ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ตอบคำถามคุณศรีสมร
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=34385
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  91One [ 08 ก.ย. 2010, 13:09 ]
หัวข้อกระทู้:  ตอบคำถามคุณศรีสมร

ศรีสมร เขียน:
ในวิธีการเจริญจิตภาวนาของ หลวงปู่ดูลย์ มีข้อความหนึ่งว่า

ให้สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

อยากทราบว่า
ท่านให้สังเกตทำไมค่ะ

ตอบตามความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

ผู้บริกรรม คือ จิต
ผู้สังเกตุ คือ สติ เพราะ

จิต คือ ผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุงแต่ง ผู้บริกรรม
สติ คือ ผู้ระลึกได้ ผู้เฝ้าระวัง เฝ้าสังเกตุ

ที่ท่านให้สังเกตุ เพราะจะได้เห็นว่า จิต คิดนึกเรื่องใดดีหรือชั่ว
เพื่อให้หยุดปรุงแต่งเรื่องที่เป็นทุกข์เป็นโทษ ให้จิตสงบเป็นสมาธิ

:b12:

เจ้าของ:  ศรีสมร [ 08 ก.ย. 2010, 13:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบคำถามคุณศรีสมร

91One เขียน:
ศรีสมร เขียน:
ในวิธีการเจริญจิตภาวนาของ หลวงปู่ดูลย์ มีข้อความหนึ่งว่า

ให้สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

อยากทราบว่า
ท่านให้สังเกตทำไมค่ะ

ตอบตามความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

ผู้บริกรรม คือ จิต
ผู้สังเกตุ คือ สติ เพราะ

จิต คือ ผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุงแต่ง ผู้บริกรรม
สติ คือ ผู้ระลึกได้ ผู้เฝ้าระวัง เฝ้าสังเกตุ

ที่ท่านให้สังเกตุ เพราะจะได้เห็นว่า จิต คิดนึกเรื่องใดดีหรือชั่ว
เพื่อให้หยุดปรุงแต่งเรื่องที่เป็นทุกข์เป็นโทษ ให้จิตสงบเป็นสมาธิ

:b12:


ขอบคุณค่ะ และขอบคุณที่แยกกระทู้ออกมาตอบ

เจ้าของ:  นิดหนึ่ง [ 08 ก.ย. 2010, 14:53 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบคำถามคุณศรีสมร

การถามตอบปัญหาธรรม มุ่งดี ปรารถนาดีต่อกัน จึงเรียกว่า สนทนาธรรม ให้ธรรมเป็นทาน ท่านเรียกบัณฑิต ผู้ที่ยกตนข่มท่าน อดเบ่ง หรือเบ่งทับผู้อื่น ท่านไม่เรียกบัณฑิต

เจ้าของ:  91One [ 08 ก.ย. 2010, 19:23 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบคำถามคุณศรีสมร

ทุกกระทู้ ต่างก็หวังจะได้คำตอบที่ดี ได้ความรู้ ได้ปัญญา ผู้ตอบก็ได้ประโยชน์ คือ ได้ฝึกความคิดฝึกสติปัญญาของตนเองด้วย นับว่าได้ประโยชน์ท้งสองฝ่าย ถ้าสนทนากันแบบบัณฑิตนะครับท่าน

ขอบคุณคร้าบบบบ :b4: :b12: :b8:

เจ้าของ:  panejon [ 08 ก.ย. 2010, 21:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบคำถามคุณศรีสมร

ขอตอบบ้างครับไม่ได้แวะมานานแล้ว

ที่ท่านให้สังเกตุ เพราะว่าที่บริกรรมอยู่นั้นไม่ว่าจะบริกรรมคำใดๆก็ตาม
ปกติคนทั่วไปจะเข้าใจว่า เราเป็นผู้บริกรรม แต่แท้จริงแล้วอะไรใครกันแน่ที่บริกรรม
ใช่เราใหม ถ้าเป็นเราจริง แล้วขณะที่เห็นว่าอะไรบริกรรมอยู่นั้น
แล้วเราได้บริกรรมใหมล่ะ
เมื่อเห็นชัดขึ้นก็จะรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
กลายเป็นวิปัสนาไปโดยอัตโนมัติ
ตอบตามที่ผมคิดว่าเป็นจุดประสงค์ของหลวงปู่่
ตอบเท่าที่ได้ฟังคูบาอาจารย์มาและอ่านมาครับ :b40:

เจ้าของ:  murano [ 08 ก.ย. 2010, 21:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบคำถามคุณศรีสมร

ก็ไม่แน่ใจเท่าไรนะ... แต่ถ้าเราลองพิจารณาดีๆ คำว่าพุทโธ ที่ดังอยู่ในใจน่ะ มันเหมือนดังออกมาจากที่ใดที่หนึ่ง ที่ไม่ใช่ตัวเรา

เข้าใจว่า หลวงปู่คงต้องการให้เราสังเกตว่า ความคิดเป็นคนละตัวกับสติมั๊ง :b6: :b6: :b6:

เจ้าของ:  วิสุทธิปาละ [ 09 ก.ย. 2010, 00:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบคำถามคุณศรีสมร

อ้างคำพูด:
ในวิธีการเจริญจิตภาวนาของ หลวงปู่ดูลย์ มีข้อความหนึ่งว่า

ให้สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

อยากทราบว่า
ท่านให้สังเกตทำไมค่ะ

เห็นในข้อมูลบางแหล่ง แจ้งว่าเป็นการรวบรวมหรือเขียนโดย (ผมเองเข้าใจว่า) พระลูกศิษย์ของหลวงปู่ :b1:

จะเป็นคำสอนโดยตรงของหลวงปู่ หรือเป็นการบันทึกของลูกศิษย์ใกล้ชิดนั้น ขอยกไว้ก่อนครับ (ไม่ได้เป็นผู้รู้จริง) แต่เมื่อเอาหลักกาลามสูตรเข้ามาจับ และทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง มีความเห็นดังนี้ครับ :b46: :b51: :b53: :b41:

การบริกรรมพุทธโธ หรือใช้ wording อะไรก็ตาม เพื่อ “รวมจิตให้เป็นหนึ่ง” แล้วสังเกตว่า ใครเป็นผู้บริกรรมนั้น เป็นการสังเกตเพื่อแยกธาตุแยกขันธ์ให้ออกจากกัน คือการทำฆนสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นก้อน, ความสำคัญเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งบังปัญญาไม่ให้เห็นภาวะที่เป็นอนัตตา – ป.อ.ปยุตโต) ให้แตก เช่นเดียวกับการสังเกตให้เห็นระหว่างรถยนต์ vs. องค์ประกอบต่างๆของรถยนต์ ซึ่งเมื่อแยกส่วนต่างๆออกไปแล้ว สมมุติบัญญัติว่า รถยนต์ ก็จะไม่มี :b41: :b41: :b46:

เช่นเดียวกันครับ ขณะที่บริกรรมหรือสวดมนต์อยู่ ถ้าสังเกตไปเรื่อยๆจะเห็นผู้บริกรรม (จิต) และคำบริกรรม (จิตสังขาร) แยกกันอยู่เป็น ๒ ส่วน ซึ่งถ้าสังเกตให้ละเอียดขึ้นไปอีก จะเห็นคำบริกรรม ผุดขึ้นมาจากความจำได้หมายรู้ (สัญญา) จนเมื่อจิตสงบ ทิ้งคำบริกรรม ตั้งมั่นดีแล้วและมีสติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิม ซึ่งถ้าปฏิบัติใหม่ๆ จิตจะอยู่ที่ฐานไม่ได้นานหรอกครับ พักเดียวกำลังของสติจะอ่อนลง จะมีอาการเริ่มต้นคือ มัวๆเบลอๆไม่ชัดเจนเหมือนเดิม แล้วจิตก็จะหนีเที่ยวไปคว้าอารมณ์ (เกิดจิตสังขาร) มาคิดปรุงแต่งอีก (เรียกว่า หนีออกจากฐาน) :b41: :b41:

สักพักเมื่อจิตที่หิวในอารมณ์นั้นอิ่มแล้ว (สำหรับมือใหม่) หรือเมื่อมีสติรู้ตัวได้ไวเมื่อจิตเริ่มไหวออกจากฐาน (มือเก่า) จิตจะกลับมารู้ตัวอีกด้วยกำลังของสติ แต่สักพักก็จะเริ่มไหลออกจากฐานอีก วนเวียนกันไปในระหว่างภาวนา ก็ให้หัดสังเกตไปเรื่อยๆเพื่อให้เห็นการอ่อนลงของสติ การผุดขึ้นของการปรุงแต่งต่างๆ (จิตสังขาร) ที่ทำให้จิตไหลเบี่ยงออกจากฐาน และการมีสติกลับมาที่ฐานใหม่ ซึ่งนี่เป็นการเรียนรู้ในสิ่งที่ในบันทึกใช้คำว่า พฤติแห่งจิต :b8:

ลองเทียบดูครับ

๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต)

ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสามคือ ราคะ โทสะ โมหะ

๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิต ให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)

ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖

เจ้าของ:  วิสุทธิปาละ [ 09 ก.ย. 2010, 00:25 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบคำถามคุณศรีสมร

เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยครับ :b16: :b1:

เมื่อฝึกไปเรื่อยๆจนการที่จิตปรุงแต่งไปคว้าอารมณ์ต่างๆนั้นน้อยลง จิตอยู่ในฐานได้นานขึ้น ให้ลองสังเกตไปที่ความรู้สึกที่ตั้งมั่นเป็นกลาง (อุเบกขาเวทนา) ก็จะเห็นเป็นอีกขันธ์ที่แยกไป หรือสังเกตไประหว่างจิตและกาย ก็จะเห็นว่าเป็นคนละส่วนกัน ตามข้อความในข้อที่ ๔, ๕ และ ๖ :b51: :b53: :b48:

๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ

คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด

๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติ สังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติแห่งจิต ได้อย่างละเอียดละออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่าเกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้

คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง

๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น


ซึ่งนับตั้งแต่ บริกรรมแล้วสังเกตเห็นการแยกตัวได้ระหว่างจิต ซึ่งเป็นผู้บริกรรม (โดยรับรู้คำบริกรรมในชื่อของวิญญาณขันธ์) กับสังขารขันธ์ ซึ่งก็คือคำบริกรรม ที่ผุดขึ้นมาโดยอาศัย สัญญาขันธ์ :b46: :b45:

จนกระทั่งจิตสงบเป็นหนึ่ง สังเกตเห็นการแยกตัวได้ระหว่าง จิต ซึ่งเป็นผู้บริโภค (เสวย) กับ อุเบกขาเวทนาขันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังถูกบริโภค (เสวย) :b41: :b48:

หรือสังเกตเห็นการแยกตัวได้ระหว่าง จิต ซึ่งเป็นผู้รู้ กับ กาย (รูปขันธ์) ซึ่งเป็นผู้ถูกรู้ (ในขณะที่สังเกตนั้น) :b46: :b48:

ฝึกปฏิบัติเพื่อแยกธาตุแยกขันธ์เพื่อให้ฆนสัญญาแตกออก (นามรูปปริเฉทญาณ ในโสฬสญาณ) ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ผู้รู้ที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวกล่าวว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งที่จะเกิดภาวนามยปัญญา จิตจะเห็นในสภาวะอนัตตาของขันธ์ ๕ ว่า รูปก็ไม่ใช่เรา เวทนาก็ไม่ใช่เรา สัญญาก็ไม่ใช่เรา สังขารก็ไม่ใช่เรา จิต (วิญญาณขันธ์) ก็ไม่ใช่เรา ที่รู้สึกว่า “เป็นเรา เป็นเรา” นั้น มาจากเหตุและปัจจัยคือ การรวมกันขึ้นของขันธ์ทั้ง ๕ และจิตปรุงแต่งความเป็นเราขึ้นมานั่นเอง (อุปาทานขันธ์) ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่มีเราที่ไหน exist อยู่เลยเมื่อแยกธาตุขันธ์ออก เมื่อภาวนามาถึงจุดนั้น สักกายทิฏฐิก็ถูกทำลายครับ :b4: :b16: :b41:

ปล. การแยกธาตุแยกขันธ์ ไม่ใช่จุดประสงค์ตรงๆของการภาวนาตามบันทึกนะครับ เป็นแค่ทางไปอีกทางหนึ่งที่ในบันทึกเขียนไว้ให้ลองสังเกตดู ส่วนจุดประสงค์หลักของบันทึกก็คือ ให้สังเกตให้เห็นถึงพฤติของจิต คือ เห็นปฏิจสมุปบาทสายเกิด อันเนื่องด้วยทุกข์ที่มาจากเหตุคือการปรุงแต่งของจิต ซึ่งมีรายละเอียดในเชิงปฏิบัติ และผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามบันทึก เทียบกลับไปที่ปริยัติได้อีกหลายแง่มุมครับ :b1: :b12:

ผิดถูกอย่างไร น้อมรับคำชี้แนะครับ

เจริญในธรรมครับ :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/