วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 23:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2010, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2010, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมดาครับ เขียน:
walaiporn เขียน:
วิสุทธิปาละ เขียน:
"ผู้รู้" ในกระบวนการรับรู้ทางธรรมะคือ วิญญาณขันธ์ ซึ่งมีความหมายเดียวกับจิต
แต่โดยมากใช้เรียกแทนจิตในด้านการรับรู้

"ผู้ถูกรู้" ในกระบวนการรับรู้ทางธรรมะคือ อารมณ์ต่างๆ (อายตนะภายนอก ๖)
ที่เข้ามากระทบทางช่องทางการรับรู้ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖)


ชัดและกระชับ อนุโมทนา :b8:

วิญญาณขันธ์ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่ความหมายเดียวกับจิต เพราะวิญญาณขันธุ์เป็นอนัตตาแต่จิตไม่ใช่
วิญญาณ คือการรับรู้ ไม่ใช่ผู้รู้ จิต คือ "ผู้รู้"
อายตนะ คือ สื่อรับรู้ ไม่ใช่ "ผู้ถูกรู้"
จันทร์เจ้าขา เขียน:
จันทร์เจ้าขาว่า (ว่าเองนะค่ะ)

ผู้รู้ คือ จิต จิตเป็นผู้รู้ เป็นธาตุรู้ ผู้คิดนึก ผู้ปรุงแต่ง
ผู้ถูกรู้ คือ ธรรมทั้งหลายทั้งมวล ทั้งโลกียธรรมและโลกุตรธรรม

สั้นๆ นะ ว่ายาวไม่ได้เดี๋ยวผิด อิอิ :b32: :b8:

เห็นด้วยกับคุณจันทร์เจ้าขา ขอโมทนา สาธุครับ :b8:





คงต้องแยกสภาวะให้ดูนะ ถึงจะเข้าใจ


"ผู้รู้" ในกระบวนการรับรู้ทางธรรมะคือ วิญญาณขันธ์ ซึ่งมีความหมายเดียวกับจิต
แต่โดยมากใช้เรียกแทนจิตในด้านการรับรู้


ตัวหนังสือ เขาเขียนออกจะโต้งๆว่า มีความหมายเดียวกับจิต อย่าลืมสิว่า จิตมีหลายสภาวะ
แต่โดยมากใช้เรียกแทนจิตในด้านการรับรู้ เขาเขียนมาก็ถูกนี่นา
เอาเป็นว่า ไม่ถูกใจคุณก็แล้วกัน คุณก็เลยว่าไม่ถูก



"ผู้ถูกรู้" ในกระบวนการรับรู้ทางธรรมะคือ อารมณ์ต่างๆ (อายตนะภายนอก ๖)
ที่เข้ามากระทบทางช่องทางการรับรู้ทั้ง ๖ (อายตนะภายใน ๖)


นี่เขาก็นำมาอธิบายได้ตรง สิ่งที่มากระทบอายตนะทั้งหมด เป็นผู้ถูกรู้ หรือสิ่งที่ถูกรู้ ก็เห็นชัดๆแล้วนี่นา
เขาไม่ได้เขียนสักหน่อยว่า ผัสสะ คือผู้ถูกรู้

เอาเป็นว่า สรุปคือ ที่เขาอธิบายมา ไม่ถูกใจคุณเท่านั้นเอง
การเห็นต่าง ไม่เห็นจะแปลก แต่เมื่อเห็นต่างก็น่าจะแบ่งปันด้านความมคิดเห็นนะว่า เห็นต่างตรงไหน


ผู้รู้ คือ จิต จิตเป็นผู้รู้ เป็นธาตุรู้ ผู้คิดนึก ผู้ปรุงแต่ง
ผู้ถูกรู้ คือ ธรรมทั้งหลายทั้งมวล ทั้งโลกียธรรมและโลกุตรธรรม


นี่ก็ใช่ แต่แตกต่างแค่ตัวหนังสือเท่านั้นเอง
ที่แตกต่างคือ อธิบายใช้อภิธรรม กับอธิบายใช้ภาษาชาวบ้าน แค่นั้นเอง


แล้วรู้ไหมว่า จิตน่ะมีทั้งสภาวะของผู้ดู ผู้รู้ และตัวผู้รู้
แล้วที่ลงมาเล่นๆขีดเขียนกันอยู่นี่ เขาเรียกว่า ตัวผู้รู้ ตัวกู ของกูน่ะ รู้หรือเปล่าคะ?

ก็มีแค่อยู่สองสิ่งเท่านั้นแหละ สิ่งที่รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้ มีแค่นั้นเอง
แล้วใส่ภาษาบัญญัติเข้าไป

เพียงแต่สิ่งที่รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้ ล้วนแตกต่างกันไปตามสภาวะ
ตามกำลังของสติ สัมปชัญญะของแต่ละคน ที่จะแยกสภาวะนั้นๆได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 10 ส.ค. 2010, 22:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2010, 23:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รู้..ก็จินตนาการ

ผู้ถูกรู้..ก็ล้วนแต่จินตนาการ

ของผู้ยังไม่รู้..ทั้งสิ้น
:b16: :b16: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 10 ส.ค. 2010, 23:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



เรื่องปกตินะคะ ตราบใดที่ยังมีการปรุงแต่งกันอยู่
ก็ย่อมยังมาโลดแล่นในบอร์ดแบบนี้แหละค่ะ

การแลกเปลี่ยนความรู้ในแนวทางปฏิบัติ
อาจจะมีถกกันบ้าง เห็นด้วยกันบ้าง ก็ยังดีกว่าไปตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กนะคะ :b38:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 03:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รู้ กับผู้ถูก รู้ คือ อะไร
ตอบ...คือ จิต...ที่มี สติ สัมปชัญญะ อยู่ทุกเวลา
จิตดวงเดียวนี้ เป็นทั้งผู้รู้ และ ผู้ถูกรู้
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะมีสิ่งที่เข้าไปรู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ .(เหตุ)
จึงทำให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมา.(ผล)
ผลจะไม่มี ถ้าไม่มีเหตุ...

มีจักษุ(ตา)แต่ไม่มีรูป จักขุวิญญาณก็เกิดขึ้นไม่ได้
มีแต่รูปแต่ไม่มีจักษุ จักขุวิญญาณก็เกิดขึ้นไม่ได้

มีโสต(หู)แต่ไม่มีเสียง โสตวิญญาณก็เกิดขึ้นไม่ได้
มีแต่เสียงแต่ไม่มีโสต โสตวิญญาณก็เกิดขึ้นไม่ได้

มีมโน(ใจ)แต่ไม่มีธรรมารมณ์ มโนวิญญาณก็เกิดขึ้นไม่ได้
มีแต่ธรรมารมณ์แต่ไม่มีมโน มโนวิญญาณก็เกิดขึ้นไม่ได้.


ใจแท้ๆ ใจเดิมๆ มันไม่นึก ไม่คิด ไม่รู้สึกอะไรๆทั้งนั้น
มันบริสุทธิ สะอาดพิสุทธิเป็นอย่างยิ่ง
มันจะไม่เคลื่อนไปรู้สึกกับอะไรๆ ไม่เกิด ไม่อุบัติ ไม่ไปก่ออะไรๆทั้งนั้น
แต่ที่มันเคลื่อนออกไปรับรู้อะไรๆ ไปรู้สึกอะไรๆ ไปก่ออะไรๆ ทั้งหลายนั้นมันไม่ใช่ใจที่แท้จริง
มันจะสมมุติเรียกชื่ออะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เป็นใจที่แท้จริง
ยังไม่ใช่ตัวใจที่สงบสะอาดบริสุทธิเป็นอย่างยิ่ง

รู้ว่าสงบ รู้ว่าว่าง รู้ว่าสุข ตรงนี้จะเรียกว่าเป็นตัว"ผู้รู้"ก้ได้
ตัวที่รู้ว่าว่าง รู้ว่าสงบ รู้ว่าสุข นี้นั้น ก็ยังไม่ใช่ตัวใจที่แท้จริงแต่อย่างใด.

ชีวิตยังดำรงค์อยู่ มันจะต้องกระสับกระส่ายไปยังที่ต่างๆ ยังคงต้องเผชิญกับความวุ่นวายต่างๆ
แต่หากทว่าเรารู้แล้วว่า ความกระสับกระส่ายวุ่นวายทั้งหลายนั้นไม่ใช่ใจที่แท้จริง
แต่เป็นเพียงจิต เป็นเพียงอาการของใจ เป็นกริยาของใจ เช่นนั้นเอง

เมื่อเราเข้าใจได้อย่างนี้บ่อยๆ การไม่ยึดมั่นถือมั่นในจิต ในอาการของใจ ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยาก
เมื่อเข้าใจอย่างสม่ำเสมอ ความสงบ ความสบาย มันก็จะเกิดมีขึ้นตามมา...

แล้วต่อๆไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะเป็นไปด้วยความสงบ
แม้ภายนอกจะสับสนวุ่นวายอย่างใด
แต่ภายในมันจะสงบเย็นอย่างปกติ มันจะรู้ได้ตัวตัวของตัวเอง คนอื่นไม่อาจสามารถรู้ได้
จะพูด จะเคลื่อนไหว จะอยู่จะกิน จะไป จะมา จะทำงานอะไรๆ มันจะสักแต่ว่าเช่นนั้นเอง
ภายนอกอย่าง ภายในเป็นอีกอย่าง.

เจอผู้รู้แล้ว ให้ตัดคอทิ้งไปเสีย...มันจะได้อวสารกันเสียที :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2010, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 23:07
โพสต์: 21

แนวปฏิบัติ: เจริญสติภาวนา
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


91One เขียน:
ผู้รู้ กับ ผู้ถูกรู้ คืออะไรครับ เห็นมีอยู่หลายกระทู้ ขอท่านผู้รู้ให้ความกระจ่างครับ :b8:
ความเห็นของผมครับผู้รู้ก็คือจิตผู้ที่ถูกรู้ก็คืออารมณ์ครับเพราะจิตกับอารมณ์เป็นของคู่กันเมื่อใดมีจิตเมื่อนั้นต้องมี
อารมณ์ จิตจะอยู่โดดๆโดยไม่มีอารมณ์ไม่ได้ เพระจิตไม่เคยว่างจากอารมณ์ คือจิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์แต่ต้อง
อาศัย อายตนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นช่องทางไปรับรู้อารมณ์ จิตนั้นมีหน้าที่อย่างอื่นอีกมาก เสมือนเป็นประธานของรูป นามทั้งหลายครับ(สิ่งไดที่ถูกรู้ สิ่งนั้นไม่ใช่จิต)ขอแค่นี้ก่อนนะครับ เดียวจะยาวไป :b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย surasak limcharoen เมื่อ 11 ส.ค. 2010, 21:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 01:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

เรื่องปกตินะคะ ตราบใดที่ยังมีการปรุงแต่งกันอยู่
ก็ย่อมยังมาโลดแล่นในบอร์ดแบบนี้แหละค่ะ

การแลกเปลี่ยนความรู้ในแนวทางปฏิบัติ
อาจจะมีถกกันบ้าง เห็นด้วยกันบ้าง ก็ยังดีกว่าไปตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กนะคะ :b38:


ผู้รู้..ก็จินตนาการ....ความรู้สึกนึกคิด

ผู้ถูกรู้..ก็ล้วนแต่จินตนาการ....ผลของการรู้สึกนึกคิด

ของผู้ยังไม่รู้..ทั้งสิ้น...เสมือนว่ามีตัวมีตน..ของผู้ยังไม่แจ้ง

ไม่ได้หมายว่า..ผู้ที่ตอบท่านอื่น..นึกคิด..ผู้รู้.กะ..ผู้ถูกรู้..เอาเองหรอกนะครับ..

กบฯจินตนาการมากเกินไป..ต้องขออภัยด้วยละกัน..นะครับ :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
walaiporn เขียน:

เรื่องปกตินะคะ ตราบใดที่ยังมีการปรุงแต่งกันอยู่
ก็ย่อมยังมาโลดแล่นในบอร์ดแบบนี้แหละค่ะ

การแลกเปลี่ยนความรู้ในแนวทางปฏิบัติ
อาจจะมีถกกันบ้าง เห็นด้วยกันบ้าง ก็ยังดีกว่าไปตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กนะคะ :b38:


ผู้รู้..ก็จินตนาการ....ความรู้สึกนึกคิด

ผู้ถูกรู้..ก็ล้วนแต่จินตนาการ....ผลของการรู้สึกนึกคิด

ของผู้ยังไม่รู้..ทั้งสิ้น...เสมือนว่ามีตัวมีตน..ของผู้ยังไม่แจ้ง

ไม่ได้หมายว่า..ผู้ที่ตอบท่านอื่น..นึกคิด..ผู้รู้.กะ..ผู้ถูกรู้..เอาเองหรอกนะครับ..

กบฯจินตนาการมากเกินไป..ต้องขออภัยด้วยละกัน..นะครับ :b12: :b12: :b12:



ขออภัยเช่นเดียวกันค่ะ ถ้าข้อคิดเห็นอาจจะ ...
คืออาจจะอะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่จะคิด เพราะไม่กล้าคาดเดาความคิดของใครๆค่ะ :b8:

เพราะที่โพสไปแบบนั้น คือ มองแบบนั้นจริงๆ
ทั้งเรื่องสิ่งที่รู้ และสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะให้ค่าแบบไหน
ก็ล้วนเกิดจากอุปทานการให้ค่า ตามที่แต่ละคนคิดว่าตัวเองนั้น รู้กันทั้งสิ้น
ซึ่งทำให้เห็นความคิดเห็นที่หลากหลาย แล้วแต่จะสั้นจะยาวที่ขีดเขียนกันมา ตามที่คิดว่ารู้

ส่วนใครเชื่อใคร ใครไม่เชื่อใคร ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมา
ฉะนั้นเวลาโพส ไม่เคยเก็บมาคิดแทนใครๆว่า ใครถูกหรือผิด
เพราะตราบใดที่ยังมีกิเลสกันอยู่ ถูกหรือผิด ล้วนเกิดจากการให้ค่าในสิ่งๆนั้น
ตามกิเลสของแต่ละคนนั่นเองค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตญาณ เขียน:
....

เจอผู้รู้แล้ว ให้ตัดคอทิ้งไปเสีย...มันจะได้อวสารกันเสียที :b8:

...


อืมมม ...
ก่อนหน้านี้ ก็คิดว่าต้องตัดคอให้เหี้ยน...

แต่ ... ตอนนี้ อิ อิ
เมื่อรู้ว่ามันเป็นเช่นนั้น
มันก็ดูจะ...เฉ๋ย เฉ๋ย ไปเองแฮะ ... อิ อิ
สิ่งที่เคยปรากฎ อยู่ ๆ มันหายไป...

จะรู้มั๊ย...ว่ามันหายไปไหน...
แล้วมันจะปรากฎอีกมั๊ย...น่ะ

:b31: :b31: :b31:

จะมีก็แค่...ไม่ประมาท...หง่ะ

แค่นั้น...

หงุหงิ หงุหงิ หงุหงิ

:b16: :b16: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 12 ส.ค. 2010, 16:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 22:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16: :b16:
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รู้คือจิต สิ่งถูกรู้คืออาการของจิต ผู้รู้ไม่มีการเกิดการดับสิ่งที่เกิดดับคือผู้ที่ถูกรู้ ผู้ที่ถูกรู้ย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ผู้รู้ย่อมพ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา เหลือแต่รู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆหรือเรียกว่าจิตบริสุทธิ์ก็ได้ จริงๆแล้วเมื่อจิตใจแจ่มแจ้งในสภาวะอันนี้มันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไปหรือจะเรียกว่ารู้แจ้งก็สักแต่ว่ารู้แจ้งเท่านั้นเอง suthee


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระนิพพานอยู่ที่ใจ พระนิพพานอยู่ที่ใจ เห็นไหมเล่า ? ไม่มีว่างไม่มีเปล่า อยู่ทั้งนั้น
จะมีอะไรเป็นเรา ที่ไหนกัน ? ทุกสิ่งนั้นดับไป เหลือใจเอย
ชีวิตนี้ น้อยๆและสั้นๆ อย่าพากันปล่อยใจ เลยท่านเอ๋ย
มีสติรู้อยู่ที่ใจ ให้คุ้นเคย ต้องได้เชยชม พระนิพพานอยู่ที่ใจ
เป็นการอยู่กับผู้รู้ ละกิเลส จะมีเพศชั้นวรรณะ กันที่ไหน ?
ทุกขณะที่รู้ อยู่กับใจ จงหมั่นใช้ปัญญา รู้ของจริง รู้ของจริงทิ้งของเท็จ ได้เด็ดเดี่ยว ไม่เกาะเกี่ยวแม้ความว่าง สว่างยิ่ง
รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้ใจจริง ยิ่งรู้ยิ่งหลุดพ้น ไม่ต้องเบิกบาน
ความร้อนร้นหม่นไหม้ ไกลใจหมด พระนิพพานปรากฏ ก็ไม่ยึดเป็นแก่นสาร
มีสติรู้ให้ได้ ทุกอาการ จะพบพระนิพพานจริงๆ ที่ใจเอย !
พระนิพพาน
พระนิพพาน พ้นจากความมีและไม่มีให้คนเห็น
พระนิพพาน พ้นจากความเป็นและไม่เป็นเช่นสังขาร
พระนิพพาน พ้นจากความหมายและไม่หมายให้วิจารณ์
พระนิพพาน ไม่เกิด-ไม่ดับ คือจิตหรือรู้ล้วนๆที่บริสุทธิ์เอย !


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
อนัตตญาณ เขียน:
....

เจอผู้รู้แล้ว ให้ตัดคอทิ้งไปเสีย...มันจะได้อวสารกันเสียที :b8:

...


อืมมม ...
ก่อนหน้านี้ ก็คิดว่าต้องตัดคอให้*น...

แต่ ... ตอนนี้ อิ อิ
เมื่อรู้ว่ามันเป็นเช่นนั้น
มันก็ดูจะ...เฉ๋ย เฉ๋ย ไปเองแฮะ ... อิ อิ
สิ่งที่เคยปรากฎ อยู่ ๆ มันหายไป...

จะรู้มั๊ย...ว่ามันหายไปไหน...
แล้วมันจะปรากฎอีกมั๊ย...น่ะ

:b31: :b31: :b31:

จะมีก็แค่...ไม่ประมาท...หง่ะ

แค่นั้น...

หงุหงิ หงุหงิ หงุหงิ

:b16: :b16: :b16:



:b1:
เพราะลูกหลานมังกร มีสูญญาอยู่ภายใต้ฝ่าเท้า
ทุกอริยาบทที่เคลื่อนไหว จึงแตกต่างจากผู้ไม่มีสูญญาอยู่ภายใต้ฝ่าเท้า :b1: :b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกเราหลายคนคงได้อ่านหนังสือของคุณลุงหวีด บัวเผื่อน แล้ว และอาจทราบมานานแล้วถึงคุณธรรมของท่าน ผู้เป็นวิสุทธิบุคคล ในเพศฆราวาส และเป็นหนึ่งในพยานบุคคล ที่พิสูจน์ว่า ฆราวาสที่สิ้นกิเลสแล้ว แม้ไม่ได้บวช ก็สามารถทรงสังขารไว้ได้เกิน 7 วัน

เมื่อวานหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ นำเรื่องราวบางส่วนจากหนังสือ "จิตที่พ้นจากทุกข์" ของคุณลุงหวีดไปลงเผยแพร่ด้วย ขออนุโมทนากับทุกคนที่มีส่วนร่วมในการพิมพ์หนังสือนี้เผยแพร่ครับ



หวีด บัวเผื่อน...จิตที่พ้นทุกข์
• 26 กันยายน 2553 เวลา 18:30 น. |
• เปิดอ่าน 112 |
• ความคิดเห็น 1
หวีด บัวเผื่อน หรือที่ผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ลุงหวีดได้เขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติขึ้นเล่มหนึ่งใช้ชื่อ ว่า “จิตที่พ้นจากทุกข์”.....
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์
ตอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แข็งแรงอยู่ หลังฉันแล้วท่านมักจะเทศน์อบรมฆราวาสและตอบปัญหาธรรมที่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย มีจดหมายไปกราบเรียนถาม เช้าวันที่ 4 พ.ย. 2546 ท่านตอบจดหมายหน้าเดียว ซึ่งถามมาเพียงข้อเดียวว่า
“กระผมได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว กระผมจิตว่างอยู่หลายปี ด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งหลายจนจิตว่างไปหมด เหลือแต่ผู้รู้ แต่ก็ยังมาติดผู้รู้อีก เมื่อพิจารณาผู้รู้อย่างจริงจัง ก็เหมือนมีสปริงดีดผู้รู้นั้นกระเด็นหายไปทันที เหลือแต่ผู้รู้ที่ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกำหนด ในขณะนั้นสมมติทั้งสามแดนโลกธาตุปรากฏเกิดขึ้นที่ใจ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงตาว่า ที่กระผมเข้าใจว่าธาตุผู้รู้นี้ไม่ดับไม่สูญ เป็นรู้ที่อยู่ในรู้ตลอดชั่วนิรันดรใช่ไหมครับ แม้สังขารนี้จะดับไปแล้วก็ตาม ขอความกรุณาหลวงตาช่วยตอบกระผมด้วยครับ”
ผู้อ่านจดหมายกราบเรียนท่านว่า ผู้ถามนามว่า นายหวีด บัวเผื่อน มา จาก อ.เมือง จ.จันทบุรี
หลวงตามหาบัวตอบว่า “ถ้าธรรมดาแล้วปัญหาเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็หมดปัญหาไปในตัว ไม่จำเป็นต้องถาม แต่ที่ถามนั้นเขาก็มีความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นด้วย สำหรับคนผู้ถามปัญหาเราก็เชื่อเขาแล้วว่าเขาไม่มีปัญหา...อันนี้เราให้ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นสมบัติของคุณเอง รับรองคุณเองก็แล้วกัน”
บางถ้อยคำในการตอบคำถามครั้งนั้นมี ว่า “ที่เขาเล่ามานี้ไม่มีที่ต้องติ หมดปัญหาไป”
“นี่คือผลแห่งการปฏิบัติ นิยมไหมว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เพศหญิง เพศชาย กิเลสกับธรรมไม่มีเพศ จิตผูกได้ด้วยกันทั้งนั้น แก้ได้ด้วยกัน นี่ผลแห่งการแก้ การบำเพ็ญ จะเป็นฆราวาสก็ตามก็เป็นอย่างให้เห็นอยู่นี้แหละ นี่เป็นอยู่ที่จิต ผู้ปฏิบัติต่อจิตเป็นอย่างนี้ และผู้ไม่เป็นอย่างงั้นก็ค่อยเป็นมาโดยลำดับ ขอให้ได้รับการบำรุงรักษาเถอะ จะค่อยเป็นค่อยไปของมันอยู่นั้นละ” (อ่านเทศน์อบรมฆราวาส วันที่ 4 พ.ย. 2546 เรื่องพื้นฐานแห่งความสำเร็จในธรรมที่ http://www.luangta.com หรือ ที่http://www.luangta.c...D=2432&CatID=0)
หลายปีต่อมา หวีด บัวเผื่อน หรือที่ผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งเรียกว่า ลุงหวีดได้เขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติขึ้นเล่มหนึ่งใช้ชื่อ ว่า “จิตที่พ้นจากทุกข์”
การปฏิบัติของคุณลุงหวีดเริ่มต้นจากการมีสติสัมปชัญญะ

ท่านว่าถึงจะออกมาจากการภาวนาแล้วก็ “ต้องมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองจิตใจ ของตนอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ให้ปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเผลอสติ (การลืมตัว) ก็พยายามทำความรู้สึกหรือรู้ตัวทั่วพร้อมกันใหม่ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาโดยมีความเพียรเป็นหลักไม่ท้อถอยอ่อนแอ ไม่ไหลไปตามอารมณ์...”
แรกๆ ก็ทำไม่ได้แต่อาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น ให้จงได้ จึงมีมานะพยายามที่จะเอาชนะใจของตนเอง
ด้วยวิธีนี้ “จึงสามารถครองสติไว้ได้ยาวนานขึ้นจากนาที เป็นสองสามนาที เป็นสิบนาที เป็นครึ่งชั่วโมง เป็นชั่วโมง เป็นวันโดยใช้เวลาไม่นานปีนัก”
ที่ทำได้เพราะท่านมุ่งมั่นโดยตั้ง ปฏิญาณไว้กับตนเองว่า ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็ควรจะต้องมีสติอยู่ด้วย แต่ถ้าขาดจากสติสัมปชัญญะเสียแล้ว ก็ขออย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย เพราะถ้าเราเอาชนะตนเองไม่ได้แล้วจะเอาชนะสิ่งอื่นๆ ได้อย่างไร...คนเราถ้าอยู่อย่างขาดสติสัมปชัญญะแล้วก็เหมือนกับเรือที่ขาด หางเสือ
ท่านคอยเตือนตัวเอง คอยควบคุมให้มีสติคุ้มครองจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน
“ให้จิตเป็นปกติ คือ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นธาตุแห่งอารมณ์ดีหรือชั่วทั้งหลาย พยายามไม่พูดในจิต ไม่คิดในใจ เมื่อตาเห็นรูปให้สักแต่ว่าเห็น เช่น เห็นป้ายโฆษณาก็ไม่อ่านในใจ มีสติอยู่กับสมาธิให้จิตเป็นอุเบกขา วางเฉยอยู่อย่างเบาๆ ไม่เดือดร้อนในสิ่งที่มากระทบใดๆ ทั้งสิ้น
วันหนึ่งๆ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา หากเผลอตัวไหลไปตามอารมณ์นั้นๆ เมื่อรู้ตัวก็หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง หยุดแสวงหา ให้จิตใจอยู่อย่างสบาย ไม่กังวล หยุดโกรธ หยุดโลภ หยุดปรารถนา”
ผลของการปฏิบัติเช่นว่า ในที่สุด จิตของก็เป็นสมาธิขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
กล่าวคือ ภายในจิตใจไม่มีสังขารความคิดหรืออารมณ์ดีชั่วใดๆ มาก่อกวนเลย...บางครั้งจะคิดเรื่องการงานบ้าง แต่จิตกลับนิ่งเฉยเสีย ไม่ออกทำงานเลย ติดว่างอยู่อย่างนั้น ถึงกับต้องบังคับให้จิตออกมาคิดเรื่องอื่นๆ บ้าง ไม่เช่นนั้นจิตจะหยุดนิ่งเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา...”
ท่านว่าตอนนั้นนอนใจคิดว่าที่เป็น อยู่ถูกต้องแล้ว ไม่รู้ว่า นี่คือการติดสมาธิ ผลคือ ติดความว่างอยู่ถึง 2 ปีเต็มๆ
แม้จะส่งผลเช่นนั้น แต่คุณลุงก็ยืนยันว่า “อย่างไรก็ดี การปฏิบัติให้จิตเป็นสมาธินั้นเป็นทางเดินเบื้องต้นที่ถูกต้อง ท่านให้ชี่อว่า สมถกรรมฐาน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติ”
ท่านว่า การปฏิบัติต้องมีความเพียรเป็นหลัก ทุ่มเทกันด้วยชีวิตจิตใจไม่ท้อถอย ปฏิบัติดังนี้แล้ว จิตจะเกิดความชุ่มชื้นสงบเย็น ความภาคภูมิใจและความปีติสุขอย่างบอกไม่ถูก
จากสมถะก็เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน คือ การพิจารณากายที่ยาววาหนาคืบนี้ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง
ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะ “จิตที่ติดอยู่สมาธิจะเพลินอยู่ในสมาธิ ยากจะออกมาพิจารณาจึงต้องบังคับจิตให้ออกมาทำงานทางด้านปัญญาบ้าง โดยต้องฝืนและบังคับซึ่งก็ไม่เป็นผลนักในตอนแรก แต่ก็จำเป็นต้องออกมาพิจารณาดังที่กล่าวมาแล้ว...”
ท่านแก้โดย ลองเอากรรไกรตัดผมตัวเองออกมาพิจารณาดู ตัดเล็บที่ปลายนิ้วทั้งสิบออกมาวางไว้กับพื้นแล้วพิจารณาดู
“พิจารณาวนเวียนไปวนเวียนมา ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเราไปได้...หากเราลอกหนังที่ปิดบังอยู่นี้ออกมาเพื่อ เปิดเผยความจริง เหมือนเราลอกหนังเป็ดหนังไก่หรือหนังกบก็คงจะเห็นเนื้อแดงๆ เลือดไหลซึม ไม่แตกต่างอะไรกับพวกซากศพ ผีเปรต...”
ความรู้นี้แจกแจงลงไปเป็นธาตุ 4 ค่อยๆ เห็นความจริงขึ้นว่า “...กาย คือกาย จิตคือจิต ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่เป็นความไม่รู้ของจิตเองที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไปยึดถือร่างกายเป็นเรา...”
ท่านพิจารณาจนนับครั้งไม่ถ้วน “จนบางครั้งจิตเป็นคนที่เดินไปเดินมานี้เป็นกระดูกที่ไม่มีเนื้อหนังหุ้ม อยู่ เห็นเพียงกระดูกเปล่าๆ ที่เดินไปเดินมาจึงสรุปได้ว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกันไม่ปะปนกัน กายเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวของจิตเท่านั้น จิตก็เริ่มยอมรับตามความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ...”
ท่านว่า เมื่อถึงการพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ ไปติดอยู่ที่การพิจารณาเวทนาอยู่นานมาก แม้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสไว้ว่า เวทนาก็ไม่ใช่เรา แต่พิจารณาอย่างไร จิตก็ไม่ยอมรับ เพราะรู้สึกอยู่กับตัวว่า ความปวดเมื่อยจากการทำสมาธินั้น “เราเป็นผู้ปวดเมื่อยทุกครั้งไป” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยังคิดว่า “เวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนา เป็นเนื้อเดียวกันหมด”
บัดที่จะทะลุขึ้นนี้ไปได้จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นดังนี้
“วันหนึ่งขณะที่จิตกำลังสงสัยอยู่ พิจารณาใคร่ครวญวกไปเวียนมาอยู่หลายรอบ เพื่อหาความจริงว่าเวทนาเป็นเราหรือไม่ ขณะนั้นเอง คล้ายกับเกิดนิมิตขึ้นในจิต เห็นเวทนาได้ลอยออกจากจิตของข้าพเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เวทนานี้ขาดออกจากจิตโดยสิ้นเชิง รู้สึกชัดเจนมาก เหมือนเราเอามีดไปฟันต้นกล้วยขาดกระเด็นออกจากกัน เวทนาเป็นสักแต่ว่าเวทนา เวทนานั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเวทนา เพราะเวทนา ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ เวทนาจึงเป็นเพียงขันธ์ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นคนละส่วนกันกับธาตุรู้หรือจิต...”
คุณลุงจึงเปรียบเทียบไว้ว่า ธาตุรู้หรือจิตเป็น กระจก เวลาเวทนาเกิดขึ้น กระจกจะไปเจ็บได้อย่างไร เพราะธาตุรู้หรือจิตเป็นเพียงผู้เห็น แต่ไม่ใช่ผู้เจ็บ กระจกกับเวทนามันคนละอัน
ท่านว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้เจ็บ จิตไม่ใช่ผู้เจ็บ ความเจ็บมันมาจากสัญญาจำได้ ถ้าเราเป็นกระจก หากเวทนา เหมือนเม็ดพริกขี้หนู เม็ดพริกขี้หนูไม่รู้เลยว่าตัวเองเผ็ด เพราะไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจ และไม่มีเจตนาที่จะทำให้ใครเผ็ด ความเจ็บความปวด ก็ไม่มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกัน จึงไม่สามารถทำให้ใครเจ็บปวดได้
“หากไม่เข้าใจความจริงนี้ความเจ็บความปวดนั้นก็จะเป็นเรา คือเราเจ็บ โดยไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่หากเข้าใจความจริงนี้แล้ว เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง อาการเจ็บก็เป็นเพียงอาการและความจริงอันหนึ่ง และธาตุรู้หรือจิตก็เป็นผู้รู้ซึ่งเป็นความจริงอีกอันหนึ่งเช่นกัน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าความเจ็บความปวดเราเป็นของเราแต่อย่างใด”
สัญญา ก็ไม่แตกต่างจากเวทนา
สัญญาก็เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจเหมือนกัน เป็นของตาย คือ เกิดๆ ดับๆ แล้วจะ ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกัน สิ่งที่ติดตาติดใจ ก็คงจำได้นานหน่อยถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ติดใจก็ดับเร็วลืมเร็ว
สัญญาจึงไม่ใช่เราเหมือนกับเวทนานั่นเอง
สังขาร ความคิดความปรุงแต่ง ก็เป็นอาการและความจริงของตนอีกอันหนึ่งเช่นกัน คือคิดแล้วดับไป ปรุงแล้วดับไป
ปัญหาของคุณลุงในข้อนี้ก็คงเหมือน กับนักปฏิบัติทั่วไปที่เข้าวัดแล้วบางทีก็อดตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์อยู่ใน ใจ แม้จะห้ามไม่ให้คิดแล้วบางทียิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เมื่อนำปัญหานี้ไปปรึกษาครูบาอาจารย์ ท่านก็ได้แก้ไขปัญหาด้วยประโยคเดียว
ทันทีที่ครูบาอาจารย์ตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกโยม เพียงแต่โยมอย่าไปคิดว่าสังขารความคิดเป็นโยมก็แล้วกัน” คุณลุงว่า “ความรู้สึกของข้าพเจ้าในขณะนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอกโล่งไปหมด เข้าใจได้ในทันทีว่า สังขารความคิด มีอาการและความจริงเช่นนี้ บังคับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งถูกรู้ เป็นคนละอันกับจิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์อยู่อย่างนั้น”
เรื่องของวิญญาณ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้รับการสัมผัส ใจสัมผัสอารมณ์ เมื่อมีการกระทบกันทางอายตนะทั้ง 6 ดังกล่าวข้างต้น อาการของวิญญาณก็จะรับทราบการกระทบนั้นเป็นครั้งๆ เป็นเรื่องๆ ไป กระทบครั้งหนึ่งรับทราบครั้งหนึ่งแล้วก็ดับไป รับทราบแล้วดับ รับทราบแล้วดับ ไม่ใช่ธาตุรู้หรือจิต เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า “ขันธ์ 5 ทั้งหมดมิใช่เรามิใช่ของเรา เป็นเพียงอาการของจิต มีธรรมชาติเป็นไตรลักษณ์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ขันธ์ 5 เป็นเพียงสิ่งถูกรู้ และเราเป็นผู้รู้สิ่งเหล่านี้เท่านั้น”
เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเราของเรา ปัญหาสำคัญตามมาคือ แล้วเราคืออะไรล่ะ?
คุณลุงว่าค้นอยู่นาน ที่สุดเมื่อถามครูบาอาจารย์ก็ได้คำตอบว่า “เราคือความรู้สึกหรือธาตุรู้”
“ธาตุรู้นี้ไม่ใช่ความรู้ทั่วไปที่ เราเรียนมาจากหนังสือไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู สัมผัสด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น และสัมผัสด้วยกาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งถูกรู้ทั้งหมด จึงไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้นี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว เท่านั้นในสามแดนโลกธาตุนี้ สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดไม่ใช่ธาตุรู้ แม้แต่อารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยใจของเรานี้ ก็ยังไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เท่านั้น นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจำ เป็นจะต้องพิจารณาให้เห็นธาตุรู้นี้ให้ได้ เพราะธาตุรู้นี้แหละคือเรา ไม่ใช่รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ ที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นเรา
ธาตุรู้หรือจิตนี้ เราเกิดมานับอสงไขยไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุนี้มาก่อนเลย ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวไว้ว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ หนอนไม่เห็นอาจม”
“จากนั้นมาข้าพเจ้าจึงพยายามอยู่กับ ธาตุรู้ ถึงแม้ในตอนแรกจะขาดๆ หายๆ อยู่ได้เพียงหนึ่งนาทีสองนาทีก็หายไป เมื่อได้สติก็พยายามดึงกลับมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาหลับ ในที่สุดด้วยความเพียรอย่างยิ่งของข้าพเจ้าทำให้สามารถอยู่กับผู้รู้ได้มาก ขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ได้ครบ 100% และสามารถอยู่กับธาตุรู้ได้อย่างอัตโนมัติ
ท่านว่า ติดอยู่กับผู้รู้เป็นเวลาสองปีเต็มๆ ในที่สุดพระอาจารย์ของคุณลุงก็มาเทศน์โปรดให้ปล่อยธาตุรู้
“โยมจะจับไว้ทำไมกันปล่อยไปเสียนะ โยม ไม่มีสิ่งใดที่จะหนักเท่ารู้อีกแล้ว โยมจะจับไว้ทำไมกัน”
พอว่า “ผมปล่อยไม่เป็นหรอกครับอาจารย์ ปล่อยไม่ได้ ไม่รู้จะปล่อยอย่างไร” พระอาจารย์ก็หยิบหนังสือขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมา “ปล่อยอย่างนี้แหละโยม ปล่อยได้ไหม”
แม้ครูบาอาจารย์จะช่วยโปรดหลายหนมา ที่บ้านถึง 7 ครั้ง ไปกราบที่สำนัก 3-4 หนก็ไม่ได้ผล เพราะปรารภกับตัวเองว่า “ธาตุรู้นี้เป็นชีวิตจิตใจแล้วเราจะปล่อยวางได้อย่างไร”
ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2536 ขณะที่คุณลุงเตรียมตัวออกจากสำนักพระอาจารย์กลับบ้านในเวลา 4 โมงเย็น โดย “คิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่าชาตินี้คงไม่มีวาสนาที่จะสามารถปล่อยรู้ได้ ทันใดนั้นอาจารย์ได้กล่าวขึ้นว่า “โยม เวลามีสิ่งกระทบโยมก็ปล่อยรู้แล้วมาจับสิ่งที่มากระทบ แต่ในขณะที่ไม่มีสิ่งกระทบ โยมก็มาอยู่กับธาตุรู้อีก เอาอย่างนี้ได้มั้ยโยม เมื่อมีสิ่งกระทบ โยมก็ปล่อยทั้งสองอย่างไปเลย เวลานี้โยมเปรียบเหมือนหนอนคืบ เมื่อมาจับที่หัวก็ปล่อยหาง เมื่อจับหางก็ปล่อยหัว ให้โยมปล่อยทั้งสองอย่างไปเลยได้มั้ย”
“เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าถึงกับตะลึง สะดุ้งขึ้นในใจและขณะเดียวกันนั้น ทั้งธาตุรู้และสิ่งถูกรู้เหมือนมีพลังหนึ่งมาสะบัดอย่างรุนแรงธาตุรู้ และสิ่งถูกรู้นั้นกระเด็นออกไปทันที และเกิดธาตุรู้อีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นรู้ภายใน คือตัวที่มองธาตุรู้ตัวแรกและสิ่งถูกรู้ที่กระเด็นออกไป ปรากฏเป็นรู้ปัจจุบันขึ้นมาทันที เป็นธาตุรู้ที่ไม่ต้องประคองไม่ต้องจับ ไม่ต้องกำหนด
“ธาตุรู้นี้ไม่มีหาย ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ธาตุรู้ตัวใหม่นี้เป็นอิสรเสรี โดยที่ไม่มีเราเป็นเจ้าของเหมือนแต่ก่อน เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นปัจจุบันธรรม เป็นกลางๆ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่อาศัย ไม่กินเนื้อที่ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดทั้งสิ้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนมาก สมมติที่ฝังจมอยู่ในจิต คือธาตุรู้ตัวแรกนั้นดับไป ภพชาติทั้งหลายที่ติดแน่นอยู่ในจิตนานแสนนานได้ดับลงพร้อมกันในขณะนั้น อวิชชาดับไปโดยสิ้นเชิง พร้อมทั้งประกาศชัยชนะเหนือกิเลสทั้งหลาย อย่างขาวสะอาด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีกิเลสที่จะก่อกวนอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลับตัวเป็นธรรมพร้อมกันหมดทั้งภายในและภายนอก
“ความเป็นกลาง ความสะอาด ความบริสุทธิ์นั้น ก็หมายถึงจิตดวงนี้เอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือ จิตดวงนี้ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ซึ่งก็คือ การเห็นจิตที่บริสุทธิ์ ณ ปัจจุบันนั่นเอง
“จิตที่บริสุทธิ์จึงเป็นจิตที่อยู่ นอกเหตุเหนือผล เหนือสมมติ เหนือบัญญัติ เหนือเกิด เรียกว่า เป็นวิมุตติ หมดภาระ หมดสิ้นการงาน หมดคำพูด จึงหยุดแล้วปล่อยคำว่าหยุดลงเสียด้วย สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ไม่มีธรรมใดที่ไม่เป็นโมฆะ’ นั่นหมายความว่า สมมติทั้งหลายที่เคยติดแน่นในจิตเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสมมตินั้นแล้ว สมมติก็เป็นโมฆะหรือหมดความหมายไป”
คุณลุงหวีด บัวเผื่อน เพิ่งละสังขารไปแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีพิธีประชุมเพลิง ณ วัดเขากระแจะ อ.เมือง จ.จันทบุรี ทิ้ง “จิตที่พ้นจากทุกข์” ไว้เป็นหลักไมล์และป้ายบอกทางให้แก่ผู้ปรารถนาจะพ้นทุกข์ไว้ข้างหลังได้ ศึกษา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 154 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร