วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 09:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ต.ค. 2010, 09:04
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราคิดมันมากเกินไปหรือน้อยเกินไปสำหรับคนธรรมดาธรรมดาคนหนึ่งเราไม่รู้ว่าเราจะอธิบายเกี่ยวกับความรู้สึกที่เรามีต่อพระพุทธศาสนายังไง การอยากหลุดพ้น การอ่านคำพูดยาก ๆ อริยสัจ4 มรรค 8 ฯลฯ หรืออะไรก้อตามเราไม่ได้ต้องการ เรารู้เพียงแค่ว่ามีเหตุ แล้วต้องมีผล รู้ว่าถ้าอยากเจอเพื่อนก้อต้องไปหา ถ้านั้งรอและภาวนาให้เพื่อนมาหายังไงก้อไม่ได้เจอ มันคือความผิดหรือเปล่าที่เราไม่เรียนรู้พระธรรม แต่เราอยากเป็นเพียงแค่อุบาสกอึบาสิกาที่ดีเราอยากเป็นแค่นี้แต่เป็นแค่นี้ก้อยังไม่สามารถหลุดพ้นได้ในความคิดเราภพภูมิ31เราว่าเราไม่สามารถหลุดออกจากภพภมูที่เป็นวัฎฎะได้หรอกเราเอาตัวเลขมาคิดนะเอาง่ายๆ 1 ปี มี365วัน เราอายุ29ปี ใช้ชีวิตมาแสนกว่าวัน ในหนึ่งวันเราทำทั้งดีและชั่ว(ที่ผ่านมา) เรารู้ว่ากรรมดีไม่สามารถหักล้างกรรมชั่วได้ การทำดีมันยากแต่ไม่ได้ยากที่จะทำ แต่การทำชั่วมันง่ายการชดใช้กรรมชั่วนานเป็นกัลป์การรับอนิสง ของกรรมดีมันสั้น ภพเดียวภูมิเดียวที่จะทำให้เราหลุดพ้นได้คือมนุษย์เราไม่ได้อยากบอกว่าใช่เวลานานเท่าไหร่จะหลุดพ้นแต่เราอยากบอกว่าเรายังไม่เห็นทางจะหลุดพ้นต่างหาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายุ 29 เกิดมาหมื่นกว่าวันเองคะ ไม่ใช่แสนวัน เห็นทุกข์เกิดหรือยังคะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรม เป็นธรรมดา และเป็นธรรมชาติคะ เข้าใจไม่ยากหรอกคะ ศึกษาอย่างตั้งใจ มีวิระยะคะ
อายุเท่าไหร่ก็ไม่รู้วันที่เราจะbye bye โลกนี้ไปนะคะ ถ้าไม่เร่งปฏิบัติภาวนา ก็ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะไปเกิดในภพภูมิไหนคะ และก็หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพระอรหันต์นะคะ ขออ้างอิงพุทธวาจาจากหนังสือของพระอาจารย์มานพ อุปสโม เรื่องตั้งสติได้ ใจพ้นทุกข์ สติปัฏฐาน 4

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางสายนี้เป็นทางสายเดียวที่สัตว์ทั้งหลายจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ ล่วงพ้นความโศก ความร่ำไร รำพัน คร่ำครวญ ดับทุกข์และโทมนัสได้ บรรลุอริยมรรค และเห็นแจ้งพระนิพพานได้ หนทางสายนี้คือ สติปัฏฐาน4ประการ การเจริญสติปัฏฐานนั้น เมื่อบุคคลเจริญได้ติดต่อกัน 7 วัน พึงหวังผลได้ 2 ประการ คืออรหัตตผลในอัตตภาพนี้ เมื่อยังความยึดมั่นหลงเหลืออยู่ก็จะได้บรรลุพระอนาคามีผล ถ้า 7 วันไม่บรรลุ อย่างช้าท่านแสดงไว้ 7 ปี

เห็นมั้ยคะ ทุกสิ่งอยู่ที่วิริยะคะ ตัดวิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย)ออกเสียเถิดคะ เราอาจจะไม่บริสุทธิ์เท่าพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล แต่ถ้าไม่เริ่มเสียแต่วันนี้ ก็ไม่ถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เสียทีคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2010, 13:40
โพสต์: 38

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


29ปี ถ้ามีบุญเก่าก็อาจเหลือเวลาอีกครึ่งกว่าเดียว แต่ถ้าบุญน้อยไม่มีพรุ่งนี้ คงต้องเหนื่อยอีกรอบ..

การหลุดพ้น คำนี้คนมีบุญถึงจะคิดถึงได้ ส่วนใหญ่คิดแต่จะจับจะยึดแน่นๆ ทั้งที่มันเป็นอนิจจัง

เจ้ากรรมนายเวรท่านปล่อยวาง จิตเดิมมันจะลอยขึ้นมาทวงถามภาระกิจที่ต้องมาทำในเวลาจำกัด

ถ้าคราวนี้ไม่ผ่านประตูนิพพาน คราวหน้าต้องลงมาใหม่ จะไฉไลเหมือนเดิมหรือไม่ก็น่าคิด

ธรรมของพระพุทธเจ้าแท้จริงไม่ใช่ของยากซับซ้อนอะไร เป็นวิชชา(ธรรมมะ)ที่สอนให้เรารู้ความจริง

ที่ปรากฏตามธรรมชาติ ที่เป็นอยู่ของเขามานาน ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด และเป็นตลอดไปเป็นนิจนิรันดิ์

มีกฏตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง ในกฏนั้นคือความเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดหย่อน เป็นอนิจจัง เกิดดับ

โดยมีอัตตาเป็นตัวยึดเหนี่ยว อัตตาตัวใหญ่ จึงไม่สามารถผ่านประตูนิพพานได้...

แต่ถ้าเราทำลายอัตตาลงได้ ย่อมไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว การหลุดพ้นย่อมสมจุดประสงค์อันแท้จริง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b4: :b4: :b4:
:b13: :b13: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เราอยากบอกว่าเรายังไม่เห็นทางจะหลุดพ้นต่างหาก


เมื่อใดเห็นทาง เมื่อนั้นเป็นโสดาบัน
เขาว่า ได้ดวงตาเห็นธรรม

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 00:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ๋อ มันก็อย่างนี้แหละ

แรกๆผมหันมาสนใจศึกษาพระะรรมนะ
มันเหมือนจิ๊กซอกองเท่าภูเขาอยู่ตรงหน้า
มันรู้สึกไม่เห็นอนาคตจริงๆนะ
ผมเข้าใจเลยว่าคุณรู้สึกยังไง

เรามันก้พวกนักวิทยาศาสตรืนะ คือเรียนมากับระบบวิทยาศาตร์ ระบบเหตุผลตรรกะ
อะไรต่อมิอะไรที่ได้ยินมันก็ตีกันนะ ขัดกัน สวนกระแสกัน
แถมห้ามสงสัยอีก บาป อะไรอย่างนี้
เราก้ศรัทธาพระพุทธเจ้าแต่ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ยิ่งเรียนยิ่งง

แต่ผมโชคดีว่าไม่รู้ทำไม ใจมันชอบ มันอยากพิสูจน์ มันอยากรู้
เพราะความรู้ที่ได้ฟังมันเวอร์ซะจริงๆ ผมเลยอยากรู้
ใจก้เลยยังข้องๆ เกี่ยวๆอยู่ ไม่ผละหนี
ก็เลยได้อาศัยเก้บเล็กผสมน้อย

แรกๆ ทิ้งๆขว้างๆนะ แล้วแต่อารมณ์

แต่ปรากกว่า เจ้าพวกเล็กๆน้อยๆที่เราผ่านหูผ่านตานี่แหละ
พอถึงวันดีคืนเหมาะ อ่านไปเจอประโยคทอง ประโยคเด็ดของครุบาอาจารย์
มันปิ้งเลย
เหมือนเรา งงๆเช่นหลงทางอยู่ ผ่านซอยนั้น ป้ายนี้
แล้วมีผู้รู้มาแนะ แล้วเราค่อยๆ "อ๋อๆ" อย่างนั้นแหละ อารมณ์นั้น
ความรู้ในใจเรามันตีลังกาใหม่ กลับหัวหลับหางไปสู่ทางที่ถูกต้อง
จนเราบังเกิดความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ

ศึกษาธรรมะเหมือนเล่นจิ๊กซอนะ
ตอนแรกที่มันกองกันกระจาย พอนึกจะต่อแล้วมันท้อนะ

แต่พอทนประติดประต่อ พอได้โครงเท่านั้นแหละ ชักเริ่มสนุก

ช่วง"ทนประติดประต่อ" ของผม ประมาณ 1 ปีเศษนะ
สัปดาหนึ่ง ก็ไม่น้อยกว่า 3 วัน แต่ละวันก็ 1-3 ชั่วโมง
ผมพยามจะบอกว่า มันไม่ยากนะ แต่ไม่ง่าย
หัวใจสำคัญคือความต่อเนื่อง หรืออาจจะเรียกว่าความเพียรก็ได้

แต่ไม่เหนื่อยนะ เพราะใจมันชอบคิด

ผมว่าคุณชอบคิดแบบนี้ มีอะไรมาถามผมได้
ถามแบบนักวิทยาศาสตร์ นักเหตุผลนั่นแหละ
ลองดุ เผื่อผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


scb36474 เขียน:
อริยสัจ4 มรรค 8 ฯลฯ หรืออะไรก้อตามเราไม่ได้ต้องการ เรารู้เพียงแค่ว่ามีเหตุ แล้วต้องมีผล

มรรค ๘ คือแนวทางที่พระพุทธเจ้าดำเนินมาตลอด ๔ อสงขัยแสนกัปป์ เพื่อตรัสรู้ธรรมที่เรียกว่า อริยสัจสี่ นี้เอง
ที่ว่าไม่ต้องการก็ไม่ใช่ แต่เพราะเข้าใจผิด เข้าใจคลาดเคลื่อนจากความจริง

ศาสนาพุทธ คือศาสนาของเหตุผล อธิบายทุกสรรพสิ่งที่เกิด-ดับ ด้วยเหตุผลเสมอ

อริยสัจ ๔ คือ

๑. ทุกข์(ผล)
๒. สมุทัย(เหตุของทุกข์)
๓. นิโรธ(ผลของทุกข์ดับ)
๔. มรรค(มีองค์ ๘)คือ ทางดำเนินเพื่อการดับทุกข์ อันมี สัมมาทิฏฐิ เป็นเบื้องต้น

สิ่งที่คุณ scb36474 ต้องการ คือเหตุกับผล ก็คือ อริยสัจ ๔ นั่นเอง

ทุกข์(ผล) เป็นของหยาบ เห็นง่าย คนธรรมดาเราท่านจึงเห็นแต่ทุกข์
สมุทัย(เหตุ) เป็นของละเอียด เห็นยาก ผู้ที่มีปัญญาจึงจะเห็นได้

เมื่อเรามองเห็นแต่ทุกข์ จึงอยากแก้ทุกข์ อยากพ้นทุกข์ แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้ แก้ไม่ถูก
เพราะไม่ได้แก้เหตุ มองไม่เห็นเหตุ

ผู้มีปัญญาท่านมองเห็นเหตุของทุกข์ ท่านจึงแก้ที่เหตุ ทุกข์ของท่านก็ดับ ท่านจึงอยู่เป็นสุข
อยากพ้นทุกข์ ต้องมองหาเหตุ ค้นหาเหตุแล้วดับที่เหตุ ดับที่สมุทัย


ใครมองเห็นเหตุ แล้วดับเหตุก็พ้นทุกข์ได้ ใครเห็นแต่ทุกข์ มองไม่เห็นเหตุ
ก็ต้องจมอยู่กับทุกข์(เหมือนกระผม)อย่างนี้แหละ...ขอรับ

:b12: :b8:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แก้ไขล่าสุดโดย วิริยะ เมื่อ 15 ต.ค. 2010, 12:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


scb36474
เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราคิดมันมากเกินไปหรือน้อยเกินไปสำหรับคนธรรมดาธรรมดาคนหนึ่งเราไม่รู้ว่าเราจะอธิบายเกี่ยวกับความรู้สึกที่เรามีต่อพระพุทธศาสนายังไง การอยากหลุดพ้น การอ่านคำพูดยาก ๆ อริยสัจ4 มรรค 8 ฯลฯ หรืออะไรก้อตามเราไม่ได้ต้องการ เรารู้เพียงแค่ว่ามีเหตุ แล้วต้องมีผล

ไม่ต้องอ่านหรอก...แต่...จำหัวข้อเอาไว้...
เพราะเมื่อถึงวันหนึ่ง...อาจจะได้ใช้...สวมเข้ากับ...เหตุและผล
และอาจจะได้...ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเอง...
ว่าทำไม...มรรคจึงเป็นทางสู่นิโรธ... :b1:
อริยสัจจ์ ไม่ใช่คำภีร์...ไม่ใช่ภาษา...แต่เป็นสัจจะธรรม...

:b1:

ไม่ใช่สัจจะธรรม...ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง...แต่เป็นสัจจะธรรมแห่งสรรพสิ่ง...
เป็นสิ่งที่อยู่เหนือเรา...เหมือนดั่งบาทาที่อยู่เหนือรองเท้า... :b6:


รู้ว่าถ้าอยากเจอเพื่อนก้อต้องไปหา ถ้านั้งรอและภาวนาให้เพื่อนมาหายังไงก้อไม่ได้เจอ มันคือความผิดหรือเปล่าที่เราไม่เรียนรู้พระธรรม แต่เราอยากเป็นเพียงแค่อุบาสกอึบาสิกาที่ดีเราอยากเป็นแค่นี้แต่เป็นแค่นี้ก้อยังไม่สามารถหลุดพ้นได้ในความคิดเราภพภูมิ31เราว่าเราไม่สามารถหลุดออกจากภพภมูที่เป็นวัฎฎะได้หรอก

:b16: ไม่รู้จิ่... เอกอนไม่ได้คิดอย่างนั้นน่ะ...
เอกอนเวลาได้ยินอะไรประมาณนี้แล้ว...ก็คิดแค่ว่า...
"ตูไม่อยู่อะไรทั้งนั้นแหละ...ตูอยู่นี่....นี่ นี่...ตูอยู่นี่....
ส่วนอนาคตจะไปอยู่ไหน...ไม่รู้จิ...ไม่ได้คิดเลย...
ให้ไปอยู่ในภพภูมิเทวดา หรือแม้แต่ พรหม...
ไม่รู้จิ...แค่ได้ยินก็รู้สึกเอียนเหลือหลาย...
ส่วนแดนอเวจีนี่สิ่...พอได้ฟังแล้วเรากลับรู้สึกเร้าใจแฮะ...อยากไป... :b14:
เพราะ...เป็นคนที่หนาวง่าย...เลือดน้อย-เลือดจาง ก็เลยยะเยือกง่าย...
เมื่อนึกถึงภาพแดนระอุ ๆ แล้ว...มันก็เลยรู้สึกจั๊กจี้หัวใจ... :b9:
แบบว่า...เราก็ไม่ได้ทำบาปมากนัก แต่ขอไปอยู่เล่น ๆ ได้ป่าว...
เหมือน...ไปเที่ยวทะเลทราย...น่ะ...

อิ อิ อันนี้เป็น...ความคิดแต่ก่อน ๆ ตอนที่ยังไม่ได้เข้ามาสนใจศึกษาธรรมน่ะ...
เพราะ...เราไม่เชื่อเรื่องพวกนี้...และไม่เห็นเรื่องพวกนี้อยู่ในสายตาจริง ๆ
ก็...เลยออกจะเป็นแนว..."เย้ยฟ้า...ท้านรก...อย่างหน้ามึน..."
ก็...มันก็น่าเย้ย...น่ะ... คือเอกอนไม่ค่อยได้ใส่บาตร...นะ
เพราะก็คนมันไม่คิด...ก็คือไม่คิด...ไง
แต่มีผู้ปฏิบัติบางคน...พอได้ฟังว่า...เรามันเหมือนพวกไม่ทำบุญ ไม่เอาบุญ
เห็นการทำบุญเป็นเรื่องไม่สำคัญ...เขาก็เอาเรื่อง...นรก-สวรรค์...มาทับถมเรา..

เอกอนก็...."ห้วย..." สิ่...
"ห้วย....แมม๋...ยุงมากัดข้ายังไม่ตบ...ใครจะมาลากตูลงนรก...
ได้เจอแม่อาละวาด...จนนรกแตกแน่...หุ้ย..."
คือ...เรื่องตกนรกนี่...ไม่กลัวเลย... เพราะชาตินี้ที่ระลึกได้...เราชัวร์...
ส่วนถ้าอ้างชาติก่อน ๆ ก็ได้เห็นดีกันแน่...
ถ้าต้องการให้ตูเกิดมาชดใช้...แล้วทำไมทำให้ตูลืม...วะ...
คือ...ถ้าจะต้องตกนรก...ก็ตกได้... แต่อย่ามาตัดสินแบบไร้เหตุผลละกัน...แม่ลุยแน่... :b9:

:b32: :b32: :b32: 5555


แต่เราอยากบอกว่าเรายังไม่เห็นทางจะหลุดพ้นต่างหาก

อื้อ...ก็ไม่เห็น นั่นล่ะ ...
การหลุดพ้นไม่ใช่ทาง...ที่จะนำเราออกไปจาก
ไม่ใช่แดน...ที่เราจะต้องไปให้ถึง...
คำว่า...ทาง...กับคำว่าแดน...เราเอามาใช้แค่เพื่อแยกสิ่งหนึ่งออกจากสิ่งหนึ่ง...
แต่จริง ๆ สิ่งนั้น ๆ ที่เราพูดถึง...ไม่ได้อยู่แยกต่างหาก...
เหมือน....แจกันที่ตั้งอยู่ในลานในเวลากลางคืน กับ
แจกันใบเดิมที่ตั้งอยู่ในลานที่เดิมในเวลากลางวัน...
มันไม่ได้มีทางเชื่อมระหว่างแจกับกลางคืนกับแจกันกลางวัน...

แต่มันคือ...การมีทัศนะต่อธรรมชาติอย่างครบวงรอบแห่งการเปลี่ยนแปลง...
ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น...ยันพระอาทิตย์ตก...เมื่อแจกันต้องแสงจันทร์ในข้างขึ้น ข้างแรม...
แม้แต่คืนที่หนาวเหน็บ...ที่ยามเช้ามีน้ำค้างมาเกาะ...และจางหายไปเมื่อยามสาย...
แม้แต่แจกัน...ก็มีร่องรอยแห่งการผุพัง... :b16:

เพื่อให้เราเข้าใจได้...ในการที่เราจะต้องอธิบายถึงสิ่งเดียวกันแต่ด้วยสภาวะในการใช้งานที่ต่างกัน...
ก็เหมือนกับ Sodium Chloride NaCl เป็นชื่อเรียกในห้องทดลองวิทยาศาสตร์
แต่ในครัว เราเรียก เกลือ ... :b12:
คนเรารู้จักเกลือ... แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจว่า Sodium Chloride NaCl ก็คือ เกลือ...

อย่าคิดว่าการคิดอย่างที่คุณคิดแล้วจะเป็นปัญหา...
คิดยังไงก็ได้...เพียงยืนอยู่บนหลักเหตุและผล...
เดี๋ยวประสพการณ์...ทางด้านเหตุและผล...เมื่อแข็งแรงขึ้น...มันก็จะค่อย ๆ ก้าวไปสู่
การศึกษาความเป็นไปของชีวิตที่ลึกซึ้งขึ้นเอง...



แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 15 ต.ค. 2010, 14:03, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 15 ต.ค. 2010, 16:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระท่านบอก...."โคตรปุถุชน"
กระผมพยายามจะเข้าใจความหมาย และ รู้ตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
อันมรรค ผล นิพพาน มองดูแล้ว มันไกลเหลือเกิน...(แต่จะไม่ท้อ)
ดูๆ ว่า เราคงจะอยู่ในวงเวียน สังสารวัฏฏ์ นี้ อีกหลายรอบ นับไม่ไหว
ต้อง ตายแล้ว เกิด เกิดแล้ว ตาย....วนเวียนอยู่ในกองทุกข์นี้ร่ำไป
จนกว่า...จะดวงตาเห็นธรรม เกิดความเบื่อหน่าย คลายความยึด ละออก
อยากจะหลุดออกจาก วงจรอุบาทว์นี้ให้ได้ ไม่อยากเกิดอีกแล้ว
อุปมา เหมือน จะข้ามคลอง..กระโดดข้ามคลองไปอีกฝั่ง
ก่อนกระโดดมันต้องใช้แรง กำลังให้ถึง มันต้องใช้ระยะ วิ่ง
ถึงจะข้ามไปจาก โคตร ปุถุชน สู่เส้นทาง อริยะบุคคล
นั่นล่ะ กำลัง ปัญญา ของเราๆ ทั้งหลาย
ถึงวันนี้ จะปฏิบัติหรือไม่...ก็ยอมแพ้แล้ว...บอกว่ามันคงไม่ได้แน่
แต่วันข้างหน้า...เมื่อเหตุปัจจัยมา...เมื่อทุกข์ครั้งใหญ่มาถึง
แล้วจะเสียดายเวลา...ลมหายใจ ที่ปล่อยทิ้งไป อย่างขาดสติ มาหลายแสนวัน :b12:
เจริญในธรรม :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 15 ต.ค. 2010, 16:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยส่วนตัวเรา เราเองก็จะเรียกว่า มองเห็นทางหลุดพ้น..เราเองไม่เห็นอ่ะค่ะ คล้ายคุณ คือ รู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน แต่เราน่ะอาศัยความศรัทธา คือ เราเชื่อในการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า (จาก ศรัทธา 4 ได้แก่ 1. ตถาคตโพธิสัทธา 2. กัมมสัทธา 3. วิปากสัทธา 4. กัมมัสสกตาสัทธา ) เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง ดังนั้น การทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ มีจริง อาศัยศรัทธาข้อนี้เป็นใบเบิกทางค่ะ นอกจากนั้นแล้วต้องใช้ความเพียรของเราเอง ซึ่งก็จะไปได้มากน้อยแค่ไหน ช้าเร็วอย่างไรก็อยู่ที่เราแล้ว แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงบอกว่า ทรงเป็นผู้ชี้ทาง ทรงชี้ไว้แล้ว ใครไม่ไปก็แล้วแต่ตัวเราอ่ะค่ะ ซึ่งคนเราจะเดินไปตามทางที่มีใครสักคนบอกนั้นก็ต้องอาศัยมีศรัทธาเสียก่อนใช่ไหม ถ้าไม่ศรัทธาในตัวคนบอกทาง ไม่มั่นใจในเส้นทางที่ผู้นั้นบอกไว้ก็จะต้องงมหาเส้นทางเอาเองอีกนาน ดีไม่ดี..หาไม่เจอก็หลงวนไปมาอยู่นั่นเอง แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีใครเดือดร้อนไปกับเราเลยค่ะ เราเองเท่านั้นที่เดือดร้อน เพราะมีแต่เราเนี่ยเที่ยวเกิดตายๆอยู่

คิดแบบคุณ scb เราว่าไม่แปลกเลย เพราะคุณยังถึงขนาดอยากเป็นอุบาสิกอุบาสิกาด้วยซ้ำไป ในโลกนี้มีอีกมากที่อยู่กับความทุกข์สาหัสแต่ก็ไม่เคยคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องทุกข์แบบนี้อีก พวกเขาดิ้นรนแก้ปัญหาเป็นรายวันไปเรื่อยๆจนในที่สุดถึงวันตายก็ตายไป


แต่ลองพิจารณาภพภูมิดูสิคะ คุณเองเข้าใจว่ามีภพภูมิเยอะแยะ อย่าคิดว่าเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์แบบนี้ไปซะทุกๆชาติสิคะ เราจะไม่ได้เกิดมามีสุขตามอัตภาพแบบนี้ทุกๆชาติหรอกใช่ไหม บางชาติเราอาจต้องไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย หรือเดรัจฉานบ้างก็ได้ ซึ่งเราเชื่อว่า ทรมานมากนะคะ การเกิดไม่แน่นอนแบบนี้..เราไม่ควรกลัวหรอคะ


บางที การกลัวการต้องไปเกิดในภพภูมิไม่ดี ทุกข์มาก ก็จะช่วยทำให้เรามีกำลังใจที่จะพยายาม "ปิดอบายภูมิ" บ้างนะคะ นั่นคือ การขวนขวาย ไม่ใช่แค่การทำดี แต่ทำความเพียรเพื่อให้การเกิดตายมันจบสิ้นไปเสียที


หนทางมันไกลค่ะ แต่เราว่า มันมีแต่กำไรเท่านั้น เราดิ้นรนเพื่อออกจากภพซะ(อย่ามักน้อยในการทำความดี ความเพียรแบบที่คุณเจ้าของกระทู้ว่า) ขวนขวายให้มากๆ แม้ว่าการหลุดพ้นจากภพไม่มีจริงเราก็คงได้เกิดในภพที่สบาย แต่ถ้าการหลุดพ้นมีจริง เราก็มีโอกาสจะได้หลุดพ้นไปกับเขามั่งอ่ะค่ะ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2010, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้มีความเพียร ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ทั้งทางโลกและทางธรรม นะครับ tongue

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


แก้ไขล่าสุดโดย ผงธุลีดิน เมื่อ 15 ต.ค. 2010, 15:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 156 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร