วันเวลาปัจจุบัน 29 เม.ย. 2024, 00:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 19:49
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Supareak Mulpong ครับ สรุปก็คือว่า การจะหลุดพ้นคือต้อง หมั่นพิจารณาสิ่งต่างๆ ว่า ล้วนแต่ไม่เที่ยง เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้วก็จะเกิดปัญญา จากนั้นจึงทำสมาธิอย่างผู้ที่มีปัญญา ก็จะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งมาร ผมเข้าใจถูกไม๊ครับ??? ผมสงสัยว่่าถ้าเกิดเราไม่ฝึกทำสมาธิให้เป็นก่อน การที่เราจะพิจารณาว่าอะไรเที่ยงไม่เที่ยง มันจะทำได้หรอครับ เหมือนเวลาอ่านหนังสือ ถ้าไม่มีสมาธิก็อ่านไม่รู้เรื่อง สอบตก คงไม่มีใครที่สอบได้ก่อนแล้วจึงทำสมาธิใช่ไม๊ครับ ต่อให้ไม่นั่งสมาธิเป็นกิจลักษณะ แต่การพยายามทำให้เกิดสมาธิมันก็เข้าข่ายที่จะทำให้มารเข้าครอบงำได้ไม่ใช่หรอครับ เวลาเราพิจารณาว่าอะไรเที่ยงไม่เที่ยงก็ต้องใช้สมาธิประกอบ ไม่งั้นก็ไม่ได้ปัญญา แล้วอย่างงี้คนทั้งหลายก็โดนมารเข้าแทรกกันหมดแล้วดิครับ แล้วจะเกิดอริยบุคคลขึ้นได้ไง งง ช่วยอธิบายด้วยนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ BENZiNE สมาธิที่ใช้กับการวิปัสสนา เป็นความตั้งใจปกติที่เราใช้ประกอบกับชีวิตประจำวัน ไม่ได้ให้ไปนั่งสมาธิ สมาธิแบบนี้เรียกว่า ขณิกกะสมาธิ มีมากับเราตั้งแต่เกิด ส่นบุญญาบารมีเราสะสมมาพอแล้ว ถึงได้เกิดมาในแดนอันประเสริฐ มีพุทธศาสนาตั้งอยู่ เพราะฉะนั้น ชาตินี้เริ่มที่วิปัสสนาได้เลย

พวกที่จะไปนั่ง เขาหมายเอาอัปปนาสมาธิ ซึ่งส่วนมากก็ไปไม่ถึง โดนเปรตครอบก่อน พ้นเปรตก็เจอมาร พ้นมารก็เจอพยามาร พวกผมเจอมาแล้วทุกกรณี พวกนี้ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ปลอมเป็นพระพุทธเจ้ามาสอนธรรมผิดๆ มันยังทำ มันกลัวอย่างเดียวคือ กลัวคนจะบรรลุมรรคผลนิพพาน

แล้วพอได้สมาธิจริงๆ ก็ไม่สามารถกลับมาวิปัสสนาได้ เหมือนพวกฤาษีพราหมณ์จำนวนมากที่เกิดในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ แบบนี้เรียกว่าผิดอย่างละเอียด ฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ พระพุทธองค์ยังทำให้บรรลุมรรคผลได้ในวันเดียว ถึงทำผิดศีลทุกข้อ ก็ยังเรียกว่าผิดอย่างหยาบ

พอได้สำเร็จเป็นอริยบุคคล แต่ไม่ได้บวช ก็ยังไม่ให้ไปนั่งสมาธิ นางวิสาขา จิตคหบดี ฯ ไม่มีใครไปนั่งสมาธิ เพราะจะทำให้ไปติดตาข่ายดักพรหม ไปเกิดเป็นพรหมที่มีอายุยาวนาน และเป็นอริยะก็ไม่ได้พ้นจากมาร มันจะมาราวีเรื่อยๆ พลาดก็โดนมันเล่นได้เหมือนกัน ... พระสารีบุตรยังโดนมารเข้าสิง พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังโดนมารมาเชิญให้ดับขันธฯ

สมาธิจริงๆ เป็นเรื่องของพระอริยสงฆ์ เพื่อที่จะบรรลุอรหันต์ได้เร็วขึ้น พระอริยะปฏิบัติธรรมเต็มรูปแบบ ทั้งสมถะและวิปัสสนา พระอริยะบางรูป เคยเป็นฤาษีมาก่อนในชาติก่อนๆ พอบรรลุฯ ฌานเก่าก็กลับคืนมาก็มี

สมาธิขั้นสูงในธรรมวินัยนี้ ก็ไม่ได้เกิดกับพระอริยทุกรูป สมัยพุทธกาลมีพวกฤาษีพราหมณ์ที่มาบวชมาก ก็มีพระที่มีสมาธิก็มีมาก มีพระพุทธองค์คอยดูแลอยู่ สมัยหลังๆ ก็มีน้อยลง

สมัยพระเจ้าอโศกฯ มีพระอรหันต์ประมาณ ๑๐๐๐ มีพระอรหนัต์ที่เป็นอุภโตภาควิมุติเพียง ๕๐-๖๐ รูปเท่านั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่ได้ไปทำสมาธิ มันเป็นของเก่าที่ท่านสะสมมาในชาติก่อนๆ

ส่วนฆราวาส พระพุทธองค์ให้เดินสายกลาง คือ ปฏิบัติมรรค ๘ หมายถึงให้พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ตามความเป็นจริงเท่านั้น ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคไปถึงอรหันต์ ถ้าไม่ได้บวช ท่านก็ให้ทำเพียงแค่นี้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 23:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
พวกที่จะไปนั่ง เขาหมายเอาอัปปนาสมาธิ ซึ่งส่วนมากก็ไปไม่ถึง โดนเปรตครอบก่อน พ้นเปรตก็เจอมาร พ้นมารก็เจอพยามาร พวกผมเจอมาแล้วทุกกรณี พวกนี้ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ปลอมเป็นพระพุทธเจ้ามาสอนธรรมผิดๆ มันยังทำ มันกลัวอย่างเดียวคือ กลัวคนจะบรรลุมรรคผลนิพพาน


ทำไมพวกเขาถึงกลัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


มาแล้วเหรอ จิ้งจกน้อย หลงไปใหนแล้วละตอนนี้

มารมันกลัวเสียสมาชิกก็เท่านั้น พวกที่ยังไม่ได้นิพพาน ไม่ได้อริยะ ก็คือ สมุนของมาร อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของมาร มีความพอใจไม่พอใจและความหลง เป็นเครื่องมือ ... มันเป็นหน้าทีของมาร

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 19:49
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมมาสมาธิใน มรรค 8 หมายถึง ขณิกกะสมาธิ เหรอครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 00:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 19:49
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีอีกคำถามนึง

แล้วตอนนี้ ตัวคุณ Supareak Mulpong ถือได้ว่าเป็นอริยบุคคลรึยังครับ (หรือเป็นอะไรก็ตามที่เหนือกว่ามนุษย์ปกติทั่วไป) เพราะว่าเข้าใจในการปฏิบัติเป็นอย่างดี ดีกว่าที่ผมเข้าใจ เข้าใจว่าปฏิบัติอย่างไรถึงถูกต้อง ก็น่าจะง่ายที่จะสำเร็จมากกว่าคนอื่น

อย่าเข้าใจผิดว่าผมถามเพื่อจะลองดีหรืออะไรนะครับ ผมแค่สงสัยจริงๆ ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง อย่าโกรธนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 00:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


มรรคมี ๒ ระดับ คือ มรรคเบื้องล่าง หรือ โสดาปัตติมรรค และมรรคเบื้องสูง หรือ อรหันตมรรค

สัมมาสมาธิในมรรคสำหรับผู้ที่กำลังปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล ก็คือ ความตั้งใจมั่น หรือ ขณิกกะสมาธิ พระพุทธองค์แสดงว่า

วิชชา (อโลภะเจตสิก อโทสะเจตสิก โมหะเจตสิก) เป็นหัวหน้าในการยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เกิดร่วมกับความละอายบาป ความสะดุ้งกลัวบาป ความเห็นชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้รู้แจ้ง (รู้จักกฏธรรมชาติ ๒ กฏ และรู้เรื่องทุกข์กับการดับทุกข์) ประกอบด้วยวิชชา ความดำริชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความเห็นชอบ เจรจาชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความดำริชอบการงานชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้เจรจาชอบ การเลี้ยงชีพชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้ทำการงานชอบ พยายามชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้เลี้ยงชีพชอบ ระลึกชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้พยายามชอบ ตั้งใจชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้ระลึกชอบ

พูดง่ายๆ ว่า วิปัสสนาไป สัมมาทิฐิจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เพราะมีรากเหง้ามาจากวิปัสสนา หรือ มาจากปัญญาสัมมาทิฐิ ศีลก็จะเกิดโดยอัตโนมัติด้วย (เจรจาชอบ ความดำริชอบ การเลี้ยงชีพชอบ)

ผมเป็นอริยบุุคลมาปีกว่าๆ แล้ว ตอนนี้มีพุทธจริงๆ เกิดขึ้นในโลกประมาณ ๒๐๐ คนเท่านั้น นับตั้งแต่มรรคหายไปเมื่อ พ.ศ. ๑๐๗๙ พร้อมกับพระอรหันต์รูปสุดท้ายที่ดับขันธ์ปรินิพพานไป

อริยะสาวก นับได้ตั้งแต่ ศรัทธรานุสารี ธัมมานุสารีบุคคล (หรือจุฬโสดาบัน) ถ้่าได้ปฏิบัติวิปัสสนาต่อเนื่อง ก็เรียกว่า โสดาปัตติมรรค หรือผู้ที่กำลังทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พอถึงโสดาปัตติผล ถึงจะเรียกได้ว่า อริยบุคคล

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 00:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 19:49
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ๋ออออออ งั้นผมก็เข้าใจแล้ว พอจะสรุปได้ว่า

คนธรรมดาถ้าอยากบรรลุโสดาปัตติผลก็ให้ปฏิบัติโดยยึด มรรค 8 เป็นแนวทาง ทำสมาธิโดยใช้ ขณิกกะสมาธิ ซึ่งเสมือนเป็นสมาธิพื้นฐานสำหรับคนเริ่มปฏิบัติ แต่ถ้าเราข้ามไปฝึกสมาธิในระดับสูงโดยที่เรายังไม่มีปัญญา ยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล ก็เหมือนเราไม่มีภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง เพราะเป็นธรรมดาที่ว่าไม่มีสิ่งใดๆ ที่ได้มาโดยง่าย ยิ่งผลที่จะได้รับมันยิ่งใหญ่อย่างการหลุดพ้น ก็ยิ่งต้องมีอุปสรรคมาก ซึ่งในที่นี้ก็คือ เปรต มาร พญามาร ผู้ที่ไม่มีปัญญาที่แท้ ก็จะหลงไปได้ว่า สิ่งที่ได้รับนั้นดี นั้นชอบ

ดังนั้นสิ่งที่คุณ Supareak Mulpong ต้องการจะบอกทุกคนก็คือ ให้เราสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองเสียก่อน ก่อนจะเริ่มทำอะไรที่มันยากๆ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวทีหลัง ใช่ไม๊ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 01:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 มี.ค. 2011, 00:15
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


ความคิดว่าการฝึกสมาธิเป็นบาปมหันต์นั้นคงมีแต่คนที่ไม่รู้จักคุณค่าของสมาธิ ไม่เข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นล่ะครับที่มีความคิดเช่นนี้ พระพุทธองค์ตรัสรู้ได้ก็ด้วยอาศัยสมาธิเป็นฐาน แม้พระสาวกองค์อื่นๆก็เช่นกัน ต่างแต่ว่าจะเป็นสมาธิระดับใดเท่านั้น เพราะองค์ประกอบแห่งไตรสิกขาคือศีล สมาธิ ปัญญา ต้องมีพร้อม จึงจะดำเนินเพื่อถึงความหลุดพ้นได้ แม้ครูบาอาจารย์องค์ทั้งหลายในยุคปัจจุบัน ก็ล้วนแต่ฝึกสมาธิและเจริญปัญญาคู่กันไปเพื่อดำเนินให้ถึงความหลุดพ้นมาก่อนแล้วทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 02:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
มาแล้วเหรอ จิ้งจกน้อย หลงไปใหนแล้วละตอนนี้

มารมันกลัวเสียสมาชิกก็เท่านั้น พวกที่ยังไม่ได้นิพพาน ไม่ได้อริยะ ก็คือ สมุนของมาร อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของมาร มีความพอใจไม่พอใจและความหลง เป็นเครื่องมือ ... มันเป็นหน้าทีของมาร


:b13: :b13: ไม่รู้ ช่วงหลัง ๆ ไม่ค่อยได้ใส่ใจในเรื่องว่าอยู่ไหน อะไร ยังไงสักเท่าไร
เพราะชีวิตเจอแต่เรื่องไม่คาดคิด หง่ะ
เพลิน ๆ ก็เลย "เอ้า แล้วเราจะคิดไปทำไมวะ....เนี๊ยะ"
มันก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจที่จะคิดสักเท่าไร

มารกลัวเสียสมาชิก อิอิ
ท่านก็พูดเป็นเล่นไป

เรื่องการปฏิบัติ ที่มีการไปข้องเกี่ยวกับมาร
ท่านฟันธงว่า สิ่งที่ท่านพูด คือความจริง
และความจริงนี้ จริงอย่างไร จริงอยู่บนสิ่งที่ไม่เที่ยงรึเปล่า

ถ้าเป็นความจริงที่ตั้งอยู่บนสิ่งที่ไม่เที่ยง ถ้าเห็นไม่เที่ยง
ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็แล้วมารจะมีอะไรล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 06:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Supareak Mulpong เขียน
คุณ student แล้วไอ้คำสอนที่ว่า ให้ยึิดศีล ๕ แล้วมาทำสมาธิ มันมีในสูตรใหนเล่มใหนในพระไตรปิฏกครับ หามาให้ดูหน่อย!

ศีล5 นั้นปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสอย่างอยาบครับ เป็นหัวใจของพุทธศาสนา เพื่อแสดงความเป็นพุทธบริษัท4ที่ดีต้องถือศีล5ให้ครบ
ศีล5เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านทรงยกย่องมาก หากมีความประมาทไม่เห็นประโยชน์จากศีล5 ข้ามขั้นตอนการปฏิบัติความเห็นที่ถูกตามมรรคมีองค์8ย่อมไม่เกิดขึ้น มีความสงสัยในพระรัตนตรัย แก่นแท้ของปัญญาย่อมอาศัยศีล5เป็นตัวนำ หากไม่เห็นประโยชน์จากการปฏิบัติพรหมจรรย์ ความเข้าใจในพระรัตนตรัยย่อมไม่เกิดขึ้น
แม้อินทรีย์ทั้ง5 ก็ต้องอาศัยศีล5 มรรคมีองค์8 ก็ต้องอาศัยศีล5 หากข้ามขั้นตอนปฏิบัติก็คือปฏิบัติไม่ครบเหมือนต้องการปฏิบัติโดยตัวเองไม่เห็นความสำคัญของศีล5 หากต้องการอธิบายเรื่องเปรตนั้นคนทั้งหลายย่อมรู้ตามได้ยากเพราะเป็นความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่ง แม้ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเปรตคืออะไรเพราะตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยเห็น แต่หากนั่งสมาธิแล้วมารมาขัดขวางเพราะความฟุ่งซ่านของจิต และการฟูขึ้นของกิเลสมารก็คือตัวเองนั่นเอง เราอย่าได้โทษเปรตเขาเลย

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


บัดนี้สังขารของตถาคตเป็นเสมือนเรือรั่ว คอยแต่เวลาที่จะจมสู่ท้องธารเท่านั้น

อานนท์... เราเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ว่าบุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดา หลีกเลี่ยงไม่ได้
อานนท์เอ๋ย... ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งทั้งหลายมีความแตกไป ดับไป สลายไป เป็นธรรมดา จะปรารถนามิให้มันเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้น "เป็นฐานที่ไม่ควรพึงหวังได้" ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป เคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวอยู่ทุกขณะ...

และแล้วพระจอมศาสดาก็เสด็จไปยังพันธุคามและโภคะนครตามลำดับ ระหว่างนั้นทรงให้โอวาทภิกษุทั้งหลายด้วยพระธรรมเทศนาอันเป็นไปเพื่อโลกุตราริยธรรม กล่าวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัศนะ เป็นต้นว่า...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย.... “ศีลเป็นพื้นฐาน” เป็นที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ ประหนึ่งแผ่นดินเป็นที่รองรับแห่งสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีพและหาชีพไม่ได้ เป็นต้นว่า พฤกษาลดาวัลย์ มหาสิงขร และสัตว์จตุบท ทวิบาทนานาชนิด
บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย มีจิตปลอดโปร่ง เหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาด เช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเลือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือความสงบใจ
สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้น เป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
“บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ” เหมือนเรือนที่ฝาผนัง มีประตูหน้าต่าง ปิดเปิดได้เรียบร้อย มีหลังคาสำหรับกันลม แดด และฝน
ผู้ที่อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียก แดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด
บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิดีก็ฉันนั้น “ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวาย”
เมื่อลมแดดและฝน กล่าวคือ โลกธรรมแผดเผา กระพือพัดซัดซาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
สมาธิอย่างนี้ย่อมทำก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟัน ย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลส อาสวะต่าง ๆ ให้เบาบางและหมดสิ้นไป เหมือนบุคคลผู้มีกำลังจับศาสตราอันคมกริบแล้วถางป่าให้โล่งเตียนก็ปานกัน...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย... ปัญญาซึ่งมีสมาธิเป็นรากฐานนั้นย่อมปรากฏดุจไฟดวงใหญ่ กำจัดความมืดให้ปราสนากานต์ มีแสงสว่างรุ่งเรืองอำไพ ขับฝุ่นละอองคือกิเลสให้ปลิวหาย “ปัญญาจึงเป็นประดุจประทีปแห่งดวงใจ…”
อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด “ศีล สมาธิ และปัญญาเป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวดังเดิม” จิตที่ฟอกแล้วด้วยศีลสมาธิและปัญญาย่อมหลุดจากอาสวะทั้งปวง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย... บุคคลผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ย่อมพบกับปิติ ปราโมทย์อันใหญ่หลวง รู้สึกว่าตนได้พบขุมทรัพย์มหึมา หาอะไรเปรียบเทียบไม่ได้ อิ่มอาบซาบซ่านด้วยธรรม ตนของตนเองนั้นแลเป็นผู้รู้ว่า... บัดนี้กิเลสานุศัยต่าง ๆ ได้สิ้นไปแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว เหมือนบุคคลซึ่งตัดแขนขาดย่อมรู้ว่า... บัดนี้แขนของตนเองได้ขาดแล้ว (พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน)

ที่มา http://portal.in.th/i-dhamma/pages/8350/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 10:47
โพสต์: 11

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ, สติปัฏฐาน ๔
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: พุทธธรรม
ชื่อเล่น: พัท
อายุ: 37
ที่อยู่: กรุงเทพ

 ข้อมูลส่วนตัว www


ได้อ่านความคิดเห็นของท่านผู้รู้ในธรรมทั้งหลาย ได้ความรู้ดีมากครับ ต้องขอขอบคุณมากๆ ครับ ในส่วนตัวของผม เห็นว่า การฝึกสมาธิเป็นข้อเบื้องต้นและเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ แต่ลำพังเพียงแต่สมาธิคงไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ คงต้องอาศัยทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา โดยอาศัยเกื้อกูลและคอยอบรมซึ่งกันและกัน สมาธิต้องอาศัยศีลและปัญญา ศีลก็ต้องอาศัยสมาธิและปัญญา ขณะเดียวกันปัญญาก็ต้องอาศัยทั้งศีลและสมาธิเช่นกัน ปัญญาจึงจะเกิด...ทั้งศีล สมาธิ และปัญญาต้องเป็นไปโดยชอบนะครับ ดั่งนี้แล้ว ผมเชื่อว่า เปรตคงไม่สามารถมาสิงสถิตย์อยู่ได้หรอกครับ....ความรู้ยังน้อย ด้อยศึกษาครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ปล่อยวาง...ปล่อยวาง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับ คุณ BENZiNE มันก็ทำนองนั้น แต่ถ้าจะให้ดี วิปัสสนาเอาปัญญาอย่างเดียวเถอะครับ สมาธิกับฤทธิ์เหมือนเครื่องเคียง ปัญญาเหมือนลาบ คนที่รู้จักลาบ ไม่มีใครโง่ไปกินเครื่องเคียงหรอกครับ

หนูเอกอน พระสารีบุตรก็เคยเป็นมารมาก่อน เป็นพี่ชายของเจ้าแม่กาลี มันไม่มีอะไรเที่ยงหรอก เปลี่ยนไปๆ มาๆ เรื่อย ตามคนนรลองคลองธรรม มารกลัวเสียสมาชิกเหมือนคนเลี้ยงวัวในคอกไม่อยากให้วัวหนีออกจากคอกนั่นแหละ

คุณ นิวรรฒก์ พระพุทธองค์ตรัสรู้ เพราะบำเพ็ญฯ มา ๔ อสงไขย์แสนกัป จนชาติสุดท้าย พบความจริงในสมาธิ ยกจิตให้พ้นอาสวะได้ เรื่องนี้เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่วิสัยของสาวก ในพระไตรปิฏกท่านเล่าให้ฟัง ไม่ได้บอกให้ปฏิบัติ ท่านเล่าว่าเราทำอย่างนี้เราถึงได้บรรลุเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ... สิ่งที่ท่านรู้ก้คือ ไม่มีปัญญาอะไรในสมาธิเอามาดับทุกข์ได้ สาวกท่านอื่นๆ ที่รู้ตาม ก็ไม่ได้หลุดพ้นด้วยสมาธิ แต่หลุดพ้นด้วยปัญญา .... ไตรสิกขา ก็ไม่ใช่ ศีล สมาธิ ปัญญา ไตรสิกขาเป็นคำสอนพระอริยะบุคคล หรือถือศีล ๔ (อธิศีล) ถือเป็นศีลที่ยิ่งใหญ่ จิตที่ยิ่งใหญ่คือจิตที่ไม่ประมาท ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ คือ วิปัสสนา ... พวกนั่งสมาธิ ไม่มีใครได้อริยะแม้แต่คนเดียว มีแต่สำคัญว่าบรรลุเท่านั้น (ปฐมฌานกระดูกก็เป็นแก้วได้) .. นั่งสมาธิไปเกิดปิติ เห็นแสงสว่างวาบ ก็นึกว่านี่คือปัญญา ... ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทำสมาธิก่อนแล้วค่อยไปวิปัสสนา ... มันพากันเดินหลงทางมาพันกว่าปี ก็มีแต่ตาบอดจูงมือตาบอดเดินเท่านั้น

คุณ student ถือศีล ๕ กำจัดกิเลสอะไรได้ที่ใหน กดข่มไว้เท่านั้น มีที่ใหนที่พระพุทธเจ้าบอกให้สาวกไปถือศีลเป็นหัวใจของศาสนา ทรงสอนว่า ให้อริยสาวกละศีลและพรต ให้ปฏิบัติไป ... ศีลที่พระพุทธองค์ยกย่อง คือศีลที่เกิดจากปัญญา คือศีลของอริยสาวก ... ที่คุณได้ยินได้ฟังมาก มันว่าตามๆ กันมา ผิดต่อๆ กันมาเรื่อยๆ ทำไมไม่ศึกษาต่ออีกสักหน่อยละครับว่า จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างไร

คุณ FLAME พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะครับ ไม่ใช่เป็นสมมุติสงฆ์ สุตรนี้พระพุทธองค์สอนพระอริยะสงฆ์ ที่มีปัญญาอยู่แล้ว ศีลที่ท่านหว่า หมายถึง ศีล ๒๒๗ ข้อของพระสงฆ์นะครับ ไม่ใช่ศีล ๕ ... ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัศนะ เป็นเรื่องของอริยบุคคล ไม่ใช่ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่พวกท่านปฏิบัติกัน มันเป็นคำเรียกย่อๆ ถ้าจะเรียกเต็มๆ เรียกว่า อริยศีลขันธ์ อริยสมาธิขันธ์ อริยปัญญาขันธ์ อริยวิมุตติขันธ์ และวิมุตติญาณทัศนะ

คุณ ภุมโม ชินะปัญช์ ที่ท่านยกมา เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนพระอริยะสงฆ์ มีปัญญาแล้ว ก็มาสร้างปัญญา สร้างศีล สร้างสมาธิ ให้มั่นคง ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สมาธิเป็นเบื้องต้นวิปัสสนา ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัพุทธเจ้า ท่านสอนว่า มีศัทรากับปัญญาเป็นสิ่งเริ่มต้น สมาธิเป็นผลของการเกิดปัญญา สมาธิไม่ใช้เหตุของการได้ัปัญญา ... ความเห็นมันก็คือความเห็น มันไม่มีทางเป็นความจริงไปได้ แล้วท่านจะเอาความจริงเป็นเกาะ เอาความจริงเป็นที่พึ่ง หรือจะเอาความเห็นเป็นเกาะ เอาความเห็นเป็นที่พึ่งละครับ

"ผมเห็นว่า"
ผม = ปุถุชน
ปุถุชน = อยู่ในอำนาจของ อวิชชา หรือ ความพอใจไม่พอใจและความหลง
เห็นว่า = ความเห็น ไม่ใช่ความจริง เกิดจาก ความพอใจไม่พอใจและความหลง

เพราะฉะนั้น สาวกจึงต้องเป็นผู้รู้ตามได้เท่านั้น รู้เองไม่ได้ เพราะไม่มีความจริงสะสมในสัญญาความจำเลย (รู้เองได้ก็เป็นพระพุทธเจ้า) เราสะสมแต่ความเห็นมาตลอดหลายชาติหลายภพ ถ้าเอาความเห็นส่วนตัวไปจับ ก็มีแต่หลงทางเท่านั้น ความจริง หรือ พระสัทธรรม จึงมีไว้เพื่อให้ศึกษารู้ตามเท่านั้น ไม่ได้มีไว้ให้ออกความเห็น หรือ วิพากษ์วิจารณ์

พวกเปรต มันมีคือมันมี เห็นก็เอามาเล่าให้ฟัง เปรตที่มาทำร้ายคนก็คือ เจ้ากรรมนายเวร หรือ คนที่เราไปฆ่ามาก่อนในอดีต พวกนี้แค้นก็ตามมาเอาคืน โดยเฉพาะลูกที่แท้ง มันเล่นหนัก กะเอาหมดเนื้อหมดตัว หรือเอาถึงตาย ให้ลงมหานรกอเวจี ให้สาแก่ใจมัน ท่านจะเชื่อไม่เชื่อ มันก็มีอยู่ รอบๆ ตัวของเราทุกคนมีเปรตคอยจ้องเล่นงานอยู่ตลอดเวลา เพราะ การที่เราได้มาเกิดในประเทศไทย ได้พบศาสนาพุทธ แสดงว่า เราได้บำเพ็ญบุญไว้มากในอดีต เคยเป็นกษัตริย์ เป็นนักรบ ฯ เราฆ่ามาเยอะ

... แล้วพวกท่านจะหลงทางกันไปถึงใหนอีกเมื่อใหร่ กว่าจะมีดวงตาเห็นธรรม

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านกำลังบอกว่าเราไม่ควรทำสมาธิใช่มั้ยครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 196 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร