วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 02:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


กรัชกาย เขียน:
(๑) ท่านบวชเป็นภิกษุณีแบบหลักการเถรวาท หรือมหายาน เจ้าค่ะ ?

(๒) ท่านมีเหตุผลอะไร...จึงบวชเป็นภิกษุณี...เจ้าค่ะ ?

ในเมื่อครั้งตัดสินใจบวชเป็นแม่ชี ท่านเคยกล่าวไว้ว่าจุดมุ่งหมายสูงสุดของการบวชของท่าน
คือ การหลุดพ้นและการเข้าถึงความสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง

แท้จริงแล้วจิตของท่านอย่างเดียวที่หลุดพ้น และการหลุดพ้นก็อาศัยเพียงกายนี้เป็นทางผ่าน
ซึ่งจะอยู่ในเพศใดไม่เห็นสำคัญ และน่าจะไม่มีข้อจำกัด
ทำไมท่านจึงต้องใช้ความพยายามที่จะบวชเป็นภิกษุณีให้ได้ถึงขนาดนั้น เจ้าค่ะ ?

(๓) ท่านพยายามที่จะแสดงตนว่าเป็นภิกษุณีในนิกายเถรวาท หรือไม่ เจ้าค่ะ ?
แล้วท่านมีจุดยืนชัดเจนว่าท่านเป็นภิกษุณีนิกายอื่น หรือไม่ เจ้าค่ะ ?

ตอบแทนท่านได้ไหมครับ


:b8: คิคิ ได้แน่นอนค่ะ :b17:

กรัชกาย เขียน:
หากเป็นเจ้าตัวเองโพสต์ขอความเห็นด้วยตนเอง ไม่ยุ่งยาก ใครถามตอบได้ทันที แต่เมื่อคุณสาวิกาน้อยนำเรื่องของผู้อื่นซึ่งเราก็ไม่รู้รายละเอียดโดยเฉพาะวินัยบัญญัติมาโพสต์ขอความเห็น จึงพบความขัดข้องต้องไปถามเจ้าตัว


:b8: หากเป็นเหตุทำให้ยุ่งยากใดๆ ต้องขออภัยท่านกรัชกายและท่านอื่นๆ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

กรัชกาย เขียน:
มีบอร์ดที่ใช้สนทนากับอดีตแม่ชีรุ้งเดือนโดยตรงไหมครับ กรัชกายจะไปสนทนาด้วยเอง


:b4: ที่นี่เลยค่ะ
http://nirotharam.com/

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 06:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
สืบเนื่องมาจากกรณีที่ข้าพเจ้า “สาวิกาน้อย” ได้นำ...
ประวัติและปฏิปทาภิกษุณีนันทญาณี (อดีตแม่ชีรุ้งเดือน สุวรรณ)
แห่งสำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม ต.ดอยแก้ว อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่
มาเผยแผ่...ดังมีเนื้อหาตามกระทู้ข้างล่างนี้ค่ะ
viewtopic.php?f=13&t=35661
ปรากฏว่า... มีเพื่อนๆ หลายท่านเข้ามาแสดงความคิดเห็น
กรณีการบวชเป็น “พระภิกษุณี” ในหลากหลายแง่มุม
เพื่อนๆ ชาวลานธรรมจักรท่านอื่นมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างกับกรณีนี้ค่ะ
ข้าพเจ้า “สาวิกาน้อย” สมควรจะนำ...
ประวัติและปฏิปทาของท่านมาเผยแผ่ลงในเว็บธรรมจักรหรือไม่ อย่างไรค่ะ ??

เดิมต้องการฟังความเห็นจากสมาชิกลานธรรมเท่าที่เห็นข้างบน
อยู่ๆ ก็มีคำชี้แจงจากลูกศิษย์ที่ว่า
อ้างคำพูด:
หมายเหตุ ท่านพระอาจารย์นันทญาณี บวชที่ศรีลังกา
เป็นภิกษุณีจากประเทศศรีลังกา เพียงแต่มาพำนักในประเทศไทยเท่านั้น
ครับ

ถ้าใคร มีคำถาม หรือ สงสัยอะไร ช่วยมาโพสถามได้ในเว็บ http://www.nirotharam.com
แล้วผมจะนำคำถามของทุกท่าน ไปให้พระอาจารย์ตอบ (นักบวชทุกท่านไม่ใช้อินเตอร์เน็ต)
แล้วนำมาโพสให้ทุกท่าน มีความเข้าใจมากขึ้นครับ
ขอบคุณมากครับ
ลูกศิษย์

หากบอกเสียแต่ทีแรกทีขีดเส้นใต้ก็ยึดยาว

ท่านกรัชกายครับ แรกเริ่มที่ท่านแสดงความเห็นในกระทู้นี้ ท่านได้กล่าวถึงเรื่องหลักการ
ผมรู้สึกยินดีที่ได้มาเจอกับคนที่เข้าใจถึงแม่แบบหรือแบบแผนของการสนทนาธรรม แต่พอมาหลังๆผม
เริ่มจะเปลี่ยนความคิดเก่าที่มีต่อตัวท่านไปพร้อมๆกับความเห็นใหม่ของท่านครับ ผมถามจริงๆครับ
ที่ท่านนำเรื่องหลักการมาพูดท่านเข้าใจมันว่าอย่างไรครับ ที่แน่ๆมันต่างกับหลักการในความหมายของผม
อย่างสิ้นเชิง ทำไมผมกล่าวอย่างนั้นก็ดูได้จาก ความเห็นสองประโยคข้างบนของท่าน
กรัชกาย เขียน:
เดิมต้องการฟังความเห็นจากสมาชิกลานธรรมเท่าที่เห็นข้างบน
อยู่ๆ ก็มีคำชี้แจงจากลูกศิษย์ที่ว่า

คำว่าอยู่ดีๆ เป็นพวกเราหรือเป็นพวกวัดนิโรธารามครับ เหตุที่ทางวัดเขาต้องออกมาแสดงความเห็น
มันก็เพราะเป็นตัวท่านเองนั้นแหล่ะครับ ที่ต้องการจะทราบสิ่งที่เกินจากเนื้อหาที่จขกท.นำมาโพส
จะว่าเกินก็ไม่ถูกนัก ถ้าสมาชิกรู้จักพิจารณาเนื้อหาและรูปที่จขกท.โพส ทุกอย่างอธิบาย
ในตัวของมันเองหมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าสิ่งใดมาดลใจให้สมาชิกมาโชว์ในสิ่งที่ไม่ควรโชว์

เรื่องที่ทางวัดเขาเข้ายุ่งด้วย มันก็เป็นเพราะตัวท่านไม่ใช่หรือครับ ที่มาคุยเรื่องหลักการกับผม
ผมอธิบายเรื่องหลักการให้ฟัง ผมคิดว่าเรื่องจะจบกลับไม่จบ ท่านกลับมาถามอีกว่า ท่านแม่ชีหรือภิกษุณี
บวชเป็นภิกษุณีนิกายอะไร อันที่จริงท่านดูรูปและเนื้อหาที่จขกท.โพสก็พอสรุปได้แล้ว แต่ผมคิดว่า
เอาเถอะเพื่อหลักการแล้วอธิบายเพิ่มเสียหน่อย ผมจึงบอกท่านไปว่าด้วยหลักการแล้ว เรื่องของใคร
ถ้าอยากได้ความจริงเจ้าของเรื่องต้องเป็นคนบอก หรือถ้าจะให้ดีต้องถามกับภิกษุณีเอง

นี่แหล่ะเป็นสาเหตุที่คุณสาวิกาน้อยต้องไปรบกวนทางวัดนิโรธฯมาตอบ
ทางวัดเขาน่ะอยู่ดีๆ มีแต่เรากับที่ไม่ยอมอยู่ดีๆไปหาเรื่องเขา

กรัชกาย เขียน:
อยู่ๆ ก็มีคำชี้แจงจากลูกศิษย์ที่ว่า
หากบอกเสียแต่ทีแรกทีขีดเส้นใต้ก็ยึดยาว

คุณสาวิกาแกบอกไว้เนื้อกระทู้แล้ว เป็นแต่พวกท่านไม่นำพา แทนที่จะใช้วิจารณญาณ
ดูรายละเอียดเนื้อหาที่โพส กลับไปคิดแต่ว่า"ผู้หญิงๆๆๆผ้าเหลืองๆๆๆไม่ได้ๆๆๆ"

แล้วท่านลองดูสมาชิกแต่ละท่านแสดงความเห็นซิ มันมีเหตุผลมั้ยล่ะ
บางคนอวดภูมิอ้างพระไตรปิฎก บางคนอวดรู้อ้างพระวินัย ดูแล้วเหมือนเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
ยศต่ำเตี้ยเลี่ยดินไปวางก้ามกับชาวบ้าน ยัดข้อหาบ้างล่ะ จับแพะบ้างล่ะ บางคนเป็นคนบ้านนอก
เข้ามาทำงานในกรุงโดนจนทที่ว่า จับให้ร้องเพลงชาติเฉยเลยที่ไหนได้ บรรพบุรุษเขาอาจเป็นทหาร
รับใช้ชาติตายคาสนามรบแล้วก็มี กฎวินัยต่างมีไว้เพื่อรักษาปกป้องคนดี ไม่ได้มีไว้ทำลาย

แล้วที่รับไม่ได้อีกอย่างก็คือ การนำอ้างถึงครูบาอาจารย์ ฆราวาสเถียงกันดันไปอ้างพระสงฆ์องคเจ้า
มันใช้ได้ที่ไหน ไม่คิดบ้างเลยว่าจะกระทบไปถึงท่าน ตัวเองคิดเอาชนะแต่อย่างเดียวเอาของสูงมาขู่
อีกฝ่าย ถ้าสมมุติเขาไม่กลัวล่ะใครเสียหาย พวกท่านเป็นใครก็ไม่รู้ แต่บุคคลที่ท่านอ้างมีตัวตนคนรู้จัก
กันทั่ว

ผมจะบอกให้ครับ อยากแสดงความเห็นต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง และต้องมีความรู้ในสิ่งที่แสดงไม่มากก็น้อย
นี่อะไรกันครับ อ้างตลอดเดี๋ยวคนโน้นว่า เดี๋ยวคนนี้กล่าว แล้วยิ่งประเภทเอะอะก็โพสพระ
ไตรปิฎก โพสน่ะโพสได้แต่ต้องมีคำอธิบายประกอบด้วย และต้องด้วยเหตุและผลนะครับ นี่อะไรกันครับ
โพสมาด้วนๆอย่างนั้น แถมมาสรุปอีกฝ่ายเป็นยักษ์เป็นมารเสียอีก

ผมรู้เลยครับ ครูบาอาจารย์ของคนประเภทนี้ชื่ออะไร ชื่อท่านพระครู "Google"ไงครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 06:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หากเป็นเจ้าตัวเองโพสต์ขอความเห็นด้วยตนเอง ไม่ยุ่งยาก ใครถามตอบได้ทันที แต่เมื่อคุณสาวิกาน้อยนำเรื่องของผู้อื่นซึ่งเราก็ไม่รู้รายละเอียดโดยเฉพาะวินัยบัญญัติมาโพสต์ขอความเห็น จึงพบความขัดข้องต้องไปถามเจ้าตัว

ท่านกรัชกายครับ ความเห็นของท่านมันเหมือนกับจะเอาชนะหรือเอาผิดกับจขกท.ให้ได้
แต่ผมบอกได้คำเดียวครับว่า"มันไร้เหตุผล"
ท่านไม่ดูหรือว่าสิ่งที่จขกท.โพส เป็นประวัติครูบาอาจารย์ภิกษุณีรูปนั้น
มันไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนหรอกที่จะมาโพสประวัติตัวเองลงเน็ต ทีนี้ไม่เห็นอ้างพระวินัยบ้างล่ะ
ที่สำคัญทางวัดเขาก็บอกแล้วว่า นักบวชที่นี่เขาไม่เล่นหรือใช้เน็ตกัน

ที่ท่านบอกว่าไม่รู้รายละเอียดมันจริงหรือครับ ผมเห็นสมาชิกบางท่านรู้ดีกว่าเจ้าตัวอีกครับ
ยิ่งเป็นท่านแล้วรู้ดีกว่าใคร รู้ไปหมดรู้ว่า อุปฌาฯมาจากจีนเป็นมหายาน รู้เรื่องสงฆ์ลังกา
ดีกว่าชาวลังกาเสียอีก
เรื่องพระวินัยบัญญัติ คนจะรู้หรือไม่ ไม่สำคัญ
มันสำคัญต้องที่รู้แล้วเอามาใช้ให้ถูกที่ถูกทางหรือเปล่าเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 10:10
โพสต์: 104

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาวิกาน้อย เขียน:
รูปภาพ

(๔) จากภาพข้างต้น...
ถือว่าท่านทำผิดข้อปฏิบัติของภิกษุณีข้อที่ ๘ ของครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ๘ หรือไม่ เจ้าค่ะ ?


ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ๘
(ข้อปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ)


ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือ เงื่อนไขอย่างเข้มงวด ๘ ประการ
ที่ภิกษุณีจะต้องปฏิบัติตลอดชีวิต
๑. ต้องเคารพภิกษุแม้จะอ่อนพรรษากว่า
๒. ต้องไม่จำพรรษาในวัดที่ไม่มีภิกษุ
๓. ต้องทำอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
๔. เมื่อออกพรรษาต้องปวารณาตนต่อภิกษุและภิกษุณีอื่นให้ตักเตือนตน
๕. เมื่อต้องอาบัติหนัก ต้องรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆ์สองฝ่าย
คือ ทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ๑๕ วัน
๖. ต้องบวชจากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย หลังจากเป็น * สิกขามานา เต็มแล้วสองปี
๗. จะด่าว่าค่อนแคะภิกษุไม่ได้
๘. ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด

* คำว่า "สิกขามานา" แปลว่า ผู้ศึกษา
สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณีต้องเป็นนางสิกขามานาก่อน ๒ ปี

:b8: :b8: :b8:


ไม่ผิดหรอกคะ เพราะ "ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด" กับ "ถวายความรู้" ต่างกัน เด็กๆ ก็รู้ทั้งนั้น
อย่างตั้งสำนักเอง ไม่อยู่จำพรรษากับพระภิกษุ ไม่ฟังปาฏิโมกร่วมกับพระภิกษุ ก็ไม่ผิดคะ
ถึงจะผิดก็ไม่เป็นปัญหา เพราะบวชจากศรีลังกาคะ สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หากเป็นเจ้าตัวเองโพสต์ขอความเห็นด้วยตนเอง ไม่ยุ่งยาก ใครถามตอบได้ทันที แต่เมื่อคุณสาวิกาน้อยนำเรื่องของผู้อื่นซึ่งเราก็ไม่รู้รายละเอียดโดยเฉพาะวินัยบัญญัติมาโพสต์ขอความเห็น จึงพบความขัดข้องต้องไปถามเจ้าตัว

ท่านกรัชกายครับ ความเห็นของท่านมันเหมือนกับจะเอาชนะหรือเอาผิดกับจขกท.ให้ได้
แต่ผมบอกได้คำเดียวครับว่า"มันไร้เหตุผล"
ท่านไม่ดูหรือว่าสิ่งที่จขกท.โพส เป็นประวัติครูบาอาจารย์ภิกษุณีรูปนั้น
มันไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนหรอกที่จะมาโพสประวัติตัวเองลงเน็ต ทีนี้ไม่เห็นอ้างพระวินัยบ้างล่ะ
ที่สำคัญทางวัดเขาก็บอกแล้วว่า นักบวชที่นี่เขาไม่เล่นหรือใช้เน็ตกัน

ที่ท่านบอกว่าไม่รู้รายละเอียดมันจริงหรือครับ ผมเห็นสมาชิกบางท่านรู้ดีกว่าเจ้าตัวอีกครับ
ยิ่งเป็นท่านแล้วรู้ดีกว่าใคร รู้ไปหมดรู้ว่า อุปฌาฯมาจากจีนเป็นมหายาน รู้เรื่องสงฆ์ลังกา
ดีกว่าชาวลังกาเสียอีก
เรื่องพระวินัยบัญญัติ คนจะรู้หรือไม่ ไม่สำคัญ
มันสำคัญต้องที่รู้แล้วเอามาใช้ให้ถูกที่ถูกทางหรือเปล่าเท่านั้น


เรื่องวินัยบัญญัติหรือพุทธบัญญัติเปรียบไปก็คล้ายกฎหมาย ผู้บวชจะต้องรู้ นี่ประเด็นที่หนึ่ง
ประเด็นต่อมาผู้ที่เอาเรื่องขัดแย้งทางพุทธบัญญัติมาโพสต์ก็ต้องรู้รายละเอียดบ้าง
เมื่อถูกถามต้องตอบแทนผู้นั้นได้
นี่พอมีปัญหาก็วิ่งไปถามที แล้วก็ที่นั่นครั้นถูกถาม ก็ขอไปถามอาจารย์ก่อน

ถามโฮฮับทีกรัชกายรู้เรื่องวินัยบัญญัติ(พุทธบัญญัติ)บ้างนั่นใช้ผิดที่ผิดทางตรงไหนไม่ทราบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


กรัชกาย เขียน:
เรื่องวินัยบัญญัติหรือพุทธบัญญัติเปรียบไปก็คล้ายกฎหมาย ผู้บวชจะต้องรู้ นี่ประเด็นที่หนึ่ง
ประเด็นต่อมาผู้ที่เอาเรื่องขัดแย้งทางพุทธบัญญัติมาโพสต์ก็ต้องรู้รายละเอียดบ้าง
เมื่อถูกถามต้องตอบแทนผู้นั้นได้
นี่พอมีปัญหาก็วิ่งไปถามที แล้วก็ที่นั่นครั้นถูกถาม ก็ขอไปถามอาจารย์ก่อน


ถามโฮฮับทีกรัชกายรู้เรื่องวินัยบัญญัติ(พุทธบัญญัติ)บ้างนั่นใช้ผิดที่ผิดทางตรงไหนไม่ทราบ


สาวิกาฯ รู้จักนาม เคยฟังธรรม และติดตามผลงานของท่านภิกษุณีนันทญาณี
มาถึงตอนนี้ก็ร่วม ๕ ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยไปปฏิบัติที่สำนักฯ ของท่านเลยค่ะ
จึงทราบประวัติความเป็นมาของการอุปสมบทเป็นภิกษุณีของท่านพอสมควร

แต่ตัวเองไม่ประสงค์อยากจะตอบข้อสงสัยของเพื่อนๆ เรื่องเกี่ยวกับภิกษุณี ฯลฯ แทนท่าน
จึงเป็นเหตุให้ไปโพสต์ยังเว็บของท่าน รวมทั้งเมื่อวานได้โทรศัพท์ไปกราบนมัสการท่านด้วย
เพื่อขอให้ท่านมาตอบข้อสงสัยของเพื่อนๆ โดยตรง
แม้จะถ่ายทอดคำตอบผ่านลูกศิษย์ของท่าน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรค่ะ
:b8:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณสาวิกาน้อยขอรับ :b12: ในเมื่อเจ้าตัวเองรับ (ฝากผ่านลูกศิษย์) ว่า บวชเป็นภิกษุณีฝ่ายมหายานจากศรีลังกา ไม่ใช่เถรวาท ประเด็นนี้จบ

ส่วนเรื่องจะไปบรรยายธรรมะ ธัมโมอะไรกับใครที่ไหนเมื่อไหร่เวลาเท่าไหร ฯลฯ นั่นเป็นสิทธิ์ กรัชกายก็ว่าทำได้มาแต่ต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณสาวิกาน้อยขอรับ :b12: ในเมื่อเจ้าตัวเองรับ (ฝากผ่านลูกศิษย์) ว่า บวชเป็นภิกษุณีฝ่ายมหายานจากศรีลังกา ไม่ใช่เถรวาท ประเด็นนี้จบ

ส่วนเรื่องจะไปบรรยายธรรมะ ธัมโมอะไรกับใครที่ไหนเมื่อไหร่เวลาเท่าไหร ฯลฯ นั่นเป็นสิทธิ์ กรัชกายก็ว่าทำได้มาแต่ต้น


ขอบคุณที่ช่วยหาข้อมูลในประเด็นนี้มาให้ครับ
เมื่อบวชมาทางฝ่ายมหายาน พระวินัยต่างๆ ก็ต้องว่าตามฝ่ายที่ท่านบวชมาเป็นหลัก


แก้ไขล่าสุดโดย Yodyood เมื่อ 07 ม.ค. 2011, 10:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เนื้อหาข้างล่างนี้ นำมาจากการโพสต์ของ คุณพุทธสาวิกา ค่ะ
ในกระทู้..ประวัติและปฏิปทาภิกษุณีนันทญาณี (อดีตแม่ชีรุ้งเดือน สุวรรณ)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=35661

พุทธสาวิกา เขียน:
นี้เป็นบทความที่ท่านภิกษุณีรุ้งเดือน นนฺทญาณี ท่านได้เคยเขียนไว้ค่ะ

เถรวาท หรือ มหายาน ?
บทความโดย ภิกษุณี นันทญาณี

พระภิกษุ ผู้เป็นอุปัชฌาย์ของผู้เขียนท่านเคยบอกว่า “ภิกษุณีไม่ต้องเป็นเถรวาทหรือมหายาน” ฟังแล้วก็สบายใจดีที่ไม่ต้องเป็นอะไรเพิ่มมากไปกว่าการเป็น “ภิกษุณี” ซึ่งหมายถึง “ผู้เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด” และหมายถึง “ผู้ขอ”อัน เป็นความหมายที่ทำให้ผู้เขียนคิดตั้งใจที่จะฝึกตนให้อดทนและสงบเสงี่ยม เพราะในความเป็นจริงแห่งการดำรงชีวิตพรหมจรรย์ เป็นชีวิตที่ต้องขอ ต้องอาศัยสติปัญญา ความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และต้องขอ ต้องอาศัยปัจจัย 4 จากชาวบ้าน ดังนั้น เมื่อชีวิตเราต้องขอ ต้องอาศัย ต้องเนื่องด้วยผู้อื่นเช่นนี้ ก็จะต้องเพียรพยายามปฏิบัติตามพระธรรมวินัยให้มากที่สุดตามกำลังสติปัญญา จะต้องเพียรละ “อัสมิมานะ” ความถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ตามพระพุทธพจน์ที่ว่า.. ” ความไม่ถือตนเป็นสุขอย่างยิ่ง”

ดังนั้น การที่มีผู้ตั้งคำถามกับภิกษุณีกลุ่มนี้ว่า.”เป็นเถรวาท หรือมหายานนั้น” โดยความคิดที่เกิดขึ้นในใจ ณ ขณะนี้ ผู้เขียนคิดว่าความเป็นเถรวาทหรือมหายานนั้น ต้องดูที่ “ความรู้”และ”ความประพฤติ” ถึงแม้จะผ่านพิธีกรรมและแต่งตัวตามชื่อเถรวาท แต่ไม่ยอมประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัดดังที่ท่านพระมหากัสสปะ มหาเถระได้เสนอไว้ในครั้งการทำสังคายนา ครั้งที่ 1 แต่กลับประพฤติปฏิบัติย่อหย่อนในศีลสิกขาบท ก็น่าจะเป็นเถรวาทแต่เพียงชื่อแต่เป็นมหายานโดยความประพฤติ ในทำนองเดียวกันแม้จะได้ชื่อว่าเป็นมหายานแต่ถ้าไม่ยอมประพฤติตามแบบมหายาน เลย กลับพยายามประพฤติตามพระธรรมพระวินัย ตามรอยพระพุทธเจ้าตามมติที่พระมหากัสสปะเสนอไว้ ผู้นั้นก็ย่อมเป็นมหายานเพียงชื่อ แต่เป็นเถรวาทโดยความประพฤติ

ถ้าจะกล่าวในแง่ของการสืบสายการบวชย้อนไปไกลๆ ว่าภิกษุณีที่อ้างตนว่าเป็นเถรวาทนั้นไปบวชมาจากภิกษุณีที่เป็นมหายานหรือ เปล่า ก็คงต้องสืบย้อนไปอีกว่า แม้มหายานเองก็มีจุดเริ่มต้น คือ พระภิกษุที่บวชโดยตรงมาจากสายของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อมีความประพฤติที่แตกต่างจากหมู่สงฆ์ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงต้องแบ่งแยกนิกายออกไปเป็นมหายาน

ความเห็นต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเพียงความคิดเห็น เป็นสังขารขันธ์ที่เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งใดที่เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งสิ่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ถ้ายังยึดมั่นในความคิดเห็น ก็ชื่อว่า ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็นทุกข์ ทนได้ยาก เมื่อยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็นทุกข์ ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากทุกข์ได้ จึงควรที่จะรู้จักความคิดเห็นนั้นตามเป็นจริง คือ เห็นว่า เป็นเพียง ความคิดเห็น เท่านั้น

เห็นว่าเป็นเพียง สังขารขันธ์ ที่เกิด - ดับพร้อมจิต เกิด - ดับเร็วมาก

* - ควรรู้ ความเกิดขึ้นแห่งความคิดเห็นนั้น(เกิดอวิชชา ตัณหา อุปาทานร่วมด้วยหรือไม่ )
* - ควรรู้ ความดับแห่งความคิดเห็นนั้น ( ดับอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ได้หรือไม่ )
* - ควรรู้ ว่า “อริยมรรคมีองค์ 8″ คือ ทางดำเนินชีวิตให้ถึงความดับสังขาร
* - ควรรู้คุณ รู้โทษ รู้อุบายสลัดออกจากความคิดเห็นเหล่านั้นตามจริงว่า…

การละฉันทะราคะ หรือ ละอุปาทาน ละความติดใจเพราะพอใจยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นนั่นแล คือ อุบายสลัดออกจากความคิดเห็นเหล่านั้น

ดังนั้น ในเวลานี้ พวกเรา อันหมายถึงภิกษุณีทั้ง 5 รูป ณ สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม จึงเป็นเพียงผู้ขอ เป็นผู้อาศัยพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นผู้เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด ที่เพียรปฏิบัติตามพระธรรมและพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตามกำลังสติ ปัญญา คือ เพียรรักษาศีล 43 ข้อ ทั้งจุลศีล 26 มัชฌิชศีล 10 และมหาศีล 7 เพียรสำรวมระวังในภิกขุณีปาฏิโมกข์ 311 ข้อ และ ครุธรรม 8 เพียรเจริญอริยมรรคมีองค์8เพื่อให้ถึงซึ่งความสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง เท่านั้น

อ้างอิง http://nirotharam.com/index.php?showtopic=32968

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 10:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Yodyood เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณสาวิกาน้อยขอรับ :b12: ในเมื่อเจ้าตัวเองรับ (ฝากผ่านลูกศิษย์) ว่า บวชเป็นภิกษุณีฝ่ายมหายานจากศรีลังกา ไม่ใช่เถรวาท ประเด็นนี้จบ

ส่วนเรื่องจะไปบรรยายธรรมะ ธัมโมอะไรกับใครที่ไหนเมื่อไหร่เวลาเท่าไหร ฯลฯ นั่นเป็นสิทธิ์ กรัชกายก็ว่าทำได้มาแต่ต้น


ขอบคุณที่ช่วยหาข้อมูลในประเด็นนี้มาให้ครับ
เมื่อบวชมาทางฝ่ายมหายาน พระวินัยต่างๆ ก็ต้องว่าตามฝ่ายที่ท่านบวชมาเป็นหลัก


:b8: :b8: :b8: ขอโมทนาสาธุการกับทั้ง ๒ ท่าน (คุณกรัชกาย-คุณ Yodyood) ด้วยค่ะ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ธรรมและวินัยที่ตถาคตให้ไว้ จะเป็นศาสดาสอนเธอต่อไป"
ตรัสไว้กับพระอานนท์ ครั้งพุทธกาลก่อนปรินิพพาน

ผ่านมา ๒๕๕๔ ปี ศาสนาพุทธแบ่งเป็นหลายนิกาย บางประเทศก็เอาแต่พระธรรมและพระสูตรพระวินัยเพียงบางส่วน มีประเทศไทยนี่แหละที่ครบทั้ง พระสูตร พระธรรม และพระวินัย บริบูรณ์ มีแต่ประเทศไทยนี่แหละ ที่จะสามารถดำรงพระพุทธศาสนาได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี

น่าเสียดาย..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สาวิกาน้อยเขียน
(๔) จากภาพข้างต้น...
ถือว่าท่านทำผิดข้อปฏิบัติของภิกษุณีข้อที่ ๘ ของครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ๘ หรือไม่ เจ้าค่ะ ?


การประชุมที่ผ่านไปอย่างสงบเรียบร้อย เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนและบุคคลอื่น
เป็นไปเพื่อแสดงหน้าที่ของพุทธบริษัท4 ที่ดีและสมบูรณ์
เป็นไปเพื่อแสดงธรรม เคารพ ยกย่อง ความเป็นศาสดาของพระพุทธเจ้า

ความเห็นของผมคือไม่ได้ทำผิด ในความเป็นพุทธบริษัท4ของท่าน

แต่ในเรื่องพระธรรมวินัย ผมไม่ทราบครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้อยตีวิด เขียน:
สาวิกาน้อย เขียน:
รูปภาพ

(๔) จากภาพข้างต้น...
ถือว่าท่านทำผิดข้อปฏิบัติของภิกษุณีข้อที่ ๘ ของครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ๘ หรือไม่ เจ้าค่ะ ?


ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ๘
(ข้อปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ)


ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือ เงื่อนไขอย่างเข้มงวด ๘ ประการ
ที่ภิกษุณีจะต้องปฏิบัติตลอดชีวิต
๑. ต้องเคารพภิกษุแม้จะอ่อนพรรษากว่า
๒. ต้องไม่จำพรรษาในวัดที่ไม่มีภิกษุ
๓. ต้องทำอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
๔. เมื่อออกพรรษาต้องปวารณาตนต่อภิกษุและภิกษุณีอื่นให้ตักเตือนตน
๕. เมื่อต้องอาบัติหนัก ต้องรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆ์สองฝ่าย
คือ ทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ๑๕ วัน
๖. ต้องบวชจากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย หลังจากเป็น * สิกขามานา เต็มแล้วสองปี
๗. จะด่าว่าค่อนแคะภิกษุไม่ได้
๘. ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด

* คำว่า "สิกขามานา" แปลว่า ผู้ศึกษา
สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณีต้องเป็นนางสิกขามานาก่อน ๒ ปี

:b8: :b8: :b8:


ไม่ผิดหรอกคะ เพราะ "ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด" กับ "ถวายความรู้" ต่างกัน เด็กๆ ก็รู้ทั้งนั้น
อย่างตั้งสำนักเอง ไม่อยู่จำพรรษากับพระภิกษุ ไม่ฟังปาฏิโมกร่วมกับพระภิกษุ ก็ไม่ผิดคะ
ถึงจะผิดก็ไม่เป็นปัญหา เพราะบวชจากศรีลังกาคะ สาธุ :b8:

ตลกดีครับ แบบนี่เรียกประชดแบบขาดสติ ขาดทั้งหิริโอตัปปะนะครับ
ก็ไหนพวกคุณบอกว่า ภิกษุณีรูปนี้ไม่ใช่พระในนิกายเถรวาทไง แล้วทางวัดนิโรก็บอกแล้ว
ว่าท่านไม่ใช่พระนิกายเถรวาทหรือพระไทย ท่านเป็นพระลังกาเป็นมหายาน
ถามจริงคุณไปเกี่ยวข้องอะไรกับท่านครับ

จะบอกให้ครับ คนที่ต้องเอาเรื่องหรือว่ากล่าวก็คือ นักบวชเถรวาทของท่านต่างหากครับ
ผมขอถามหน่อยทำไมมานั่งให้ภิกษุณีสอนอยู่ได้

อย่าอ้างนะว่า วินัยมีมาก่อนแตกนิกาย เห็นชอบว่านักว่ามหายานชอบเปลี่ยนพระบัญญัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 12:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามโฮฮับทีกรัชกายรู้เรื่องวินัยบัญญัติ(พุทธบัญญัติ)บ้างนั่นใช้ผิดที่ผิดทางตรงไหนไม่ทราบ

ตอบกรัชกาย เรื่องพระวินัยผมกล่าวแบบลอยๆครับ เอาเป็นว่าเหมารวมก็แล้วกัน
แต่สำหรับตัวท่านถ้าชี้ให้ตรงๆมันก็เรื่องหลักการไงครับ

ท่านเคยได้ยินเพลงเก่าๆเพลงนี้มั้ยครับ
ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหล่าลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 10:10
โพสต์: 104

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ตลกดีครับ แบบนี่เรียกประชดแบบขาดสติ ขาดทั้งหิริโอตัปปะนะครับ
ก็ไหนพวกคุณบอกว่า ภิกษุณีรูปนี้ไม่ใช่พระในนิกายเถรวาทไง แล้วทางวัดนิโรก็บอกแล้ว
ว่าท่านไม่ใช่พระนิกายเถรวาทหรือพระไทย ท่านเป็นพระลังกาเป็นมหายาน
ถามจริงคุณไปเกี่ยวข้องอะไรกับท่านครับ

จะบอกให้ครับ คนที่ต้องเอาเรื่องหรือว่ากล่าวก็คือ นักบวชเถรวาทของท่านต่างหากครับ
ผมขอถามหน่อยทำไมมานั่งให้ภิกษุณีสอนอยู่ได้

อย่าอ้างนะว่า วินัยมีมาก่อนแตกนิกาย เห็นชอบว่านักว่ามหายานชอบเปลี่ยนพระบัญญัติ

พระที่นั่งฟังนั่น ถือว่าต้องอาบัติคะ ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร เพราะไม่ศึกษาพระวินัยให้ครบถ้วน
เห็นความเศร้าหมองของพระศาสนาแล้วหรือยัง ทำอยู่ ๗ ปี อาบัติอยู่ ๗ ปี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 194 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร