วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 00:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 11:35
โพสต์: 48

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในวิธีการเจริญจิตภาวนาของ หลวงปู่ดูลย์ มีข้อความหนึ่งว่า

ให้สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

อยากทราบว่า
ท่านให้สังเกตทำไมค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมร เขียน:
ในวิธีการเจริญจิตภาวนาของ หลวงปู่ดูลย์ มีข้อความหนึ่งว่า

ให้สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

อยากทราบว่า
ท่านให้สังเกตทำไมค่ะ


บริกรรม คืออะไร
ทำไมต้องบริกรรม

พุทโธ คืออะไร
ทำไมต้องพุทโธ
พุทโธเพื่อประโยชน์อะไร

ตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ มีความสำคัญ ในการอบรมจิตตภาวนา จริงไหม?

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คล้ายๆกับตั้งคำถามตัวเองว่า ฉันเป็นใคร ? ฉันมาจากไหน ? แล้วก็ควานหาฉัน...อยู่นั่น หาไปหา

มาฉันปวดหัว ปวดขมับ ปวดกะบอกตา ปวดหว่างคิ้ว ฯลฯ :b32: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใคร ...หนอ
มาจากไหน ...หนอ
อยู่ไหน ...หนอ
:b32: :b32: คิดแล้ว ก็ ปวด...หนอ

เออ จริงแฮะ ....ไล่หาเงา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากแก้อารมณ์นั้นไม่ถูกวิธี จากการปวดหว่างคิ้ว ปวดกะบอกตา ฯลฯ จะพัฒนาเป็นยังงี้


- ในระหว่างนั่งสมาธิ จะอันเชิญประทานโดยพระพุทธเจ้าก่อน ผมจะนับเลข ไปเรื่อย ๆ พุทโธ 1 2 3 จนถึง 1000 ช่วงแรกเลยที่หัดนั่งเมื่อต้นปี มีรูปภาพที่ di cut เรียบร้อยแล้ว ลอยไปมา ส่วนใหญ่เป็นซากโบราณสถาน ที่เก่า ๆ มีรอยไหม้ ๆ

- 3 เดือนผ่านไป ผมก็ยังนั่งทุกวัน ภาพต่าง ๆ หายไปแล้ว เมื่อนั่ง หลาย ๆ ชม. ขาเป็นตระคริวบ่อย ช่วงกลางคืน ตอนออกจากสมาธิมีครั้งนึง เห็นตัวเองนั่งอยู่ตรงข้าม ตกใจจนออกจากสมาธิ อันนี้ เป็นครั้งเดียว มีความรู้สึกว่าอันนี้ไม่น่าจะดี

- เดือนที่ 4-5 ภาพต่าง ๆ ไม่มีล่ะ นั่งได้นานขึ้น ตอนนี้มีลักษณะแปลกออกไป เหมือนมือเรามันหายไป นึกไม่ออกเลยว่ามันยังอยู่หรือป่าว

- เดือนที่ 6 ระยะหลัง ๆ นั่งแป้บเดียว ไม่รู้สึกเลยว่า ร่างกายมันอยู่ตรงไหน เหมือนนั่งอยู่คนละมิติกับโลก อันนี้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผม ตะคริวก็ไม่เป็นเหมือนกับไม่รู้สึกอะไรเลย พอนึกอยากได้ยินเสียงหัวใจ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา สติต่าง ๆ ยังอยู่ครับ ไม่ได้ทรมานแต่อย่างใด สักพักเหมือนมีอะไรสักอย่างที่ไม่เข้าใจ ไหลจากแขนขึ้นมาทั้งสองฝั่ง ไล่ไปจนถึงขาทั้งสองข้าง ผมตกใจจนต้องออกจากสมาธิ และ งง ๆ ว่านั่นคืออะไร มันเย็น ๆ ว้าบ ๆ วันต่อมา ก็ลองปล่อยเลยเป็นไงเป็นกัน คราวนี้ ไหลขึ้นจนถึงหัว มันสบายดี แต่ หวิว ๆ ซาบซ่า บอกไม่ถูก แต่สติยังอยู่ครบ และนั่งต่อในโหมดนี้ต่อไป ให้ความรู้สึกแบบว่า เหมือนมีอะไรมาซ้อนทับลงไปประมาณนั้น อธิบายไม่ถูก ผู้รู้แนะนำด้วยนะครับ

- เดือนที่ 7 อันนี้มาแปลกการนั่งก็เหมือนเคยเหมือนโดนซ้อนทับ แต่ ได้ยินเสียงใครไม่รู้ ก้องอยู่ในหู หรือเสียงหมาหอนเหมือนอยู่ใกลมาก ๆ ออกจากสมาธิแล้วก็ได้ยิน แถมบางทีพูดเป็นประโยคเลย บ่อยมาก ทุกวันเลย เคยคิดว่าตัวเองคงเริ่มเพี้ยน ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจ ก็ปกติ ไม่ได้บ้า แต่อย่างใด ช่วงหลังได้ยินเสียงว่า ช่วยด้วย บ่อยมาก ตอนนั่งสมาธิในบ้าน รู้สึกได้เลยว่า รอบรั้วบ้านมีวิญญาณยืนเต็มเลย ก็พยายามแผ่เมตตาให้ แต่วันถัดไป ยิ่งรู้สึกว่ามาเยอะกว่าเดิม มีบางทีได้ยินเกี่ยวกับเลือดนี่แหละ พอไปซื้อของแถวบ้าน คนแก่ทักว่า เคยไปบริจาคเลือดหรือยัง โอ้ว ไม่เคยเลย ก็ไปบริจาคเลือดมา และอุทิศไปให้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แก้อารมณ์ ไม่เหมือนแก้ผ้า
ปวดตา ปวดหว่างคิ้ว ไทลินอล 2 เม็ด คงต้องทานหลายวัน

หรือไม่ก็ไปหาหมอเอายาคลายเคลียดมาทาน ทำมิจฉาสมาธิ จนเป็นโรคจิต เอิ๊กๆๆ


แล้วก็เลิกๆ การกระทำอันเป็นมิจฉามรรค เสีย :b9: :b9:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 08 ก.ย. 2010, 10:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วก็พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งยังงี้ :b32: :b13:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่แล้ว... พัฒนาสุดๆ ต้องนอนโรงพยาบาลโรคจิต
เหมือนที่เป็นข่าว เดือดร้อนแพทย์ พยาบาลต้องส่งรถมารับตัวไปรักษา ....

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

:b8: :b8: :b8:





กราบหลวงปู่ ยกธรรม นำแสดง
ขอแจกแจง ด้วยภูมิต่ำ ธรรมน้อย
ตัวหมั่นรู้ ตัวสังเกตุ บ่อยบ่อย
เป็นจิตคอย วิตก และวิจาร


:b41: :b39:

ยกพุทธา นุสติ เป็นอารมณ์
บ่นอบรม บ่มจิต ส่งออกซ่าน
เป็นเหตุแห่ง ทุกข์ภัีย ตามคำขาน
ยิ่งออกนาน ยิ่งทุกข์ สุขไม่มี


:b41: :b43:

นั่นแหละคือ บริกรรม นำจิต
จิตเห็นจิต สังเกตุ ใจที่คอยหนี
แรกเห็นน้อย เห็นบ่อย ค่อยค่อยดี
ไม่หลีกลี้ แจ่มแจ้ง นิโรธา


:b41: :b46:

ไม่มีใคร คอยเฝ้า บริกรรม
เป็นจิตนำ กำชับ จับตัณหา
คือตัวรู้ ตัวสังเกตุ ตัวปัญญา
จิตไม่มา ลารู้พุท หยุดโธ


:b41: :b45:

ตัวโลภโกรธ ตัวหลง ตัวซัดส่าย
คือจิตจ่าย อารมณ์ ที่เติบโต
จิตตัวรู้ ตัวสังเกตุ ตัดห่วงโซ่
จิตแจ่มโจ้ จ่างแจ้ง วาง(ผู้)บริกรรม



:b50: :b48: :b47: :b45: :b47: :b48: :b50:



พุทธฏีกา
(คุตฺตวํโส ภิกฺขุ)
ดอยสัพพัญญู
วันลงโบส์ถปาฏิโมกข์
๘ กันยายน ๕๓

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




020.gif
020.gif [ 63.84 KiB | เปิดดู 8600 ครั้ง ]
ยังอยู่อีกขั้นหนึ่ง :b1:

...พอตี 5 เวลาดี วิ่งถึงที่ศรีธัญญา ตี 5 ครึ่งถึงพรานนก พอตี 6 สว่างจ้า ถึงคลองสานทันเวลา เข้า

พักยังหลังคาแดง

http://www.phrapiyaroj.com/dhammusic/page5.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพุทธฎีกา

จะเขียนจะร่าย อะไรออกมา ก็อย่าให้กลอนพาไป....

จิตไม่ส่งออกนอก แต่ยกพุทธานุสติเป็นอารมณ์....

ยกพุทธานุสติเสร็จ สรุป นั่นล่ะจิตเห็นจิต ........

ไปไกลกว่านั้นอีก

" ไม่มีใคร คอยเฝ้า บริกรรม
เป็นจิตนำ กำชับ จับตัณหา
คือตัวรู้ ตัวสังเกตุ ตัวปัญญา
จิตไม่มา ลารู้พุท หยุดโธ"

กลอนยังพาต่อไปอีก
"จิตตัวรู้ ตัวสังเกตุ ตัดห่วงโซ่
จิตแจ่มโจ้ จ่างแจ้ง วาง(ผู้)บริกรรม"

นี่ท่านพุทธฎีกา แสดงด้วยร้อยแก้ว จะดีกว่านะ ...

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2010, 13:31
โพสต์: 12

ชื่อเล่น: เบสท์
อายุ: 0
ที่อยู่: เจริญนคร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาครับท่านพุทธฎีกา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามต่อจากนั้นอีกดังว่า

ผมจะแก้ปัญหาเรื่องเสียงพูดที่ก้องในหูเรา ได้ยินอยู่คนเดียวได้ยังไงครับ เพราะบางครั้งผมทำงานดึก

ร่างกายเหนื่อยอยากจะพักผ่อนแล้ว ก็ยังมีเสียงมารบกวนอยู่ บางทีก็มาชวนคุยเรื่องงาน บางทีก็ขอ

ให้ช่วย บางเสียงก็ฟังแบบพูดจาไม่ค่อยชัด พอผมทำไม่สนใจก็ตะโกนจนนอนไม่ได้ ผมเป็นมาจะ

สองเดือนแล้วครับ ไปหาหมอก็ให้แต่ยานอนหลับมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 11:35
โพสต์: 48

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
วิธีเจริญสมาธิภาวนา
โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีดังต่อไปนี้

๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก

ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ “ตัว” อย่างเดียว

รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ “รู้อยู่เฉยๆ” ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม

เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ

จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป

ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน “พฤติแห่งจิต” โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการ เจริญจิตครั้งต่อๆ ไป

ในกรณีที่ไม่สามารทำเช่นนี้ได้ ให้ลองนึกคำว่า “พุทโธ” หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต

พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง

ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว

เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้

ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู่อารมณ์ทันที

เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง

ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ

เจตจำนงนี้ คือ ตัว “ศีล”

การบริกรรม “พุทโธ” เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป

แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจนและความไม่ขาดสายของพุทโธจะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ

เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่ามีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย

เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย

เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึก และ “พฤติแห่งจิต” ที่ฐานนั้นๆ

บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต)

ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสามคือ ราคะ โทสะ โมหะ

๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิต ให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)

ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖

๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ

คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด

๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติ สังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติแห่งจิต ได้อย่างละเอียดละออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่าเกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้

คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง

๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น

เรียกว่า “สมุจเฉทธรรมทั้งปวง”

๗. ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึกถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้นก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะ กรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า “พ้นเหตุเกิด”

๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร

เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)

เมื่อจิตว่างจาก “พฤติ” ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซึมซาบอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน

เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร

เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว “จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง” จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า “นิพพาน”

โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้นเป็นแบบ “ปริศนาธรรม” มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้นคำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้น มีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า “พฤติของจิต” แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น

คำว่า “ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต” เหล่านี้ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่าย เข้าใจง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่

ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ “พฤติแห่งจิต” อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการ ปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลังเพราะคำว่า “มรรคปฏิปทา” นั้น จะต้องอยู่ใน “มรรคจิต” เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย

การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยวิสุทธิศีล วิสุทธิมรรค พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้



.........................................................................



คัดลอกบางตอนมาจาก...หนังสือสมาธิ
เรื่องการเจริญสมาธิด้วยการกำหนดรู้และละอารมณ์
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=225



จากวิธีเจริญสมาธิภาวนาข้างต้นค่ะ อยากถามข้อความนี้ค่ะ
บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมนั่งอย่างไรก็ไม่เคยเห็นภาพ เห็นมิติ จำได้แต่นั่งปีแรกๆมีภาพหลอน เช่นคนมุงดู คนนั่งข้างๆ คนยิ้มตรงหน้า แต่ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว

นั่งมาถึงความสงบแบบ ฟังเสียงรอบตัวได้ชัดเจนมากจนเสียงต่างๆสักแต่เกิดแล้วดับลง (พิจารณาเกิดดับ)ตามพระไตรลักษณ์ ไม่หงุดหงิดตามเสียงต่างๆแม้จะเป็นเสียงกระแทกดังๆก็ไม่รู้สึกหงุดหงิดกลับฟังแล้วสักแต่เกิดแล้วดับลง
แล้วมีสติที่มีพลังมากแม้เท้าจะแตะพื้นกลับเห็นเป็นความชัดเจนมาก เป็นของจริงที่สามารถรู้ตามได้ลองนั่งดูครับ
ไม่เห็นภาพอะไรเลยครับ ผมนั่งแบบพิจารณาร่างกาย และอารมณ์

ยิ่งนั่งยิ่งไม่เคยเชื่อเรื่องผีปรากฎตัว ไม่กลัวเหมือนสมัยก่อนนั่ง ไม่เชื่อเรื่องมนต์ดำแต่เชื่อว่าคนเราหลอกกันเองด้วยสารเคมีที่อันตราย เชื่อว่ายามีผลโดยตรงกับจิตใต้สำนึกสามารถสร้างภาพหลอนได้

บริกรรมพุทโธ ผมไม่ถนัดไม่เก่งเลยครับ นั่งแบบเงียบๆ แต่นานๆ ไม่มีท่านั่ง นั่งตามพระนั่งธรรมดาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย จิตจดจ่ออยู่ที่ตัวและสิ่งรอบข้าง ความเย็นความร้อน เลือดที่ไหลเวียนและอื่นๆ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร