ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=33501 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | thesisavenue [ 30 ก.ค. 2010, 01:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
กระทู้คำถามแรกของผม ถามไปอาจงงว่าทำไมถามแบบนี้ เป็นเพราะเคยถามตัวเองและเคยขัดแย้งทางความคิดในอดีต กล่าวคือ ผมเชื่อในสิ่งหนึึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ่ชวยแนะนำแนวทางด้วย มีผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุมักกล่าวว่า คนที่ตายเร็ว คนนั้นโชคดีไม่ต้องมาชดใช้กรรม เลยไปไว ส่วนคนที่ตายช้า คือคนที่มาชดใช้กรรม แต่ ต้องมาอยู่และชดใช้กรรมตามเวลาสมควร แต่มันมีความขัดแย้งอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ บางคนบอกว่าคนที่อยู่นานคนนั้นอายุยืนมีบุญวาสนา ผมไม่เข้าใจว่าความหมายแท้จริงของชาวพุทธเรื่องของอายุและความตายมันควรไปในทางไหน ----------------------------------------------------------------------------------------------- วิทยานิพนธ์ dissertation |
เจ้าของ: | anisa2521 [ 30 ก.ค. 2010, 01:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | student [ 30 ก.ค. 2010, 02:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
มนุษย์เกิดมาได้ชื่อว่ามีบุญมหาศาล ไม่ว่าจะตายก่อนตายหลังก็วัดกันไม่ได้ว่าบุญใครเยอะกว่ากัน พระพุทธเจ้าท่านทรงให้โอวาทกับเรื่องนี้ว่า คนเราโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ โชคดีที่เกิดมาไม่ตายเสียก่อนตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ โชคดีที่ไม่ตายเสียก่อนตั้งแต่ยังเด็ก และวัยหนุ่มสาว โชคดีที่เกิดมาในพุทธศาสนาพอจะได้รับฟังธรรมอันประเสริฐ โชคดีที่เกิดมาพบพระพุทธเจ้า ชีวิตคนเราเหมือนบ้านที่ตั้งอยู่กลางเปลวไฟ ไม่รู้วันไหนไฟจะไหม้บ้านหมดทั้งหลัง คนเรามัวสนุกสนานกับสิ่งรอบตัวอันหาสาระไมได้ ไม่รู้วันใดจะตายวันตายพุ่ง วันนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ความหมายว่าตายคือยังมีภพใหม่รออยู่แล้วต้องไปต่อชาติหน้า เหมือนลูกมะพร้าวมีจาวข้างในรอออกมาเป็นต้นมะพร้าว ความหมายว่าดับคือสิ้นสุดลงไม่เหลือเหมือนกิเลสตันหาดับลงย่อมบรรลุอรหันต์ |
เจ้าของ: | natdanai [ 30 ก.ค. 2010, 09:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
ความตาย....คือการขาดจากกันระหว่างชีวิตและอินทรีย์ |
เจ้าของ: | สติสัมปันน์ [ 30 ก.ค. 2010, 09:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
![]() ตายเร็ว ตามหลักศาสนาเกิดจากการสะสมปาณาติบาติไว้ ตายเร็วเค้าบอกว่าเป็นคนหมดกรรมเร็ว อันนี้เป็นคำสำหรับปลอบใจญาติผู้ตายให้คลายใจจากฟามโศกเศร้า ปลอบกันแบบนี้เรื่อยๆ ก็เลยถือเอาเป็นจริงเป็นจังว่าถูกต้อง ![]() ตาย ในศาสนาพุทธ ให้ฟามหมายว่าเคลื่อน บาลีว่า จุติ จุติมาจากคำว่าจวติ ย่อมเคลื่อน คือเคลื่อนจากอัตตภาพเก่าที่รองรับการเป็นอยู่ไม่ได้แล้ว ไปหาอัตตภาพใหม่ ![]() |
เจ้าของ: | chulapinan [ 30 ก.ค. 2010, 13:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
มนุษย์เกิดมาก็เพื่อใช้กรรมและสร้างบุญ คนที่ตายไวก็ถือว่าได้มาชดใช้่กรรมที่ติดอยู่หมดไว แต่กรรมที่ติดตัวมาและที่ติดตัวไปมันไม่ได้หมดก็ต้องไปใช้กันต่อ การได้มีชีวิตอยู่นานๆเป็นบุญตรงที่มีโอกาสสร้างบุญและตัดกรรมค่ะ ยิ่งสร้างบุญได้มากและตัดกรรมได้เยอะก็เข้าใกล้ทางหลุดพ้นมากขึ้น บุญที่ยิ่งใหญ่ที่ทำง่ายๆเลยคือถือศีลและทำสมาธิค่ะ ที่ได้บุญมากเพราะผลบุญมันแผ่ไปถึงพวกวิญญาณทั้งหลายที่เขาต้องการ พวกเหล่าที่ต้องการบุญก็ต้องการบุญเพื่อมาเกิดเป็นมนุษย์นั่นแหละ เพราะฉะนั้นตายไวตายช้านับได้ว่าเป็นทั้งบุญและไม่เป็นทั้งบุญค่ะ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 30 ก.ค. 2010, 13:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
เป็นเรื่องของกรรม....ตามเหตุ ตามปัจจัย...เหตุมายังไง...ผลย่อมมาอย่างนั้น คนดีๆ...แต่อายุสั้นก็มี..อายุยืนก็มี คนชั่ว..ไม่มีศีล อายุยืนเป็นร้อยปีก็มี...อายุสั้นก็มี แม้เด็กที่เกิดมายัง ปฐมวัย ตายไปก็มี ...มันเป็นเรื่องของกรรมที่เขาได้สร้างมาแต่หนหลัง ส่งผลมา... คนที่ผิดศีล..โดยเฉพาะข้อ แรก นั้น ระวังให้ดี ชาตินี้หรือชาติหน้า จะเป็นคนอายุสั้นนะจะบอกให้ ..ส่วนตายแบบชาวพุทธ นั้น ควรตายออกไปจาก..วัฏฏสงสาร ตายจากกิเลสทั้งปวง ตายสิ้นแล้วจากอาสวะ ตายแบบไม่กลับมาเกิดอีก ขอเจริญในธรรม ![]() |
เจ้าของ: | -dd- [ 30 ก.ค. 2010, 14:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
thesisavenue: อ้างคำพูด: ผมเชื่อในสิ่งหนึึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ่ชวยแนะนำแนวทางด้วย มีผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุมักกล่าวว่า คนที่ตายเร็ว คนนั้นโชคดีไม่ต้องมาชดใช้กรรม เลยไปไว ส่วนคนที่ตายช้า คือคนที่มาชดใช้กรรม แต่ ต้องมาอยู่และชดใช้กรรมตามเวลาสมควร คำพูดนี้ไม่ถูกต้องครับ ตายเร็วเพราะอกุศลวิบากมาตัดรอนต้องไปนรกอบายภูมิ อย่างนี้ืทุกข์สาหัสกว่าเป็นคนมากมายมหาศาลเพราะคนยังมีโอกาสได้ความสุขสลับบ้าง แต่ในอบายนรกนั้น ไม่มีเวลาว่างจากทุกข์เลย.. การมีอายุยืนหรือสั้นไม่ใช่สาระสำคัญของชีิวิต สาระสำคัญคือเมื่อยังมีชีวิตอยู่นั้น ใช้ชีวิตเป็นไปกับบุญหรือบาปมากกว่ากันต่างหาก ถ้าอายุยืน..แต่วันๆมีแต่โลภะโทสะโมหะสลับไปไม่หยุดเลย ก็เท่ากับอยู่กับกิจกรรมที่เป็นบาป..เรียกว่าเก็บเกี่ยวสะสมผลที่เป็นทุกข์โทษไว้บานตะเกียงเพื่ิอเป็นเสบียงเลี้ยงตัวในสังสารวัฏ แม้หากอายุสั้น แต่ใช้ชีวิตไปในทางกุศลเสียส่วนใหญ่ ก็ได้ฐานส่งที่ดีให้ไปดีมีสุขในอัตภาพต่อๆไป ส่วนความตายโดยนัยของศาสนาพุทธคือจุดสุดรอบของ การไหลสืบเนื่องของสภาวะธรรมที่เรียกว่าขันธ์บ้าง อายตนะบ้าง ธาตุบ้างในอัตภาพหนึ่งๆ หรือภพหนึ่งๆ เช่น ภพนี้เกิดมามีอัตภาพเป็นคน ชื่อนาย ก เมื่อหมดกรรมหรืออายุก็เข้าถึง "ความตาย" นาย ก ก็ไม่มีอีก เขาอาจไปเกิดเป็นเทวดาหรือสุนัขก็ด้วยปัจจัยแห่งกรรมที่ตนทำมา ภพใหม่ก็เป็นไปดังนี้แล |
เจ้าของ: | murano [ 30 ก.ค. 2010, 18:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
เขาหมายถึงว่า... เมื่อถึงเวลาตายก็ตายได้เร็ว ไม่ต้องยื้อสังขารมาก เช่น เป็นลมตาย หลับตาย ส่วนไม้จิ้มฟันแทงเหงือก ก็ตาย อันนี้เขาพูดขำๆ ![]() ![]() ![]() ส่วนจะกรรมดีมาก-น้อย เรื่องนั้นเป็นเรื่องของคนที่ยังอยู่เขาพูดกัน ก็ฟังๆ กันไป ไม่จำเป็นต้องไปขัดคอ อ้อ แล้วก็ตามที่ข้างบนว่าน่ะ ถ้าอายุยืนแล้วสร้างอกุศลกรรมตลอดเวลา ก็สู้ตายไวเสียดีกว่า เพราะสะสมอกุศลกรรมมากเข้าๆ ก็ดิ่งสู่อบายชั้นต่ำสุด อย่างเร็วเลยนะซี |
เจ้าของ: | เก็บเกี่ยว [ 04 ส.ค. 2010, 12:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
ตายไวตายช้าไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งต้องสนจนใจทำคือได้ทำความดีไว้บ้างแล้วยัง เมื่อความตายมาถึงจะได้ไม่เสียใจกับมัน ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ccag [ 05 ส.ค. 2010, 06:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
การตายที่ดับด้วย อินทรีย์ ธาตุทั้ง สี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเหมือนกันทุกศาสนา ครับ แต่ ของพุทธ จะมองไปที่ การเกิด-ดับของดวงจิต เป็นหลัก ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ การเกิด ภพ ชาติ ขรา มรณะ ผู้ที่กำหนดรู้ทันจิต ได้จะทราบเลย ครับว่า ใน 1 วินาที จิตมีการเกิด-ดับ เป็นล้านครั้ง ดังนั้น มนุษย์เรามีการเกิดตายทุกวัน ครับทางด้านจิต ส่วนทางด้าน กาย เป็นเรื่องของธาตุขันธ์ เราจะไปควบคุมไม่ได้ คงต้องปล่อยไปตามอายุไข แต่กายก็เป็นที่อาศัยของจิตสำหรับ เอาไว้สร้างบุญกุศล ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตนมากๆ ใจก็เป็นทุกข์ อีกแหละ หมั่นภาวนา ทบทวน เรื่อง ธาตุทั้่งสี่ ที่ประกอบกันเป็นร่างกาย ให้เห็นจริงตามธรรมชาติ แล้วเราจะไม่กลัวตาย |
เจ้าของ: | เอรากอน [ 06 ส.ค. 2010, 17:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
thesisavenue เขียน: กระทู้คำถามแรกของผม ถามไปอาจงงว่าทำไมถามแบบนี้ เป็นเพราะเคยถามตัวเองและเคยขัดแย้งทางความคิดในอดีต กล่าวคือ ผมเชื่อในสิ่งหนึึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ่ชวยแนะนำแนวทางด้วย มีผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุมักกล่าวว่า คนที่ตายเร็ว คนนั้นโชคดีไม่ต้องมาชดใช้กรรม เลยไปไว ส่วนคนที่ตายช้า คือคนที่มาชดใช้กรรม แต่ ต้องมาอยู่และชดใช้กรรมตามเวลาสมควร แต่มันมีความขัดแย้งอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ บางคนบอกว่าคนที่อยู่นานคนนั้นอายุยืนมีบุญวาสนา ผมไม่เข้าใจว่าความหมายแท้จริงของชาวพุทธเรื่องของอายุและความตายมันควรไปในทางไหน เอาความหมายที่แท้จริงเลยเหร๋อ... โอย๋...ไม่ไหว ขอออกความเห็นตามความเห็นส่วนตัวละกันนะ ไม่มีอายุที่แท้จริง ในความเป็นจริง มีแต่เพียงการดำเนินไป ซึ่งการดำเนินนั้น แท้จริงแล้วสรรพสิ่งล้วนดำเนินไปพร้อม ๆ กัน อยู่ทุกขณะ ซึ่งมีทั้งสิ่งที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากันกับเรา เร็วกว่าเรา และ ช้ากว่าเรา การนับอายุ จึงเกิดขึ้นด้วยเพราะมีข้อเปรียบเทียบ ไม่มีความตายที่แท้จริง ในความเป็นจริง มีเพียงแต่การเปลี่ยนแปลงไปของสถานภาพ ... อันเนื่องจากมีสิ่งที่เพิ่มเข้ามา หรือ มีสิ่งที่แยกตัวออกไป... มันคือ...ความสัมพันธ์ของ กาล และ วัตถุ ในทัศนะของเรา... |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 06 ส.ค. 2010, 18:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
"ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร" ไม่เก่งอภิธรรมน๊ะครับ แต่เคยศึกษาด้วยตนเองมาบ้าง ![]() ถ้าจะอ้างอิงตามตำรา ลองหาอภิธรรมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค หมวดที่ ๔ มรณจตุกะ คงจะอธิบายความหมายในเชิงพุทธได้บ้างกระมังครับ เรียกน้ำย่อยครับ (จาก http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/077.htm) มรณะ แปลว่า จุติ หรือ ดับ หรือ ตาย จำแนกได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๑. ขณิกมรณะ การดับของรูปนามตามนัยของอุปปาทะ ฐีติ ภังคะ ๒. สมมติมรณะ การดับ การตายของคน ของสัตว์ อันเป็นโวหารของโลกที่ ใช้กันทั่ว ๆ ไป อยู่เสมอ ๓. สมุจเฉทมรณะ การปรินิพพานของพระอรหันต์ มรณะจตุกะ ที่จะกล่าวในหมวดนี้ กล่าวถึง สมมติมรณะ และ สมุจเฉท มรณะ รวม ๒ ประเภทเท่านั้น ส่วนขณิกมรณะไม่เกี่ยวข้องที่จะต้องพูดถึงในที่นี้ สมมติมรณะของคนและสัตว์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความตายของคนและสัตว์ นั้น หมายถึง การสิ้นไปแห่งอนุบาลธรรม ๓ ประการ คือ ๑. ความสิ้นไป หมดไปแห่งอายุ คือ กัมมชรูป ๒. ความสิ้นไป หมดไปแห่งอุสมาเตโช ซึ่งเป็นธาตุไฟที่ยังความอบอุ่นให้แก่ ร่างกาย ๓. ความสิ้นไป หมดไปแห่งวิญญาณ คือ ภวังคจิต (เฉพาะข้อนี้ ต้องเว้น อสัญญสัตต เพราะไม่มีวิญญาณ) มรณุปปัตติ ความตายที่อุบัติขึ้นนั้นมี ๔ ประการดังนั้นจึงชื่อว่า มรณจตุกะ ความตาย ๔ ประการนั้น ได้แก่ (๑) อายุกขยมรณะ ตายเพราะสิ้นอายุ (๒) กัมมักขยมรณะ ตายเพราะสิ้นกรรม (๓) อุภยักขยมรณะตายเพราะสิ้นทั้ง ๒อย่าง(คือสิ้นทั้งอายุและสิ้นทั้งกรรม) (๔) อุปัจเฉทกมรณะ ตายโดยยังไม่ทันสิ้นอายุ และสิ้นกรรม อายุกขยมรณะตายเพราะสิ้นอายุ ๑, กัมมักขยมรณะตายเพราะสิ้นกรรม ๑ และอุภยักขยมรณะตายเพราะสิ้นทั้งอายุสิ้นทั้งกรรม ๑ มรณะทั้ง ๓ อย่างนี้เรียกว่า กาลมรณะ คือ ถึงกาลเวลาที่ควรตาย ส่วนอุปัจเฉทกมรณะ ตายโดยยังไม่ทันสิ้นอายุและสิ้นกรรมนั้น เรียกว่า อกาลมรณะ คือยังไม่ถึงกาลเวลาที่ควรตาย แต่มาตายลงเพราะภัยเพราะอันตราย อย่างใดอย่างหนึ่ง เจริญในธรรมครับ ![]() |
เจ้าของ: | ccag [ 07 ส.ค. 2010, 13:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความตาย ที่เป็นไปตามความหมายของพุทธเป็นอย่างไร |
กระทู้คำถามแรกของผม ถามไปอาจงงว่าทำไมถามแบบนี้ เป็นเพราะเคยถามตัวเองและเคยขัดแย้งทางความคิดในอดีต กล่าวคือ ผมเชื่อในสิ่งหนึึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ่ชวยแนะนำแนวทางด้วย มีผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุมักกล่าวว่า คนที่ตายเร็ว คนนั้นโชคดีไม่ต้องมาชดใช้กรรม เลยไปไว ส่วนคนที่ตายช้า คือคนที่มาชดใช้กรรม แต่ ต้องมาอยู่และชดใช้กรรมตามเวลาสมควร แต่มันมีความขัดแย้งอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ บางคนบอกว่าคนที่อยู่นานคนนั้นอายุยืนมีบุญวาสนา ผมไม่เข้าใจว่าความหมายแท้จริงของชาวพุทธเรื่องของอายุและความตายมันควรไปในทางไหน ตอบแบบลูกท่ง เลยแล้วกัน เอาคร่าว ๆ ใน 31 ภพภูมิ พรหม เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต สัตวนรก ( ทั้งหมดนี้เป็นโลกียะ ยังไม่อรหันต์ ) ภพของ มนุษย์ เป็น ภพที่ มีความหลากหลายแนวทางในการสร้าง บุญบารมี มีสุขมีทุกข์ ให้พิจารณา มีศาสดาเอก คอยชี้ช่องทาง ออกจากวัฏสงสารให้ ภพสัตว์เดรัจฉาน จนถึงสัตว์นรก ไม่มีโอกาสที่จะสร้างบุญบารมีเลย เปรียบเสมือน คนพิการ คนป่วยเรื้องรัง ชดใช้กรรมชั่วอย่างเดียว ภพพรหม เทวดา พวกนี้จะเสวยสุข จนติดในกาม นานหลายกัปป์ จนคิดว่าตัวเองไม่เกิดไม่ตาย แต่ก็มีบ้างที่บำเพ็ญเพียร ซึ่งต้องมีผู้ไปแสดงธรรมให้รู้ในภพของเขา ผมถามว่า คนเกิดมา บ้างก็ ตายในท้อง คลอดออกมาตาย ตายตอนยังเด็ก ตายตอนหนุ่ม ตายตอนแก่ ขึ้นอยู่กัีบอะไร ( คิดเอง ) ตายแล้วไปอยู่ภพไหน ( คิดเอง ) เกิดมาถ้าไม่เคยสร้างบุญกุศล ไม่ว่าจะตายตอนไหน ก็คงจะรู้หนทางที่จะไปง่ายขึ้น พระอริยะสงฆ์ ที่บำเพ็ญเพียรละกิเลส จากประวัติ แต่ละท่าน ทำไมอายุยืนจัง บางรูป ยืนเป็น100 ปี (คิดเอง) พุทธโอวาท จากพระโอษฐ์ ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วจะกลับมาเกิด เป็นมนุษย์อีกมีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ ไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรกมีประมาณมากกว่า ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิด เป็นมนุษย์อีกมีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรก ไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า ! ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย สัตว์ที่จุติจากนรกไปแล้วจะกลับมาเกิด เป็นเทพยดา มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากนรก ไปแล้ว ย่อมกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ เดียรัจฉาน ในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |