายช้า โทสะมีโทษมากคลายเร็ว โมหะมีโทษมากคลายช้า
ถ้าเขาถามต่อไปอีกว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้ราคะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง

เธอทั้งหลายควรพยากรณ์ว่า พึงกล่าวว่า สุภนิมิต คือ ความกำหนดหมายว่างาม เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคายถึงสุภนิมิต ราคะที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ราคะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง

ถ้าเขาถามต่อไปอีกว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง
ให้โทสะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ
ไพบูลย์ยิ่ง

เธอทั้งหลายควรพยากรณ์ว่า พึงกล่าวว่า ปฏิฆนิมิต คือ ความกำหนดหมายว่ากระทบกระทั่ง เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายถึงปฏิฆนิมิต โทสะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้โทสะที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง

ถ้าเขาถามต่อไปอีกว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้โมหะที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง

เธอทั้งหลายควรพยากรณ์ว่า พึงกล่าวว่า อโยนิโสมนสิการ เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย โมหะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่งผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้โมหะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง

ถ้าเขาถามอีกว่า ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ราคะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้

เธอทั้งหลายควรพยากรณ์ว่า พึงกล่าวว่า อสุภนิมิต คือ ความกำหนดหมายว่าไม่งาม เมื่อบุคคลทำไว้ในใจโดยแยบคายถึงอสุภนิมิต ราคะที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้ ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ราคะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้

ถ้าเขาถามต่อไปว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้โทสะที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้

เธอทั้งหลายควรพยากรณ์ว่า พึงกล่าวว่า เมตตาเจโตวิมุติ เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยแยบคายถึงเมตตาเจโตวิมุติ โทสะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้ ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้โทสะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้

ถ้าเขาถามต่อไปอีกว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้โมหะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้

เธอทั้งหลายควรพยากรณ์ว่า พึงกล่าวว่า โยนิโสมนสิการ เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยแยบคาย โมหะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้ ผู้มีอายุทั้งหลายข้อนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้โมหะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้ ฯ

ที่มา:
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka...��สูตร
http://board.palungjit.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 23:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: :b42: วิธีละความโกรธตามนัยวิสุทธิมรรค

(๑) ท่านสอนให้พิจารณาให้เห็นโทษของความโกรธและเห็นคุณของขันติและเมตตาก่อน เพราะบุคคลจะไม่สามารถละสิ่งที่ตนยังไม่เห็นโทษได้

(๒) ให้แผ่เมตตาไปในตนและคนอื่นว่า ขอให้ตนมีความสุขและสรรพสัตว์ทั่วโลกจงมีความสุข ที่แผ่เมตตาให้ตนนั้น เพื่อให้ตนเป็นพยานว่า ตนรักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นก็ฉันนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น

(๓) เพื่อบรรเทาความแค้นเคือง พึงแผ่เมตตาไปยังบุคคลผู้เป็นศัตรูคู่เวรบ่อย ๆ จนใจของผู้แผ่อ่อนโยนลง

(๔) ถ้ายังไม่หาย พึงระลึกถึงพระพุทธโอวาทในกกจูปมสูตรบ่อย ๆ ข้อความแห่งกกจูปโมวาทนั้นว่า "ภิกษุทั้งหลาย หากโจรใจเหี้ยมพึงเอาเลื่อยมาเลื่อยเธอให้ขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ถ้าผู้ใดยังคิดประทุษร้ายโจรนั้นอยู่ ผู้นั้นยังหาชื่อว่าทำตามโอวาทเราไม่ -"อนึ่ง ผู้ใดโกรธตอบ ผู้นั้นเลวกว่าผู้โกรธก่อน ผู้ไม่โกรธตอบ ชื่อว่าเป็นผู้ชนะสงครามที่ชนะได้โดยยาก ผู้ที่รู้ว่าคนอื่นโกรธตัวแล้ว แต่ส่วนตนเป็นผู้มีสติสงบเสงี่ยมอยู่ ชื่อว่าประพฤติตนเป็นประโยชน์แก่คนทั้งสองฝ่าย คือทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่น"

(๕) ทรงเปรียบคนขี้โกรธเหมือนฟืนเผาผี ที่ไฟติดทั้งสองข้าง ตรงกลางเปื้อนคูถ จะจับข้างทั้งสองก็ร้อน จะจับตรงกลางก็เหม็น

(๖) ถ้ายังไม่หายโกรธ ก็พึงระลึกถึงความดีของเขาบ้าง คือโดยปกติคน ๆ หนึ่งย่อมมีอะไรดีอยู่บ้าง แม้ไม่มากสักอย่างหนึ่งพึงระลึกถึงส่วนดีอันนั้นของเขา แล้วบรรเทความโกรธเสีย

(๗) ถ้ายังไม่หายโกรธก็พึงโอวาทตนบ่อย ๆ (ถ้าเป็นพระ) ก็พึงโอวาทว่า
สู้อุตส่าห์ละโลกียสุขทั้งปวงซึ่งเป็นสิ่งที่ละได้โดยยากมาแล้ว ไฉนจึงยอมตนให้ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธเล่า ฯลฯ คนเป็นเวรกันทำทุกข์ให้ท่านที่กาย เหตุไฉนจึงลงโทษตนเองที่ใจเล่าความโกรธทำให้ใจของท่านเป็นทุกข์มิใช่หรือ? (ในข้อ ๗ นี้มีความละเอียดน่าสนใจมาก ยกมาเล็กน้อยพอเป็นตัวอย่าง)

(๘) ถ้ายังไม่หายโกรธ ท่านสอนให้พิจารณาถึง กัมมัสสกตา คือความที่สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นของของตน ใครทำกรรมเช่นใดไว้ ย่อมได้รับผลแห่งกรรมเช่นนั้นเอง คือจักปรากฎด้วยกรรมของตนเอง เราเป็นผู้โกรธก็จักต้องได้รับผลแห่งความโกรธนี้เอง ฯลฯ

(๙) ถ้ายังไม่หายโกรธ ก็พึงอนุสรณ์ถึงพระจริยาของพระศาสดาที่เคยทรงลำบากมา เคยทรงทุกข์ทรมานเพราะการกระทำของผู้อื่นมากมายหลายชาติหลายประการ แต่หาได้ทรงผูกโกรธหรือผูกเวรต่อผู้ใดไม่ เช่นสมัยที่ทรงเป็นช้างรักษาศีล ทรงยอมให้พรานตัดงาถึง ๓ ครั้ง แต่หาได้มีใจประทุษร้ายในพรานนั้นไม่ ในข้อนี้ ท่านประมวลมาซึ่งจริยาของพระศาสดามากหลายในอดีตเช่น สีลวชาดก เรื่องขันติวาทีดาบส จูฬธรรมปาลชาดก ฉัททันตชาดก เรื่องมหากบี่ (ลิงใหญ่) เรื่องภูริทัตตชาดก เรื่องจัมเปยยกนาคราชเรื่องสังขปาลนาคราช เป็นต้น

(๑๐) ถ้ายังไม่หายโกรธ ท่านสอนให้พิจารณาถึงความยาวของสังสารวัฏ ในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ คนที่ไม่เคยเป็นมารดา บิดาบุตรธิดา พี่ชาย พี่หญิง น้องชาย น้องหญิงและญาติสายโลหิตมิตรสหายเป็นไม่มี เขาเป็นศัตรูคู่เวรกับเราในชาตินี้ แต่ชาติก่อน ๆ เขาอาจเคยเป็นมารดาบิดาเป็นต้น ผู้มีอุปการะช่วยเหลือเกื้อกูลเรา บางทีอาจเคยยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือเราก็ได้

(๑๑) ถ้ายังไม่หายโกรธ ก็พึงระลึกถึงอานิสงส์ของเมตตาที่พระทศพลทรงแสดงไว้ ๑๑ ประการ มีหลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข เป็นต้น

(๑๒) ถ้ายังไม่หายโกรธอีก ท่านสอนให้แยกธาตุ คือ พิจารณาว่าสิ่งทั้งปวงเป็นเพียงธาตุ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเราเขามันเพียงสักแต่ว่าธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะโกรธอะไรเล่า

(๑๓) ถ้ายังไม่หายโกรธ ท่าสอนให้เผื่อแผ่แบ่งปัน คือให้ของแก่ผู้ที่เราโกรธ หรือรับของที่เขาให้ หากทำได้ดังนี้ ความโกรธเกลียดย่อมระงับไปอย่างแน่นอน

ที่มา http://board.palungjit.com :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้า...ทรงโต้ตอบเทวดาเรื่องฆ่าอะไรได้จึงอยู่เป็นสุข

เทวดาผู้หนึ่งทูลถามว่า


“ฆ่าอะไรเสียได้จึงอยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรเสียได้จึงไม่เศร้าโศก
พระองค์ทรงพอพระทัยการฆ่าอะไรว่าเป็นธรรมอันเอก”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า


“ฆ่าความโกรธเสียได้อยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธเสียได้ไม่ต้องเศร้าโศก พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญการฆ่าความโกรธซึ่งมีรากเป็นพิษมียอดหวาน บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมไม่เศร้าโศก”
(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๕ ข้อ ๑๙๘-๑๙๙)

ที่มา http://www.dhammakaya.org/forum/index.php?topic=110.0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 23:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2010, 13:04
โพสต์: 33

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยใช้ครั้งหนึ่งครับ สำหรับเวลาโกรธ เป็นครั้งเดียวที่สติตามทัน
ที่เหลือ ช้ากว่าสติ พยายามปรับอยู่เช่นกัน

ใช้ปากช่วยครับ พูดออกมาเป็นเสียงเลย สำหรับผมนะ
"โกรธอยู่ โมโหอยู่" พูดไปเรื่อยๆ จนกว่าอารมณ์จะเย็นลง
เหมือนวิธีการนับ 1-100ของคุณกรัชกายครับ

จากตอนนั้นที่ใช้ปากช่วยครั้งแรก
ผมเพิ่งรู้ว่าร่างกายของเรามีอวัยวะมากมายที่ทำไปโดยอัตโนมัติ โดยเราไร้สติอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่ผมพิมพ์ ผมทั้งได้ยินเสียง หายใจ สั่นขา มือพิมพ์ ตากระพริบ สมองคิด ในเวลาเดียวกันหมด
แต่สิ่งที่สติเพ่งไปหามากที่สุดตอนนี้คือ การพิมพ์ มากกว่าที่จะสนใจการหายใจ การได้ยิน หรือ รับรู้ว่ามือกำลังพิมพ์อยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 23:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล
viewtopic.php?f=7&t=37370


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: (529) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะ บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยังไม่ลาได้แล้ว บุคคลผู้นี้เรากล่าวว่า เป็นผู้อันมารผูกไว้แล้ว สวมบ่วงแล้ว และถูกมารผู้มีบาปพึงกระทำ ได้ตามความพอใจ.

(80.38/373 หรือ 45.25/252 ราคสูตร)

:b42: (531) ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี โทษเสมอด้วยโทสะไม่มี ทุกข์เช่นด้วยขันธ์ไม่มี สุขยิ่งกว่าความสงบไม่มี ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง.

(80.38/54-55 หรือ 45.25/35 คาถาธรรมบท)

:b42: (532) ไฟคือราคะ ย่อมเผาสัตว์ผู้กำหนัดแล้ว หมกมุ่นอยู่ในกามทั้งหลาย ส่วนไฟคือโทสะ ย่อมเผานรชนผู้พยาบาท มีปรกติฆ่าสัตว์ ส่วนไฟคือ โมหะ ย่อมเผานรชนผู้ลุ่มหลงไม่ฉลาดในอริยธรรม ไฟ 3 กองนี้ ย่อมตามเผาหมู่สัตว์ผู้ไม่รู้สึกว่าเป็นไฟ ผู้ยินดียิ่งในกายตน ทั้งในภพนี้และภพหน้า สัตว์เหล่านั้นย่อมพอกพูน นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อสุรกายและปิตติวิสัย เป็นผู้ไม่พ้นไปจากเครื่องผูกแห่งมาร.

สัตว์เหล่าใดประกอบด้วยความเพียรในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งกลางคืนกลางวัน สัตว์เหล่านั้น ผู้มีความสำคัญอารมณ์ว่าไม่งามอยู่เป็นนิจ ย่อมดับไฟคือราคะได้ ส่วนสัตว์ทั้งหลายผู้สูงสุดในนรชน ย่อมดับไฟ คือโทสะได้ด้วยเมตตาและดับไฟคือโมหะ ได้ด้วยปัญญาอันเป็นเครื่องให้ถึงความชำแระกิเลส.

สัตว์เหล่านั้นมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน ไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวันดับไฟคือราคะ เป็นต้นได้ ย่อมปรินิพพานโดยไม่มีส่วนเหลือ ล่วงทุกข์ได้ไม่มีส่วนเหลือ บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นอริยสัจ ผู้ถึงที่สุดแห่งเวท รู้แล้วโดยชอบด้วยปัญญา เป็นเครื่องรู้ยิ่งซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติ ย่อมไม่มาสู่ภพใหม่.

(80.38/415-416 หรือ 45.25/281 อัคคิสูตร)

:b42: (533) ราคะมีโทษน้อยคลายช้า โทสะมีโทษมากคลายเร็ว โมหะมีโทษมากคลายช้า.

สุภนิมิต คือ ความกำหนดหมายว่างาม เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจ โดยอุบายไม่แยบคายถึงสุภนิมิต ราคะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง.

ปฏิฆนิมิต คือ ความกำหนดหมายความว่ากระทบกระทั่ง เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายถึงปฏิฆนิมิต โทสะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง.

อโยนิโสมนสิการ เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย โมหะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง.

(80.31/321-322 หรือ 45.20/226 ติตถิยสูตร)

:b42: (534) โลภะ โทสะ และโมหะ อันบังเกิดแก่ตน ย่อมเบียดเบียนบุรุษผู้มีใจเป็นบาป ดุจผลของตนเบียดเบียนไม้เต่ารัง ฉันนั้น.

(80.23/193 หรือ 45.15/404 โลกสูตร)

:b42: (535) โลภะ โทสะ และโมหะ เกิดแล้วในตน ย่อมเบียดเบียนบุรุษผู้มีจิตอันลามก เหมือนขุยของตน ย่อมเบียดเบียนไม้ไผ่ ฉะนั้น.

(80.38/354 หรือ 45.25/238 อกุศลมูลสูตร)

:b42: (538)
โทสะให้เกิดความฉิบหาย โทสะทำจิตให้กำเริบ ชนไม่รู้สึกโทสะนั้นอันเกิดในภายในว่าเป็นภัย คนโกรธย่อมไม่รู้จักประโยชน์ ย่อมไม่เห็นธรรม โทสะย่อมครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น ก็บุคคลใดละโทสะได้ขาด ย่อมไม่ประทุษร้ายในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความประทุษร้าย โทสะอันอริยมรรคย่อมละเสียได้จากบุคคลนั้น เปรียบเหมือนผลตาลสุกหลุดจากขั้ว ฉะนั้น.

(80.38/404-405 หรือ 45.25/273-274 มลสูตร)

:b42: (539) รูปของสัตว์ทั้งหลายย่อมทรุดโทรม นามและโคตรย่อมไม่ทรุดโทรม ราคะท่านเรียกว่าทางผิด ความโลภเป็นอันตรายของธรรม วัยสิ้นไปตามคืนและวัน หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์ หมู่สัตว์นี้ย่อมข้องอยู่ในหญิงนี้ ตบะและพรหมจรรย์ทั้งสองนั้น มิใช่น้ำแต่เป็นเครื่องชำระล้าง ในโลกมีช่องอยู่ 6 ช่อง ที่จิตไม่ตั้งอยู่ได้ คือ ความเกียจคร้าน 1 ความประมาท 1 ความไม่หมั่น 1 ความไม่สำรวม 1 ความมักหลับ 1 ความอ้างเลศไม่ทำงาน 1 พึงเว้นช่องทั้ง 6 เหล่านั้นเสียโดยประการทั้งปวงเถิด.

(80.23/82 หรือ 45.15/50-60 นชีรติสูตร)

:b42: (540) คนมีราคะย่อมพูดมาก แม้คนมีโทสะก็พูดมาก.

(80.43/492 หรือ 45.27/321 มหาปทุมชาดก)

:b42: (541) เธอทั้งหลายจงเปลื้องราคะและโทสะเสีย เหมือนมะลิปล่อยดอกที่เหี่ยวแห้งแล้ว ฉะนั้น.


(80.38/86 หรือ 45.25/55 คาถาธรรมบท)

ที่มา พุทธธรรมสาร:สาระแห่งพุทธธรรม
http://www.bds53.com/index.php?name=kno ... edge&id=16


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ลองศึกษาดูนะครับ ขอให้เจริญในธรรม :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 20:43
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณมากๆเลยนะค่ะ สำหรับคำแนะนำทุกๆกระทู้
แค่ได้อ่านก็รู้สึกว่าใจในช่วงนั้นสงบมากค่ะ จะนำไปปฎิบัติให้เกิดประโยชน์มากที่สุดค่ะ
ถ้าทำได้บ้างแล้วจะนำมาบอกกล่าวให้ฟังค่ะ


ขอบคุณจริงๆค่ะ :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลองง่ายๆหยาบๆก่อนคือหางานให้จิตทำ เช่น นับ 1-100 :b1: แล้วก็นับถอยหลัง จาก 100-1 :b12:

โบราณว่าให้นับ 1-10 แต่เราคนรุ่นใหม่นับเก่งกว่า นับ 1-100 เลย

วิธีนี้ทำได้จริงหรือครับ ท่านเคยลองทำมาบ้างหรือยังครับ
ถ้าวิธีนี้ดีจริง ผมจะไปแนะนำตาลุงข้างบ้านผมครับ แกไม่ชอบให้ใครขัดครับ
ใครไปพูดขัดแกที่ไร แกด่าหยาบด่าคาย ผมยังเคยโดนแกด่าว่า ไอ้กระบือ
แล้วก็โง่เหมือนกระบือเลยครับ จริงมันหยาบกว่านี่ครับ ผมไม่อยากโพสเพราะไม่สุภาพ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ลองง่ายๆหยาบๆก่อนคือหางานให้จิตทำ เช่น นับ 1-100 :b1: แล้วก็นับถอยหลัง จาก 100-1 :b12:

โบราณว่าให้นับ 1-10 แต่เราคนรุ่นใหม่นับเก่งกว่า นับ 1-100 เลย

วิธีนี้ทำได้จริงหรือครับ ท่านเคยลองทำมาบ้างหรือยังครับ
ถ้าวิธีนี้ดีจริง ผมจะไปแนะนำตาลุงข้างบ้านผมครับ แกไม่ชอบให้ใครขัดครับ
ใครไปพูดขัดแกที่ไร แกด่าหยาบด่าคาย ผมยังเคยโดนแกด่าว่า ไอ้กระบือ
แล้วก็โง่เหมือนกระบือเลยครับ จริงมันหยาบกว่านี่ครับ ผมไม่อยากโพสเพราะไม่สุภาพ :b13:


พูดผิดแล้ว เขาไม่ได้ด่าว่า ไอ้กระบือ เขาว่า "ไอ้ควายโฮ" เพ้อเจ้อฟุ้งซ่านดันทุรัง :b1: :b9:

ควายไม่ใช่คำหยาบ ถ้าหยาบเขาคงไม่เอาชื่อตั้งเป็น สะพานควาย หรอกนิ ใช่ไหมไอ้ควายโฮ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 150 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร