ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ทำใจอย่างไรดีค่ะ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=33959 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | จัทร์เพ็ญ [ 20 ส.ค. 2010, 08:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | ทำใจอย่างไรดีค่ะ |
เวลาเห็นคนอื่นเขาประสพความทุกข์ อยากช่วยแต่ก็เกินกำลัง เราก็เลยเป็นทุกข์ใจ จะทำใจอย่างไรค่ะ ![]() |
เจ้าของ: | natdanai [ 20 ส.ค. 2010, 09:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำใจอย่างไรดีค่ะ |
อุเบกขาครับ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | student [ 20 ส.ค. 2010, 09:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำใจอย่างไรดีค่ะ |
อ้างคำพูด: เวลาเห็นคนอื่นเขาประสพความทุกข์ อยากช่วยแต่ก็เกินกำลัง เราก็เลยเป็นทุกข์ใจ จะทำใจอย่างไรค่ะ ก็บอกตัวเองว่า คนเรามีกรรมเป็นของตัวเอง มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป กำหนดทุกข์ตามการปฏิบัติ ใช้หลักของพระไตรลักษณ์ ความทุกข์เท่านั้นที่เกิด ความทุกข์เท่านั้นที่ดับ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ |
เจ้าของ: | Story Note [ 20 ส.ค. 2010, 09:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำใจอย่างไรดีค่ะ |
คงต้องใช้กำลังใจ แล้วบอกตัวเองว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" เขาคงมีวิบากกรรมที่ให้ต้องเป็นเช่นนั้น |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 20 ส.ค. 2010, 09:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำใจอย่างไรดีค่ะ |
รู้ ก็เพียงสักแต่ว่า รู้ เห็น ก็เพียงสักแต่ว่า เห็น อย่าไปนึก..ไปคิด ปรุงแต่ง ออกไป ให้เกิด เวทนาในใจตน ถ้าเราได้ช่วยเขา หมดกำลัง ความสามารถของเราแล้ว..ก็คงต้องวาง ครับ เมตตา..กรุณา..มุฑิตา...อุเบกขา...หลักพรหมวิหาร ๔ ใช้ได้ตลอด ยั่งยืน ขอเจริญในธรรม ![]() |
เจ้าของ: | จักรแก้วรัตนะ [ 20 ส.ค. 2010, 11:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำใจอย่างไรดีค่ะ |
ทำใจ อุเบกขา คือ ทำใจเป็นกลาง วางเฉย ไม่ยินดียินร้าย คิดว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และอาจจะอวยพร ต่อว่า ขอให้เป็นสุข เป็นสุขโดยเร็วนะ ก็จะเป็นการเจริญเมตตา อีกอย่างหนึ่งครับ |
เจ้าของ: | สวัสดีตอนเช้า [ 20 ส.ค. 2010, 11:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำใจอย่างไรดีค่ะ |
พี่หมอเปลี่ยนรูปบ่อยๆจัง ![]() |
เจ้าของ: | จักรแก้วรัตนะ [ 20 ส.ค. 2010, 11:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำใจอย่างไรดีค่ะ |
พระอาจารย์ คเวสโก ท่านสอนว่า เมื่อใดที่เราทุกข์ เพราะความคิด นั้นแสดงว่า คิดผิด คุณได้ บอกว่า แพทไม่โทษเขาหรอกค่ะ โทษตัวเองที่ใจดีเกินไป ที่ยอมทำให้เขาทุกอย่าง โดยที่สักบาทไม่เคยได้จากเขาเลย ไม่ต้องโทษตัวเอง เลย เพราะการใจดี ไม่มีคำว่า เกินไป ให้ดูพระพุทธองค์ได้ว่า ท่านให้แล้ว ให้อีก ให้แล้วให้อีก เขาจะทำอย่างไร จะเลวกับท่าน อย่างไร ท่านก็ให้อีก ให้อีก การที่คุณใจดี นั้นเป็นเพราะคุณเป็นคน ดีงาม น่าสรรเสริญ จงภูมิใจในความดีนี้ ส่วนเรื่องทั้งหมด นั้นปล่อยวางได้อย่างสบายใจ การทำทานเมื่อทำแล้ว ไม่ต้องเสียดายเลย มีอานิสงส์เสมอ ได้ความดี ได้บุญ และบางที เป็นการชดใช้กรรม ที่เคยมีด้วยกันมานั่นเอง จึงจะได้หมดๆไป ซะ ดังนั้น ปล่อยวาง ได้อย่างสบายใจ ทำใจให้ผ่องใส อุทิศกรวดน้ำยกโทษให้เขาเสีย แผ่เมตตา ให้เขามีความสุข ตั้งใจไว้ว่า จะไม่คบหา กับคนที่ไม่ดี ( ถ้าเขาเป็นคนไม่ดีนะ ) อีก และเราจะผ่องใส มีความสุข เจริญในธรรม สิ่งที่ทำไปแล้วก็ได้บุญ และจะได้ไม่เป็นเวรกรรมกันอีกต่อไปด้วย การคิดถูก คือ ทำให้หมดความทุกข์ และเป็นสุขได้ ด้วย ธรรมะ อย่างนี้เอง |
เจ้าของ: | -dd- [ 21 ส.ค. 2010, 08:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทำใจอย่างไรดีค่ะ |
จัทร์เพ็ญ: อ้างคำพูด: เวลาเห็นคนอื่นเขาประสพความทุกข์ อยากช่วยแต่ก็เกินกำลัง เราก็เลยเป็นทุกข์ใจ จะทำใจอย่างไรค่ะ ![]() เพราะจิตเกิดดับรวดเร็วยิ่งนัก จึงสามารถปรุงแต่นานัปการให้เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้างสลับคละเคล้ากันได้ หากไม่เคยได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้ามาก่อน ก็ไม่อาจแยกแยะว่าขณะใดจิตเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล..มีคุณหรือโทษอย่างใด.. จากคำถามข้างบน ขณะ "เห็นคนอื่นเขาประสพความทุกข์ อยากช่วย" จิตมีเมตตาคืออยากให้เขามีความสุข เเล้วคิดอยากช่วยเพื่อเปลื้องทุกข์แก่เขา นี้คือความกรุณาที่เกิดต่อทันที ตรงนี้จิตเป็นกุศลแล้ว ...แต่พอเข้าถึงความทุกข์โทมนัสใจเพราะไม่อาจช่วยเขาได้ นี่เป็นไปกับอกุศลคือความฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)หดหู่(กุกุจจะ)ซึ่งองค์ธรรมคือโทสะ..กลายเป็นการทำบาปทางใจในเวลาต่อมา..ชื่อว่าบาปย่อมให้ผลเป็นทุกข์ตามมา หากยังปล่อยให้เกิดบ่อยๆจนสั่งสมเป็นนิสัยย่อมมีโทษ ทั้งยังเป็นการสั่งสมอุปนิสัยที่มีผลเสียอย่างยิ่งในกาลต่อมา จิตจะหดหู่ทุกข์รันทดทุกคราวที่พบเหตุการณ์น่าสะเทือนใจ จนแก้ยาก นานเข้ากลายเป็นคนเก็บกด กลายเป็นคนซึมเศร้า หรือถึงกับเป็นโรคทางใจสารพัดรูปแบบ ด้วยอำนาจโทสะจิตเช่นนี้.. การเข้าหากัลยาณมิตร ศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า จะเป็นปัจจัยแก่ปัญญาโดยตรงของท่านเอง ซึ่งจะเป็นอุปการะให้ท่านสามารถวางใจไว้โดยแยบคายในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่หลงอารมณ์ตามกิเลสโลก.. พระธรรมย่อมแสดงความจริงของโลก ว่าสิ่งทั้งปวงย่อมไหลมาแต่เหตุ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเองลอยๆโดยปราศจากเหตุ ไม่มีอะไรเกิดเพราะฟลุค หรือโชคร้าย ไม่มีอะไรเกิดเพราะเทพเจ้าหรือสิ่งวิเศษเสกเป่าให้เป็นไป แต่เกิดด้วยเหตุปัจจัยมากมายที่ประชุมกัน ไม่เว้นแม้ตัวเราซึ่งไม่ได้เกิดมาโดยไม่มีเหตุ ทั้งการได้ยิน ได้เห็น ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส นึกคิด ล้วนมีมาจากเหตุทั้งสิ้น ไม่มีคำว่า"บังเอิญ"ในคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ดังนั้น การได้พบผู้ที่เสวยทุกข์สาหัส ก็พึงทราบว่า ในอดีตกาล เขาเหล่านั้นได้เคยทำบาปอกุศลไว้.. เพราะเขามัวเมาประมาท มีการล่วงศีล และอกุศลกรรมบถเป็นต้น เมื่อทำบาป ก็ย่อมมีผลเป็นทุกข์เดือดร้อนตามมา ใครที่ใหนจะทำความเดือดร้อนแก่เขาเล่า หากไม่ใช่ตัวเขาเอง? ....บัดนี้ ด้วยการประชุมพร้อมของปัจจัยต่างๆเพื่อให้บาปเหล่านั้นมาส่งผล พวกเขาจึงต้องได้รับทุกข์เผ็ดร้อนเยี่ยงนี้...เราแม้คิดอยากช่วยแต่ไม่อาจทำได้ ก็เพียงวางใจเป็นอุเบกขา ด้วยปัญญาที่ทราบเรื่องกรรมและผลกรรมเช่นนี้ได้ จิตย่อมไม่ตกไปเป็นบาปโดยไม่สมควร ... การวางใจเป็นอุเบกขาได้นั้น เว้นเสียซึ่งการมีปัญญาแล้ว ย่อมไม่อาจกระทำได้อย่างแท้จริง... ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |